ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1450+1451
บทที่ 1450 ความจริง 3
ตี้ฝูอีกำลังใคร่ครวญอยู่ เมื่อได้ยินเธอเอ่ยเช่นนี้ จึงเงยหน้าขึ้น เอ่ยทวน “ตัวกินฝัน?” เห็นได้ชัดว่าไม่เคยได้ยินคำนี้
กู้ซีจิ่วกระแอมเบาๆ “ข้าเคยเห็นสัตว์ชนิดนี้ในตำรา เป็นตำนานที่เล่าขานกัน อาศัยการกินฝันประทังชีพโดยเฉพาะ มีทั้งตัวที่ชอบกินฝันดี และมีตัวที่ชอบกินฝันร้าย พวกมันสามารถควบคุมความฝันของมนุษย์ที่อยู่ในอาณาเขตรอบๆ ให้ฝันถึงสิ่งที่พวกมันต้องการได้…”
ตี้ฝูอีขมวดคิ้วนิดๆ “รูปร่างมันเป็นอย่างไร?”
กู้ซีจิ่วส่ายศีรษะ “เรื่องนี้…ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด ข้าแค่เคยเห็นคำอธิบายถึงสิ่งในตำราเท่านั้น” เธอไม่ได้บอกไปว่าเธออ่านมาจากนิยายแฟนตาซีของยุคปัจจุบัน
เธอเอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่ง “อันที่จริงสิ่งที่บอกไว้ในตำราอาจไม่ถูกต้องก็ได้นะ บางทีคงไม่มีสัตว์ร้ายชนิดนี้อยู่จริงๆ หรอก…”
ตี้ฝูอีใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็กวักมือเรียกเชียนหลิงอวี่ “เข้ามา!”
แววตาเชียนหลิงอวี่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง “ทำไม?” ไม่เพียงแต่ไม่ก้าวเข้าไปนั้น ยังถอยหนีด้วย
ตี้ฝูอีคร้านจะพูดจาไร้สาระกับเขา เรือนกายไหววูบ ตรงไปอยู่เบื้องหน้าเขา วางมือลงบนไหล่เชียนหลิงอวี่
เส้นขนทั่วร่างเชียนหลิงอวี่ลุกชันขึ้นมา ทั้งร่างแข็งทื่อไปหมด คิดจะผลักออกไปตามสัญชาตญาณ “นี่ อย่าได้ขยับมือไม้…”
เขาไม่ได้เอ่ยประโยคหลังออกมา เนื่องจากนิ้วหนึ่งของตี้ฝูอีจี้ลงตรงหว่างคิ้วเขา…
ยามนี้พลังวิญญาณของเชียนหลิงอวี่เจียนจะบรรลุขั้นเก้าแล้ว ยามปกติชายฉกรรจ์หลายร้อยคนก็ไม่อาจเข้าใกล้ตัวเขาได้ แต่ยามนี้เห็นชัดว่าเขาตั้งท่าระวังตี้ฝูอีแล้ว ยามที่อีกฝ่ายลงมือไม่น่าเชื่อว่าเขายังคงหลบไม่พบ ตรงหว่างคิ้วเย็นวาบขึ้นมาในทันใด เขาอ้าปากเล็กน้อยสีหน้าแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง อยากจะดิ้นรนแต่ทั้งร่างอ่อนยวบ…
คนที่เหลือล้วนตกใจกันทั้งสิ้น
“นี่ ทำอะไรน่ะ?”
“ปล่อยมือซะ!”
ขณะที่ทุกคนกำลังจะโผเข้าไปช่วยเหลือเชียนหลิงอวี่ ตี้ฝูอีก็ละมือจากหว่างคิ้วของเขา เขาเป่ามือคราหนึ่ง ราวกับเป่าฝุ่นธุลีบนมือทิ้ง ส่วนเชียนหลิงอวี่ก็ได้สติกลับมาทันที รีบถอยกรูดไปด้านหลัง มองเขาอย่างประหลาดใจระคนคลางแคลง “เจ้า…เจ้าเล่นเล่ห์อันใด?”
ตี้ฝูอีกลับไม่สนใจเขา สายตาหันเหไปที่ร่างของหลานเยวี่ย หลานเยวี่ยสั่นสะท้านเมื่อถูกเขามอง “เจ้า…”
เงาร่างของคนที่อยู่เบื้องสั่นไหว นิ้วของตี้ฝูอีจี้ลงที่หว่างคิ้วของเขาด้วย เหมือนที่ทำกับเชียนหลิงอวี่ เพียงแต่สักครู่หนึ่งก็ละมือออก
ทุกคนไม่เข้าใจว่าเขาทำอะไรอยู่กันแน่ แต่ละคนมองเขาด้วยความสงสัย
เยี่ยนเฉินขมวดคิ้วพลางเอ่ยถาม “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เช่นนี้คือ?”
