ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1401+1402
บทที่ 1401 ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาเยือน คุกเข่า!
หลีเมิ่งซย่าคันไม้คันมืออยากออกโรง ท่าทางพร้อมประจัญบาน “มารดามันเถอะ ไอ้สารเลวผู้นั้นกล้าแอบอ้างเป็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ทำให้คนมากมายต้องทุกข์ทนขมขื่น ครั้งนี้ถ้าฆ่าไม่ได้ข้าจะไม่ใช่แซ่หลีอีก! ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เมิ่งซย่าต้องทำอะไรเจ้าคะ เชิญสั่งการมาได้เลย!”
….
สองปีมานี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมไม่ได้พำนักที่วังค้ำนภา กล่าวกันว่ารังเกียจที่วังค้ำนภาคับแคบไป และเป็นเพราะฮูหยินของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ต้องการแหล่งพำนักที่คู่ควร
มีคนเสนอให้รื้อถอนวังค้ำนภาและสิ่งปลูกสร้างโดยรอบออกแล้วสร้างขึ้นใหม่ แต่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมปฏิเสธข้อเสนอนี้ บอกว่าจะเก็บวังนี้ไว้ชั่วคราว นอกจากนี้เขาได้เลือกสรรสถานที่ฮวงจุ้ยมงคลกวาดต้อนช่างฝีมือหนึ่งแสนคนมาสร้างวังอีกหลัง ใหญ่เป็นสองเท่าของวังค้ำนภา ไม่มีผู้ใดทราบว่าการตกแต่งด้านในเป็นอย่างไร เนื่องจากหลังจากสร้างวังแห่งนี้เสร็จช่างฝีมือหนึ่งแสนคนนั้น ก็หายสาบสูญไปทั้งหมด ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลยสักคน แน่นอนว่าไม่มีผู้ใดกล้าถามเช่นกัน ลือกันว่าเคยมีขุนนางใหญ่ท่านหนึ่งสอบถามไปประโยคเดียว วันต่อมาก็ป่วยหนักจนถึงแก่ความตาย
พวกหลีเมิ่งซย่าก็เคยลอบเข้าไปสำรวจที่นั่นมาแล้ว ผลคือแม้แต่ประตูใหญ่ก็ผ่านเข้าไปไม่ได้ ตามที่หลีเมิ่งซย่าบอกคือ วังแห่งนั้นเสมือนเขาวงกตขนาดใหญ่ กำแพงไม่เพียงแต่สูงเท่านั้น ยังคล้ายว่าจะซ่อนเร้นอยู่ในม่านหมอกสลัวด้วย ผู้คนที่สัมผัสกำแพงนั้นจะหลงทิศหลงทางทันที…
การตรวจสอบครั้งนั้นของพวกหลีเมิ่งซย่าไม่เพียงแต่เข้าไปไม่ได้เท่านั้น ยังหวิดจะถูกดึงดูดเข้าไปในม่านหมอกนั้นด้วย…
ยามที่หลีเมิ่งซย่าเอ่ยถึงเหตุการณ์เหล่านี้กับตี้ฝูอี ได้เข้าสู่เมืองหลวงของอาณาจักรเฟยซิงแล้ว
ไม่ได้กลับมาแปดปี เมืองหลวงของอาณาจักรเฟยซิงเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลย แปรเปลี่ยนเป็นอลังการละลานตาขึ้นกว่าเดิมมาก!
