ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1452+1453
บทที่ 1452 เชือดทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายด้วยพันดาบ!
สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มีจำนวนคนกว่าสองร้อยคน หลบซ่อนอยู่ที่นี่เยี่ยงพังพอนเหลือง ทุกคนย่อมรู้สึกลำบากยากแค้นยิ่งนักเป็นธรรมดา ตั้งตารอที่จะได้ย้ายกลับไปอีกครั้ง
ยามที่กู้ซีจิ่วเร่งกลับมาพร้อมกับพวกเยี่ยนเฉิน เห็นกู่ฉานโม่กำลังยืนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ปราศรัยกับทุกคนที่มารวมตัวกัน เขาเอ่ยเสียงดัง ยามที่ปราศรัยเต็มไปด้วยความโกรธ “ทุกคนอย่าได้กังวล ไอ้บัดซบตี้ฝูอีผู้นั้นก่อกบฏเช่นนี้ ทำให้สวรรค์ขุ่นมนุษย์เคืองมาเนิ่นนาน อีกไม่นานเขาจะต้องได้รับการลงทัณฑ์จากสวรรค์ถูกอัสนีสวรรค์ผ่า! ผู้เฒ่าลองติดต่อกับสี่เทวทูตสาวกของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อยู่ตลอด เมื่อติดต่อได้ จะให้พวกเขารายงานต่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ รอจนถึงยามที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกโรง เมื่อถึงยามนั้นจะเป็นจุดจบของตี้ฝูอีผู้นี้!”
มีบางคนเกิดความกังวล “แต่เนิ่นนานถึงเพียงนี้แล้ว ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่เห็นปรากฏตัวออกมาเลย หรือว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะปิดด่านกักตน?”
“ใช่แล้ว นี่ก็สองปีแล้วนะ ไม่มีข่าวของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สักนิดเลย ข้าสงสัยว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะถูกฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์อะไรนั้นเล่นงานเข้า ไม่แน่ว่าอาจจะสิ้นชีพไปนานแล้ว…มิเช่นนั้นถ้ามีคนมาแอบอ้างเป็นฮูหยินของเขาแล้วช่วยเหลือคนชั่วให้ก่อกรรม เขาจะไม่ออกมาลงโทษได้อย่างไร?”
กู่ฉานโม่กระอักกระอ่วน อันที่จริงเขาก็สงสัยจุดนี้เช่นกัน เมื่อก่อนถึงแม้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะปรากฏตัวไม่บ่อย แต่เมื่อเกิดจลาจลแม้เพียงน้อยเขาก็จะออกโรง ใช้ยุทธวิธีปราบปรามความวุ่นวาย คืนสันติสุขให้ทวีปนี้ ยามนั้นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็เป็นผู้แถลงการณ์ของเขา
ยามนี้ตี้ฝูอีเสมือนถูกผีเข้าก็มิปานก่อนเรื่องวุ่นวายใหญ่โตถึงเพียงนี้ขึ้น ซ้ำข้างกายยังมีฮูหยินเทพศักดิ์สิทธิ์คอยร่วมหัวจมท้ายกับเขาด้วย ทำให้ยากนักที่ผู้คนจะไม่คาดเดากันว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ประสบเหตุไม่คาดฝันอันใดไปแล้ว
“ศิษย์รู้สึกว่าไม่ควรรอให้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกหน้า เมื่อโลกวุ่นวายเช่นนี้ สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ของพวกเราควรจะแบกรับภาระหนักอึ้งนี้เอาไว้ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้กลายเป็นคนที่ปวงชนมากมายชี้หน้าร้องด่าแล้ว ข้าเชื่อว่าขอเพียงสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ของพวกเราชูแขนปลุกระดม ย่อมมีผู้ที่พร้อมติดตามมากมายเป็นแน่ เมื่อถึงเวลานั้นทุกคนบุกไปสังหารที่เมืองหลวงพร้อมกัน ฟันไอ้สารเลวผู้นั้นเป็นหมื่นๆ ชิ้น…” บางคนที่หัวรุนแรงเสนอความคิดเห็นอย่างอดไว้ไม่อยู่แล้ว
กู่ฉานโม่พยักหน้าน้อยๆ “ผู้เฒ่ามีแผนการในใจแล้ว จะไม่ปล่อยให้เรื่องราวใดๆ จะดำเนินไปเช่นนี้เด็ดขาด เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ผู้เฒ่าจะมาแจ้งให้ทุกคนทราบ…”
“ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสมควรตาย!”
“เชือดทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายด้วยพันดาบ!”
ฝูงชนร้องด่าอย่างฮึกเหิม แทบจะทักทายไปถึงบรรพบุรุษแปดชั่วโคตรของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว
กู้ซีจิ่วฟังเรื่องนี้อยู่ไกลๆ สีหน้าอึมครึมอย่างไม่อาจควบคุมได้ เอ่ยอยู่ในใจว่าโชคดีที่ตี้ฝูอีไม่ได้มาด้วย มิเช่นนั้นถ้าได้ยินเสียงด่าประณามเหล่านี้เข้าเกรงว่าคงปวดใจนัก!
