ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1464+1465
บทที่ 1464
“จิ้งจอกน้อย เจ้ากับเยี่ยนเฉินมีเรื่องอันใดกัน?” กู้ซีจิ่วก็มองไปที่เทียบเชิญใบนั้น
ความรู้สึกที่เยี่ยนเฉินมีต่อจิ้งจอกน้อยเมื่อแปดปีก่อนชัดเจนยิ่งนัก กู้ซีจิ่วคิดมาตลอดว่าบางทีพวกเขาอาจแต่งงานกันไปแล้ว นึกไม่ถึงว่าจิ้งจอกน้อยกลับหมั้นหมายกับหลานเยวี่ยอะไรนั่น ส่วนเยี่ยนเฉินก็กำลังจะหมั้นหมายกับผู้หญิงอีกคนหนึ่ง…
โดยปกติหลานไว่หู่มีอะไรจะพูดกับกู้ซีจิ่ว ทว่าหนนี้นางกลับเงียบขรึมอยู่นานสองนาน ก่อนจะฝืนยิ้มหนึ่งครา “ข้ากับเขาไม่ได้มีอะไรกันนี่ ข้ามองเขาเป็นพี่ชายมาตลอด”
กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง
กู้ซีจิ่วไม่พูดจาอันใดแล้ว จิ้งจอกน้อยเมื่อแปดปีก่อนยังคงไร้เดียงสาเสียจริง พึ่งพาเยี่ยนเฉินเหมือนดังพี่ชายแท้ๆ ทว่าไม่มีพี่ชายแท้ๆ คนไหนที่จะปฏิบัติต่อจิ้งจอกน้อยอย่างที่เยี่ยนเฉินรักใคร่เช่นนั้น
ความรักในครอบครัวไม่เหมือนกันกับความรักหนุ่มสาว
การพึ่งพาทั้งกายใจของจิ้งจอกน้อยที่มีต่อเยี่ยนเฉินก็ไม่เหมือนกับพี่ชายไปเสียทั้งหมด บางทีตัวนางเองอาจทึมทื่อแยกแยะไม่ออก แต่กู้ซีจิ่วยังคงเข้าใจยิ่งนัก
ทว่าระยะเวลาแปดปีสามารถเปลี่ยนคนได้มากมาย แน่นอนว่าความรู้สึกทั้งหลายก็จืดจางได้เช่นกัน คนที่เคยรักกันจะเป็นจะตายยังเลิกรากันได้ด้วยดี ดังนั้น การเลิกราของจิ้งจอกน้อยกับเยี่ยนเฉินก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจเท่าใด
กู้ซีจิ่วไม่ใช่คนที่ชอบซุบซิบนินทา ในเมื่อจิ้งจอกน้อยไม่อยากพูด เธอก็ไม่ถามอีกต่อไปแล้ว
เธอวิ่งวุ่นมาทั้งวัน เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า ดังนั้นเธอจึงล้างหน้าล้างตาเล็กน้อยแล้วเข้านอน
จิ้งจอกน้อยที่เดิมทีชอบเอะอะโวยวายก็เงียบสงบลงอย่างเห็นได้ยาก เพียงแค่นอนข้างๆ เธอ
กลางดึก กู้ซีจิ่วถูกเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นเบาๆ ปลุกให้ตื่น
เมื่อลืมตาขึ้นก็พบว่าจิ้งจอกน้อยกำลังร้องไห้ในห้วงความฝัน แพขนตายาวเปียกชุ่มเป็นสาย เด็กคนนี้เจ้าน้ำตายิ่งนัก ทุกครั้งที่ร้องไห้น้ำตาจะพรั่งพรู ทำให้ดวงหน้าน้อยๆ เปียกโชกไปหมด
“ข้าไม่ใช่นางจิ้งจอก! ข้าไม่ใช่…” หลานไว่หู่สะอึกสะอื้น “ข้าไม่มีทางทำร้ายใคร…”
กู้ซีจิ่วนิ่งงัน
เธอตกตะลึงครู่หนึ่ง เอ่ยถามนางด้วยเสียงนุ่มนวล “ใครว่าเจ้าเป็นนางจิ้งจอก?”
หลานไว่หู่เพียงหลั่งน้ำตาในห้วงความฝัน หลังจากนั้นก็กระซิบเรียกอีกครั้ง “หลานเยวี่ย เจ้า…” ประโยคหลังจากนั้นไม่ชัดเจน เธอฟังไม่ออกว่านางพูดอะไร
เพียงแต่คิ้วเล็กๆ ขมวดรัดแน่นขึ้น
จิ้งจอกน้อยมีเรื่องในใจอันหนักอึ้ง หรือว่านางเปลี่ยนใจไปรักหลานเยวี่ยแล้วจริงๆ?