ตลอดเส้นทางที่ทุกคนเดินทางมา ทั้งหมดที่พบเห็นล้วนเป็นผู้อพยพที่พลัดถิ่นฐานบ้านเกิดและบ้านเรือนที่ชำรุดทรุดโทรม นึกไม่ถึงว่าเมืองหลวงแห่งนี้จะยังคงรุ่งเรืองอยู่ ขอทานสักคนก็ไม่เห็นเลย
หลีเมิ่งซย่าเอ่ยเสียงต่ำ “ไอ้ตัวปลอมคนนั้นให้หรงเจียหลัวออกราชโองการ ขับไล่คนยากจนทั้งหมดออกจากเมืองหลวง อนุญาตให้เข้ามาอาศัยอยู่ได้เพียงชนชั้นกลางหรือไม่ก็คนในตระกูลสูงศักดิ์ร่ำรวย ดังนั้นที่นี่จึงดูเจริญรุ่งเรือง…เพียงแต่วันคืนของคนเหล่านี้ก็ไม่ง่ายเลย ราชสำนักจะเรียกเก็บภาษีทุกสามวัน ชนชั้นกลางอยู่ได้ไม่ถึงหนึ่งปีก็จะตกอับยากจน จากนั้นก็ถูกขับไล่ออกไป…”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย “คนเหล่านั้นยินยอมถูกราชสำนักเอาเปรียบถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”
หลีเมิ่งซย่ายิ้มขมขื่นแล้วเอ่ยตอบ “ไม่ยินยอมแล้วจะทำอะไรได้? ไม่ยินยอมก็ต้องถูกไล่ออกจากเมือง และยามนี้ทั้งแผ่นดินล้วนทุกเป็นไฟทั่วหัวระแหง มีเพียงที่นี่ที่ยังคงสงบสุขอยู่บ้าง แม้ว่าภาษีจะสูงจนเกินเหตุ แต่ดีร้ายอย่างไรก็รับประกันได้ว่าชีวิตจะปลอดภัย ผู้ที่ไม่ยินยอมมากมายอพยพออกไปได้ไม่ถึงสองวันก็ถูกคนพบว่าสิ้นชีพอยู่ในท้องนา ตายอย่างน่าอนาถยิ่งนัก และทรัพย์สินทั้งหมดบนตัวของพวกเขาก็ไม่เหลืออยู่เลย…”
กู้ซีจิ่วย่อมทราบว่าคนเหล่านั้นถูกราชสำนักส่งคนไปลอบสังหาร จึงอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ
เมื่อถูกคนบ้าผู้หนึ่งกุมอำนาจไวเบ็ดเสร็จ นั่นแหละคือเรื่องน่าสะพรึงที่สุดโดยแท้!
เมืองหลวงแห่งนี้เข้าไม่ได้ง่ายๆ ต้องมีหนังสือศุลกากร เอกสารแสดงตัวและสิ่งของจุกจิกอีกมากมาย
โชคดีที่หลีเมิ่งซย่ามีเส้นสาย ของเหล่านี้ล้วนเตรียมมาแล้ว และกู้ซีจิ่วก็ชำนาญวิชาแปลงโฉม ดังนั้นทั้งสามคนจึงปลอมตัวเป็นคหบดีคนหนึ่งในเมืองหลวงและครอบครัวของเขา
ตี้ฝูอีปลอมตัวเป็นรองอธิบดีกรมที่ดูมีสง่าราศี
ส่วนกู้ซีจิ่วปลอมเป็นอนุคนงามของเขา ยังคงงดงามหยาดเยิ้ม
หลีเมิ่งซย่าก็ปลอมเป็นสาวใช้ของคนทั้งสอง นัยน์ตาขาวดำตัดกันชัดเจน ดูมีชีวิตชีวายิ่ง
ทั้งสามคนไปที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง สั่งอาหารมาหนึ่งโต๊ะ หลีเมิ่งซย่าหนีหัวซุกหัวซุนอยู่หลายเดือน แทบไม่รู้รสชาติของเนื้อแล้ว เมื่อเห็นเห็นจานผักจานเนื้อโต๊ะนี้ ดวงตาก็ลุกวาวขึ้นมา รีบกินอย่างเปรมปรีดิ์ทันที
ขณะที่ทั้งสามกำลังกินอยู่ พลันได้ยินเสียงที่ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นผู้ใดตะโกนมาจากด้านนอกว่า “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาเยือน คุกเข่า!”