พวกเชียนหลิงอวี่อดไม่ได้ที่จะมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง ทุกคนค่อนข้างละอาย “เรื่องนี้…ทุกคนค่อนข้างเข้าใจทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผิดไปจริงๆ…”
เยี่ยนเฉินเอ่ยขึ้นว่า “ซีจิ่ว พวกเราต้องบอกเรื่องทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมกับทุกคนไหม?”
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญครู่หนึ่ง พยักหน้าให้ “บอก!”
ถึงแม้ตี้ฝูอีจะให้เธอจัดการเรื่องครั้งนี้ให้เงียบเชียบเช่นเดิม เลี่ยงไม่ให้เป็นการเปิดเผยร่องรอย แต่เธอไม่อยากเห็นตี้ฝูอีถูกเหล่าศิษย์ในสำนึกศึกษาชุมนุมสวรรค์ก่นด่าถึงเพียงนี้ เธอจะต้องกอบกู้ชื่อเสียงให้เขา!
ยามนี้พวกเธอมาถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้ว เธอกระแอมเบาๆ กำลังจะกู่ตะโกน
พลันได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นในอากาศ “โอ้ พวกเจ้าด่าข้าอย่างชื่นมื่นกันเหลือเกินนะ มีฝีมือเพียงเท่านี้หรือ?”
ดวงตากู้ซีจิ่วเปล่งประกายทันที ตี้ฝูอี! นึกไม่ถึงว่าเขาจะกลับมาเร็วขนาดนี้! เหล่าศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ที่อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต่างหน้าเปลี่ยนสีกันทุกคน พากันเงยหน้ามองขึ้นไปในอากาศ
ภายใต้นภาครามปุยเมฆขาว คนชุดม่วงผู้หนึ่งยืนอยู่กลางอากาศ อาภรณ์สีม่วงเจิดจรัส ใต้หน้ากากเงินเผยให้เห็นริมฝีปากบางที่หยักโค้งนิดๆ แถบแพรนัยน์ตาจิ้งจอกทอประกายแวววาวอยู่กลางหน้าผาก
เป็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้น!
ฝูงชนตกตะลึงพรึงเพริด การได้เห็นเขาน่ากลัวกว่าการได้พบเห็นภัยพิบัติใดๆ เสียอีก!
———————————————————————–
บทที่ 1453 ด่าเจ้าวันล่ะแปดรอบก็ยังถือว่าเบาไปด้วยซ้ำ!
คนที่ชักยุทโธปกรณ์ก็ชักยุทโธปกรณ์ คนที่ชักกระบี่ก็ชักกระบี่ เกิดเสียงเสียดสีของศาสตราวุธแว่วขึ้น ทุกคนไม่รอคำสั่งจากกู่ฉานโม่ เรือนกายวูบไหวจัดกระบวนค่ายสังหารเพื่อต่อกรกับมารร้ายแล้ว…ทุกคนพร้อมประจัญบาน!
ตี้ฝูอีหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ กอดอกมองพวกเขาจัดกระบวนค่าย
หลายปีมานี้สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เตรียมพร้อมรับมือกับอันตราย วิชายุทธ์ค่ายกลอันใดล้วนไม่ย่อหย่อนลงเลย บัดนี้เมื่อต้องจัดกระบวนค่ายจึงจัดได้ว่องไว ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ ลานกว้างใต้ต้นไม้ใหญ่ก็จัดขบวนค่ายขนาดใหญ่ที่เปี่ยมด้วยไอสังหารเสร็จแล้ว!
เมื่อจัดกระบวนค่ายขนาดใหญ่นี้ออกมา สามารถต้านทานพลทหารได้หนึ่งแสน คราก่อนสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก็ได้ใช้กระบวนค่ายสังหารนี้เพื่อขับไล่การรุกรานจากสำนักอื่นๆ อยู่หลายครั้ง
กู่ฉานโม่หรี่ตามองตี้ฝูอีที่อยู่กลางอากาศ แววตาเฉียบคมมีประกายแสงลุกโชน
ไม่น่าเชื่อว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้จะบุกมาด้วยตัวคนเดียว!
วรยุทธ์ของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสูงส่งจริงๆ แต่หากว่ายอดฝีมือของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ร่วมมือกัน เขาไม่มีทางรอดออกไปได้!
นี่เขามาหาที่ตายสินะ?! หรือว่าเขาจะพาคนอื่นมาด้วย เพียงแต่หลบซ่อนอยู่เท่านั้น?
เขากวาดสายตามองรอบตัวตี้ฝูอีอย่างรวดเร็ว ด้านหลังเขาคือสายลมพิสุทธิ์แจ่มใส แม้แต่เมฆขาวสักก้อนก็ไม่เห็นเลย ย่อมซ่อนคนไว้ไม่ได้…
มารดามันเถอะ! ไม่สนแล้ว ยากนักที่จะได้เห็นได้บัดซบนี่อยู่คนเดียว ถ้าไม่คว้าโอกาสนี้ไว้เขาก็เป็นไอ้หลานเต่าแล้ว!