“ตรวจสอบกายจิตของพวกเขา” ตี้ฝูอีเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “ร่างจิตบาดเจ็บ ฝันร้ายนั้นมิใช่ความฝันจริงๆ แต่มีบางสิ่งฉวยโอกาสที่พวกเจ้าหลับใหลเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกในกายจิตของพวกเจ้า ยัดเยียดฝันร้ายนั้นเข้ามาในสมองของพวกเจ้า พอมีปัจจัยอะไรไปเร่งเร้าเข้า จึงทำให้พวกเจ้าฝันร้ายแบบเดียวกัน”
ประโยคที่เขาเอ่ยนี้ค่อนข้างเฉพาะทาง พวกเยี่ยนเฉินฟังแล้วตะลึงกันหมด ล้วนมองเขาอย่างทึ่มทื่อ
ตี้ฝูอีหันไปสั่งการกู้ซีจิ่ว “ซีจิ่ว เจ้ากลับไปกับพวกเขา ข้าจะไปดูที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อีกรอบ”
กู้ซีจิ่วตอบทันที “ข้าจะไปกับท่านด้วย!”
ตี้ฝูอีกล่าวยิ้มๆ “วางใจเถอะ ด้วยฝีมือของข้า ไม่มีอะไรเล่นงานข้าได้หรอก เจ้าเป็นเด็กดีกลับไปกับพวกเขาเถอะ ไปหารือกับกู่ฉานโม่เรื่องที่พวกเราวางแผนไว้ก่อนหน้านี้ ข้าจะตามไปทีหลัง”
ไม่รอให้กู้ซีจิ่วได้พูดอะไรอีก เขาก็หมุนกายหายลับไปทันที
เมื่อตี้ฝูอีจากไป ทุกคนจึงผ่อนคลายลงไม่น้อย หลานไว่หู่ไชโยโห่ร้องพลางโผใส่ร่างกู้ซีจิ่ว แทบจะกอดเธอหมุนไปรอบๆ แล้ว “ซีจิ่ว หลายปีมานี้ข้าเป็นห่วงเจ้าแทบตายแน่ะ!”
เชียนหลิงอวี่ก็เอ่ยสมทบด้วย “เรื่องนี้ข้าเป็นพยานได้ ขอเพียงสำนักศึกษาของพวกเรามีคนที่กลับมาจากการออกไปข้างนอก สิ่งแรกที่นางทำก็คือพุ่งไปถามพวกเขาว่ามีข่าวคราวของเจ้าหรือไม่ ทำให้ทุกครั้งที่สหายร่วมสำนักเหล่านั้นกลับมาไม่รอให้นางถามก็โบกไม้โบกมือบอกก่อนแล้วว่าไม่มีอย่าได้ถามเลย…ทุกครั้งนางล้วนผิดหวังยิ่งนัก ซ้ำยังแอบหนีไปร้องไห้ที่เรือนของเจ้าอยู่หลายครั้งด้วย…”
————————————————————-
บทที่ 1451 ความจริง 4
กู้ซีจิ่วลูบหัวจิ้งจอกน้อย ไม่ได้พบกันแปดปี สาวน้อยผู้นี้ไม่เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ ยังเหมือนเด็กสาวอายุสิบห้าอยู่ นัยน์ตากลมโตใสพิสุทธิ์ดุจวารี ทำให้คนสงสารเอ็นดูอยากจะกอดแล้วโอ๋
“แม่นางกู้ ได้ยินชื่อเสียงมานานแล้ว ข้าคือหลานเยวี่ย” หลานเยวี่ยเข้ามาคารวะ ถือโอกาสดึงหลานไว่หู่กลับไปอย่างเงียบๆ ด้วย “เจ้าก็เป็นแม่นางใหญ่แล้ว อย่าได้โผใส่ร่างผู้อื่นไปเรื่อย คนอื่นจะพูดกันได้ว่าเจ้าสะเพร่าไม่สำรวมตน”
ดูเหมือนหลานไว่หู่จะค่อนข้างกลัวเขา เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่ไม่ได้โต้แย้งกลับ เม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มนิดๆ ถึงแม้จะอึดอัด ทว่าไม่ได้พูดจาเป็นอื่นเช่นกัน
ใบหน้าหล่อเหล่าของเยี่ยนเฉินยังคงซีดเซียวอยู่ สายตากวาดผ่านร่างของหลานเยวี่ยกับหลานไว่หูแวบหนึ่ง แล้วหันเหสายตาไปเสีย
เชียนหลิงอวี่ขมวดคิ้วคมเล็กน้อย ระยะเวลาแปดปี ทำให้เด็กหนุ่มที่เคยมุทะลุโผงผางผู้นี้สุขุมเยือกเย็นขึ้นไม่น้อย เขาเอ่ยเสียงเรียบ “หลานเยวี่ย ความสัมพันธ์ของจิ้งจอกน้อยกับซีจิ่วมิใช่เรื่องที่ผู้มาทีหลังอย่างเจ้าจะเข้าใจได้ ถ้าไม่มีซีจิ่ว ก็คงไม่มีจิ้งจอกน้อยในวันนี้! เจ้าจะขี้หึงเกินไปหน่อยหรือเปล่า?”