————————————————————
บทที่ 1402 ชื่อเสียงของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาเยือน คุกเข่า!”
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาเยือน คุกเข่า…”
ทีแรกเสียงนั้นอยู่ไกลยิ่งนัก แต่กลับแว่วใกล้เข้ามาเป็นทอดๆ ราวกับขบวนเสด็จของจักรพรรดิยามออกเยี่ยมเยือนด้านนอก มีเสียงขานเสด็จกันเป็นทอดๆ
เมื่อมีเสียงตะโกนครั้งแรกดังขึ้น ประชาชนที่เดิมทีสัญจรอย่างพลุกพล่านอยู่สองฟากท้องถนน แขกเหรื่อที่กำลังทานอาหารอยู่ในโรงเตี๊ยม แม้กระทั่งพนักงานที่กำลังรินน้ำให้ลูกค้าได้เพียงครึ่งเดียว…คนทั้งหมดล้วนละทิ้งเรื่องที่สาละวนอยู่ ราวกับต้นกล้าที่ถูกสายลมกรรโชกพัดกวาด พากันคุกเข่าไปในทิศทางเดียวกัน ยังไม่ทันเห็นรถม้าของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้น ฝูงชนก็คุกเข่าลงไปแล้ว…
ผักยังคงผัดอยู่บนเตา น้ำที่ต้มยังคงเดือดพล่าน น้ำชาก็ชงไปได้ครึ่งเดียว แต่ทุกคนล้วนคุกเข่าหมอบราบลงกับพื้นแล้ว ไม่กล้าขยับเขยื้อนเลยสักนิด
กู้ซีจิ่วมองด้วยความตะลึง
ในอดีตยามตี้ฝูอีออกตรวจการ ประชาชนก็คุกเข่าให้เช่นกัน ทว่าเป็นการคุกเข่าด้วยความเคารพนับถือ คุกเข่ากราบกรานตามสัญชาตญาณเสมือนพบเทพเซียนยามกลางวันแสกๆ
แต่ผู้ที่คุกเข่าให้ในยามนั้นส่วนใหญ่ก็เป็นผู้คนที่สัญจรบนท้องถนน ปกติแล้วคนที่อยู่ในอาคารบ้านเรือนไม่ต้องทำความเคารพ
แต่ยามนี้ผู้คนที่ได้ยินเสียงต้องทำความเคารพ แต่ละคนตัวสั่นงันงกดั่งลูกนกตระหนกภัยพิบัติ คุกเข่าหมอบกับพื้น ไม่กล้าหายใจแรง หวาดหวั่นว่าหายใจแรงไปแล้วจะทำให้คนด้านนอกตกใจ ถูกจับไปตัดหัวเอาได้ โรงเตี๊ยมที่เดิมทีเจี๊ยวจ๊าวคึกคักเงียบวังเวงเสมือนป่าช้าในทันใด
ฝูงชนต่างคุกเข่าลงไปถ้าพวกเขาทั้งสามยังยืนตระหง่านอยู่จะสะดุดตาเกินไป กู้ซีจิ่วมองตี้ฝูอีแวบหนึ่ง ท่านเทพใหญ่ผู้นี้เห็นตัวปลอมที่แอบอ้างว่าเป็นตนอยู่ด้านนอกซ้ำยังเล่นใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่ทราบว่าในใจรู้สึกอย่างไร…
เขาจะยอมคุกเข่าสักครั้งเพื่อแผนโต้กลับครั้งใหญ่หรือไม่ นึกไม่ถึงว่าตี้ฝูอีจะดีดปลายนิ้ว แสงสีขาวจางๆ สายหนึ่งโอบคลุมทั้งสามคนไว้จนมิด