หลานเยวี่ยคนนั้นแทบจะไม่มีเสน่ห์น่าดึงดูดเท่ากับเยี่ยนเฉิน และไม่ได้ปฏิบัติต่อจิ้งจอกน้อยดีเท่ากับเยี่ยนเฉินอีกด้วย
เยี่ยนเฉินปฏิบัติต่อจิ้งจอกน้อยด้วยความรักใคร่จริงใจ และแทบจะเป็นความรักที่เคยชินไปแล้ว
แต่หลานเยวี่ยส่วนมากเป็นความหึงหวง เป็นความหึงหวงเมื่อมีคนปรารถนาในสมบัติของตนเอง…
“จิ้งจอกน้อย เจ้าชอบหลานเยวี่รึไม่?” กู้ซีจิ่วอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เธอใช้วิชาบางอย่าง ทำให้คำพูดส่งผ่านเข้าไปในห้วงความฝันของจิ้งจอกน้อยได้…
จิ้งจอกน้อยงึมงำ “เขาเป็น…ข้าไม่อาจขัดคำสั่งเขาได้…”
กู้ซีจิ่วพูดจาอันใดไม่ออก
“เขาเป็นอะไร?” กู้ซีจิ่วค่อยๆ โน้มน้าว
“เขาเป็น…เป็นอัจฉริยะ คือความภาคภูมิใจของตระกูลเขา ไม่คู่…ไม่คู่ควรกับเด็กบ้านป่าที่ความเป็นมาไม่ชัดเจนอย่างข้า…ข้าไม่ได้เป็นเด็กบ้านป่า ข้ามีพ่อ…ข้าไม่ได้ทำให้การฝึกฝนของเขาล่าช้า…ข้าเชื่อฟังมาโดยตลอด เหตุใด เหตุใดยังต้องต่อว่าข้าเป็นนางจิ้งจอก? ต่อว่าข้าไร้ยางอาย…”
กู้ซีจิ่วพูดจาอันใดไม่ออก เธอถามถึงหลานเยวี่ย ทว่าคำตอบเลอะเลือนของจิ้งจอกน้อยในห้วงความฝันกลับเหมือนกำลังพูดถึงเยี่ยนเฉิน?
จิ้งจอกน้อยดูเหมือนจะตกอยู่ในห้วงฝันร้าย น้ำตาไหลพรากอีกครั้ง “ข้า…ข้าไม่ได้ไม่รู้ความ ข้าไม่อยากทะเลาะกับเขา พวก…พวกเขาต่อว่าข้า…ซ้ำยังต่อว่าแม่ข้าเป็นนางโลม…ข้าโกรธจนทนไม่ไหว…”
กู้ซีจิ่วรู้สึกสับสน
—————————————————————–
บทที่ 1465 ใครกล้ารังแกเจ้า ข้าจะเชือดมันแทนเจ้าเอง!
เธอขมวดคิ้ว เธอไม่ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่เธอก็ปกป้องพวกพ้อง เพื่อนของเธอไม่อนุญาตให้ใครหน้าไหนมาดูหมิ่นได้!
และเห็นได้ชัดว่าจิ้งจอกน้อยได้รับความอยุติธรรมยิ่งนัก กู้ซีจิ่วหรี่ตานิดๆ สรุปแล้วเป็นผู้ใดกันที่รังแกนาง?!
จิ้งจอกน้อยหลับสนิทไปอีกครั้ง ยังมีหยดน้ำตาหลงเหลืออยู่ตรงหางตา
ปลอกหมอนของนางเปียกชุ่มจากการร้องไห้ กู้ซีจิ่วใช้คาถาชำระล้าง ทำให้ปลอกหมอนของนางแห้ง
ครั้นยื่นมือไปเช็ดน้ำตาตรงหางตาของจิ้งจอกน้อย คล้ายว่าจิ้งจอกน้อยจะสัมผัสถึงไออุ่นจากนิ้วกู้ซีจิ่วได้ จึงพลิกตัวกอดมือเธอไว้ ถูไถใบหน้าเล็กๆ เข้ากับมือของกู้ซีจิ่วดั่งลูกแมวน้อย จากนั้นก็เอามือเธอไปกอดแนบอก ราวกับได้กอดอะไรสักอย่างที่พึ่งพาได้ แอบอิงแขนนเธอไว้แน่น ไม่ยอมปล่อยอีกกู้ซีจิ่วรู้สึกว่าทุกครั้งที่ตนอยู่กับจิ้งจอกน้อยผู้นี้ สัญชาตญาณความเป็นแม่จะลุกโชนขึ้นมา…
เธอยื่นมือทัดผมจิ้งจอกน้อยไปไว้หลังหู จิ้งจอกน้อยครางงึมงำอยู่ในลำคอ พึมพำออกมาประโยคหนึ่ง “ไม่เอานะ…อย่าไม่ต้องการข้าเลย…ข้าเป็นเด็กดีมาก…”
กู้ซีจิ่วลูบดวงหน้าเล็กๆ ของจิ้งจอกน้อย “เด็กดี ไม่มีผู้ใดไม่ต้องการเจ้าหรอก ใครกล้ารังแกเจ้า ข้าจะเชือดมันแทนเจ้าเอง!”