หลานเยวี่ยตอบอย่างเยียบเย็น “ข้าเพียงตักเตือนคู่หมั้นของข้าให้ระวังกิริยาวาจาของตน เลี่ยงไม่ให้ผู้อื่นติฉินนินทาได้ หาได้หึงหวงไม่” แล้วลากหลานไว่หู่มาพลางเอ่ยถามนาง “เมื่อครู่ไม่ได้รับบาดเจ็บกระมัง?”
หลานไว่หู่ส่ายหน้า
เยี่ยนเฉินจึงเอ่ยขึ้น “เอาล่ะ วิกฤตของที่นี่คลี่คลายแล้ว พวกเจ้าควรกลับไปรายงานภารกิจได้แล้ว”
สายตาของหลานไว่หู่อดไม่ได้ที่จะมองไปทางเขา ทว่าเขากลับไม่ได้มองนาง เพียงตบไหล่เชียนหลิงอวี่เบาๆ “เจ้ารับหน้าที่พาพวกเขากลับไปอย่างปลอดภัย ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดบุบสลายแม้เพียงผมสักเส้น!”
เชียนหลิงอวี่พยักหนา เอ่ยขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่ “ศิษย์พี่เยี่ยน เจ้าจะไม่กลับไปกับพวกเราหรือ?”
มุมปากเยี่ยนเฉินยกเป็นรอยยิ้มบางๆ “ไม่จำเป็นแล้ว ข้าสำเร็จการศึกษาจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แล้ว ยังต้องกลับไปรายงานผลให้ทางบ้านทราบ”
เขามองกู้ซีจิ่วอีกครั้ง “ซีจิ่ว ภายหน้าถ้ามีโอกาสพวกเราคงได้พบกันอีก” เขาหันหลังหมายจะจากไป
“ช้าก่อน!” กู้ซีจิ่วเปิดปากเอ่ย “เยี่ยนเฉิน ข้าหวังว่าครั้งนี้เจ้าจะกลับไปกับพวกเราด้วย ข้ามีเรื่องที่ต้องขอความร่วมมือจากทุกคน”
เยี่ยนเฉินผงะไป มองดูเธอ
กู้ซีจิ่วยิ้มน้อยๆ “เรื่องครานี้สำคัญยิ่งนัก!”
เยี่ยนเฉินใคร่ครวญเล็ก จึงตอบตกลง “ได้!”
….
หมู่บ้านเล็กๆ ในหุบเขาที่ตัดขาดจากโลกภายนอก ฟังดูคล้ายแดนสุขาวดียิ่งนัก แต่เมื่อไปถึงที่นั่นจริงๆ กลับพบว่าที่นี่อัตคัดและล้าหลังยิ่งนัก
ถนนลูกรังขรุขระ กระท่อมที่ก่อด้วยโคลนเหลืองและก้อนหิน ชาวบ้านหน้าตามอมแมมคลุกฝุ่น
เนื่องจากสายสืบบางส่วนเหาะเหินได้ อีกทั้งกู่ฉานโม่ก็ไม่ได้วางแผนจะอาศัยอยู่ที่นี่ในระยะยาว ดังนั้นเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็จำต้องหลิ่วตาตาม ให้เหล่าศิษย์ในสำนักสร้างกระท่อมแบบเดียวกับชาวบ้านที่นี่ ปะปนอยู่กับชาวบ้าน ไม่เปิดเผยฐานะตัวตน
เนื่องจากชั่วชีวิตของชาวบ้านที่นี่ไม่เคยออกจากหุบเขาเลย จึงไม่ทราบขนบธรรมเนียมของโลกภายนอก ดังนั้นสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเมื่ออยู่ที่นี่จึงไม่ได้รับสิทธิพิเศษอันใดเลย ยากจนข้นแค้นยิ่งกว่าชาวบ้านธรรมดาเสียอีก ด้วยความอัตคัดขัดสนนี้ ต่อให้อยากมอบสิทธิพิเศษอันใดให้แก่ผู้มาจากโลกภายนอกเหล่าก็ไม่มีทุนรอนพอ
เทพที่พวกเขานับถือก็มิใช่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นเซียนใหญ่หวง…
เนื่องจากคณะของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มีความสามารถพิเศษ อีกทั้งส่วนมากยังเหาะเหินเดินอากาศได้ ดังนั้นชาวบ้านเหล่านี้จึงมอบคำเรียกขานที่พิเศษยิ่งนักให้พวกเขา…ตระกูลของเซียนใหญ่หวง
‘ตระกูลเซียนใหญ่หวง’ ยังคงได้รับความเคารพจากชาวบ้านเหล่านี้ยิ่งนัก เนื่องจากยามที่พวกเขาออกไปยังโลกภายนอกมักจะนำของดีบางอย่างกลับมาข้างนอกด้วย อาทิ ข้าว แป้ง น้ำมัน เกลือ…มีแม้กระทั่งสิ่งของจำพวกของว่างที่ประณีตบรรจง ทำให้วิถีชีวิตของพวกเขาดีขึ้นไม่น้อยเลย
——————————————————————-