เขาโบกมือคราหนึ่ง ผู้อาวุโสแปดคนที่อยู่ในสังกัดเขาเหินทะยานขึ้นมาพร้อมเขา ปิดล้อมตี้ฝูอีไว้ตรงกลาง ก่อเป็นกระบวนค่ายสังหารอีกครั้ง สอดรับกับกระบวนค่ายสังหารของศิษย์ที่อยู่ด้านล่างเหล่านั้น
จัดกระบวนค่ายเรียบร้อยแล้ว กู่ฉานโม่ก็มีความมั่นใจเพียงพอแล้ว!
“ตี้ฝูอี สวรรค์มีหนทางแต่เจ้ากลับไม่เดิน นรกไร้ประตูแต่เจ้ากลับบุกเข้ามา ครั้งนี้เป็นตัวเจ้าที่เข้ามาหาที่ตายเอง ผู้เฒ่าจะลงทัณฑ์เจ้าแทนสวรรค์!” กระบี่หนักในมือกู่ฉานโม่แทบจะจ่อเข้าที่ปลายจมูกของตี้ฝูอีแล้
ตี้ฝูอีกลับไม่อนาทรร้อนใจ เพ่งพิศกู่ฉานโม่กับผู้อาวุโสทั้งแปดแวบหนึ่ง “ไม่ได้พบกันแปดปี ก็ไม่เห็นว่าวรยุทธ์ของพวกเจ้าจะก้าวหน้าขึ้นเท่าไหร่นะ”
แปดปีก่อนพวกกู่ฉานโม่มีพลังวิญญาณขั้นเก้า ยามนี้ก็ยังคงเป็นพลังวิญญาณขั้นเก้าอยู่ พัฒนาขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อก่อนมากสุดคือขั้นเก้ากับอีกสามส่วนยามนี้ยกระดับเป็นขั้นเก้ากับอีกห้าส่วน
กู่ฉานโม่ร้องเฮอะคราหนึ่ง “ไม่ได้พบกันแปดปีอันใด? หนึ่งปีก่อนพวกเราพบหน้ากันอยู่หนหนึ่งมิใช่หรือ? เจ้ายังให้ผู้เฒ่าติดตามเจ้าไปอยู่เลย…”
ตี้ฝูอีเลิกคิ้วแวบหนึ่ง “ตาเฒ่ากู่ เจ้ารู้จักมักจี่กับข้ามาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ยังแยกตัวจริงกับตัวปลอมไม่ออกอีกหรือ? ตาคู่นี้ของเจ้าไปมองล่อมองลาที่ไหนอยู่กัน?”
กู่ฉานโม่ตะลึงงัน “อะไรนะ?!”
ตี้ฝูอีกล่าวอย่างสบายๆ “แปดปีนี้ข้าไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นบนทวีปนี้เลย ยามนี้ผู้ที่กระทำเรื่องชั่วช้าอยู่ภายนอกเป็นตัวปลอมที่แอบอ้างสวมรอย!”
ฝูงชนตกตะลึง!
“ผายลม!” กู่ฉานโม่ตะลึงไปครู่หนึ่งจากนั้นก็คำรามอย่างโกรธเกรี้ยว “ตี้ฝูอี เจ้าอย่าฝันว่าจะใช้ถ้อยคำไม่มีมูลอ้างอิงเหล่านี้มาโป้ปดข้าผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ได้ เจ้านึกว่าอาจารย์ใหญ่เช่นข้าโง่งมหรือไง? เจ้าคงไม่ได้จะใช้วิธีนี้เพื่อล้างตัวให้ไร้มลทินกระมัง? คิดจะป่าวร้องอันใดอีก?”
ตี้ฝูอีดีดเล็บเล็กน้อย “ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรเจ้าก็ไม่ยอมเชื่อสินะ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว! ไม่มีผู้ใดเชื่อเจ้าหรอก! ตี้ฝูอี ครั้งนี้ต่อให้เจ้าพูดจามีวาทศิลป์แค่ไหน พวกเราก็ไม่เชื่อถือแม้แต่ครึ่งคำ!”
ตี้ฝูอีหลุบตาเล็กน้อยถอนหายใจเบาๆ “ไม่น่าเชื่อว่าตัวข้าจะมีวันที่จนตรอกดั่งหนูเฒ่าข้ามถนนอย่างที่ผู้อื่นว่าไว้ พวกเจ้ามักจะด่าข้าอยู่บ่อยๆ สินะ?”
ยามนี้กู่ฉานโม่ไม่แยแสอะไรอีกแล้ว เอ่ยโพล่งออกไป “แน่นอน! เจ้าอย่านึกว่าจะใช้อำนาจปิดปากทุกคนไว้แล้วจะไม่มีใครกล้าด่าเจ้า ในใจของปวงชนในทวีปนี้ต่างร้องด่าบรรพบุรุษของเจ้าไปแปดชั่วโคตรแล้ว! ส่วนตัวข้าผู้เป็นอาจารย์ใหญ่ ด่าเจ้าวันละแปดรอบก็ยังถือว่าเบาไปด้วยซ้ำ!”
——————————————————————