กู้ซีจิ่วมองไปที่เขา เขากลับจูงมือเธอก้าวไปที่ริมหน้าต่าง “คาถาเร้นกาย ที่นี่ครื้นเครงนัก ดูให้ชัดๆ หน่อยเถอะ”
กู้ซีจิ่วถอนหายใจด้วยความโล่งอก เกาะหน้าต่างชมความครื้นเครงจริงๆ หลีเมิ่งซย่าก็เกาะหน้าต่างร่วมชมกับเธอเช่นกัน
เห็นกองทหารเกียรติยศที่อลังการยิ่งกว่าขบวนเสด็จประพาสขององค์จักรพรรดิค่อยๆ เคลื่อนขบวนมาแต่ไกล
ด้านหน้าสุดคือกองกำลังหนึ่งร้อยคน สวมหมวกเงินเกราะเงิน ที่ตามอยู่ด้านหลังคือกองกำลังหมวกทองเกราะทองหนึ่งร้อยคน ถัดไปเป็นชายหนุ่มสวมชุดพิธีการสีเข้มอีกหนึ่งร้อยคน แต่ละคนหล่อเหลายิ่งนัก ที่อยู่ถัดไปอีกคือเด็กสาวสวมชุดกระโปรงแดงหนึ่งร้อยคน ส่วนที่อยู่ด้านหลังสุดเป็นเด็กชายสวมชุดเขียวจำนวนหนึ่งร้อยคน เด็กชายเหล่านี้รายล้อมรถม้าที่ใหญ่โตหรูหราคันหนึ่ง สัตว์ลากรถคือพยัคฆ์เหมันต์ปีกคู่ที่วิ่งห้อทะยานแปดตัว รถม้าหรูหรายิ่งนัก ตัวรถทั้งคันเจียระไนจากหยกขาวกึ่งโปร่งแสง บนหยกขาวฝังอัญมณีสีฟ้าอ่อนที่ส่องประกายไว้แปดเม็ด ทอประกายแพรวพราวอยู่ภายใต้แสงตะวัน
รถม้าเป็นกึ่งเปิดประทุน ภายในรถมีคนสองคนนั่งอยู่ตรงข้ามกัน คนหนึ่งสวมอาภรณ์ม่วงเจิดจรัส คนหนึ่งสวมชุดกระโปรงขาวราวเทพเซียน
เบื้องหน้าคนทั้งสองวางกระดานหมากรุกไว้ ทั้งสองคนกำลังเดินตัวหมากที่มีสีเดียวกัน ผ้าม่านอ่อนนุ่มสีขาวพิสุทธิ์ห้อยลงมาจากยอดหลังคา ผ้าม่านปลิวไสวดั่งเมฆาขาว คนทั้งสองนั่งบนรถม้าประหนึ่งนั่งบนก้อนเมฆ สูงส่งล่องลอยเสมือนมิใช่มนุษย์ในแดนธุลีแดง หมิ่นแคลนเวไนยสัตว์
และด้านหลังรถม้าก็คือกองร้อยห้าสีเช่นเดียวกับด้านหน้า…
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็ได้เห็นสี่ทูตอีกครั้ง สี่ทูตอยู่หน้ารถม้าสองคน อยู่หลังรถม้าสองคน ยืนเก็บมือ ค้อมกายให้ด้านในรถม้า ถึงแม้สี่ทูตจะสวมหน้ากากไว้ทุกคน มองไม่เห็นว่าสีหน้าเป็นอย่างไร แต่ท่าทางดูเคารพนบนอบนัก
กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะมองไปยังตี้ฝูอีที่อยู่ข้างกาย ตี้ฝูอีเม้มริมฝีปากบางเล็กน้อย สายตาก็ร่อนลงบนร่างสี่ทูตเช่นกัน แววตาลึกล้ำดั่งน้ำวน
สี่ทูตติดตามอยู่ข้างกายเขามานานที่สุด เป็นทั้งข้ารับใช้ของเขาและครอบครัวของเขา
——————————————————————-