ต่อให้อยู่ในห้วงนิทราจิ้งจอกน้อยก็ยังคงเชื่อฟังยิ่งนัก “อื้อ…”
ขณะที่กู้ซีจิ่วกำลังจะเคลิ้มหลับไป จิ้งจอกน้อยที่อยู่ข้างกายก็กระสับกระส่ายอีกครั้ง ร้องไห้ขึ้นมาอีก…
ชัดเจนยิ่งนัก นางถูกความฝันแย่ๆ อันใดตอแยเข้าอีกแล้ว…
ไม่ได้พบหน้ากันแปดปี จากจิ้งจอกน้อยที่เคยช่างจ้อกลายเป็นจิ้งจอกน้อยเจ้าน้ำตาไปเสียแล้ว กู้ซีจิ่วใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนยื่นนิ้วหนึ่งไปแตะที่หว่างคิ้วของนางเสียเลย
ตอนนี้พลังวิญญาณของกู้ซีจิ่วคือขั้นสิบ เคยเรียนรู้วิชาเข้าฝันได้แล้ว เธออยากเห็นว่าในความฝันที่จิ้งจอกน้อยที่ติดอยู่มีอะไรกันแน่! สรุปแล้วฝันร้ายที่จิ้งจอกน้อยสลัดทิ้งไปไม่ได้คือเรื่องใด….
ถึงแม้ความฝันของจิ้งจอกน้อยจะกระจัดกระจายไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ทว่าแจ่มชัดยิ่งนัก
และวิชาเข้าฝันที่กู้ซีจิ่วใช่มิใช่เข้ามาในความฝันของนางได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังอ่านความทรงจำบางส่วนของนางได้ด้วย…
และสิ่งที่ปรากฏขึ้นในความฝันของจิ้งจอกน้อยมากที่สุดก็คือเยี่ยนเฉิน…
เยี่ยนเฉินพากเพียรฝึกฝนวรยุทธ์ยิ่งนัก ในความฝันของจิ้งจอกน้อย เยี่ยนเฉินฝึกวรยุทธ์แทบทุกวัน ส่วนจิ้งจอกน้อยกลับชอบเล่นสนุกยิ่งนัก การหายตัวไปของกู้ซีจิ่วส่งผลกระทบต่อจิ้งจอกน้อยอย่างใหญ่หลวง นางค่อนข้างเสียศูนย์ อยากให้เยี่ยนเฉินอยู่เป็นเพื่อนนาง…
แต่ทุกครั้งที่นางไปหาเยี่ยนเฉิน เยี่ยนเฉินยุ่งอยู่กับการฝึกฝน ระหว่างที่ฝึกฝนอยู่เมื่อเห็นจิ้งจอกน้อยที่ทำตาแป๋วเฝ้าอยู่ด้านข้างเข้า เขาก็มักจะเรียกนางเข้าไปฝึกฝนด้วยกัน เยี่ยนเฉินสามารถนั่งอยู่ตลอดได้ถึงสองวันเต็ม ไม่สนใจจิ้งจอกน้อยอย่างเห็นได้ชัด จิ้งจอกน้อยฝึกฝนกับเขาอยู่สองสามครั้ง แต่ถึงอย่างไรนางก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น นั่งติดกันเป็นเลาสองวันในที่สุดนางก็ค่อนข้างนั่งไม่ติดแล้ว เลี่ยงไม่ได้ที่จะขยับตัวขยุกขยิกบ้าง
ทุกครั้งที่เยี่ยนเฉินลืมตามาเห็นท่าทางไม่เอาถ่านเช่นนี้ของนางเข้า มักจะสั่งสอนนางประโยคสองประโยคเป็นประจำ ดุจนนางปวดหัว ดุจนนางลนลานไม่เป็นสุข
ยามที่เยี่ยนเฉินเข้มงวดจะเหมือนอาจารย์ยิ่งนัก ทำให้จิ้งจอกน้อยไม่กล้าโต้แย้ง แต่ในใจกลับคับข้องหมองใจอยู่บ้าง และความคับข้องหมองใจนี้ก็ทวีขึ้นตามจำนวนครั้งที่ถูกสั่งสอน สะสมขึ้นไปเรื่อยๆ นางรู้สึกอยู่เสมอว่าตนคล้ายจะเอาหน้าร้อนๆ ไปแนบก้นเย็นๆ ของผู้อื่นอยู่บ้าง และแทบทุกครั้งที่มาล้วนถูกเขาอบรมสั่งสอน นี่ทำให้จิ้งจอกน้อยค่อนข้างสลดหดหู่ ในที่สุดก็มีวันหนึ่งที่นางตัดสินใจโมโหกลับบ้าง ฝืนอดกลั้นไม่ไปหาเขาอยู่ไม่หลายวัน
ฝ่ายเยี่ยนเฉินก็คล้ายจะไม่สังเกตเลย นางไม่ไปหาเขา เขาก็ไม่ปฏิกิริยาอะไรเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่ไม่มานางเลยสักแวบ
จิ้งจอกน้อยจึงหดหู่ยิ่งกว่าเดิม อึดอัดคับข้องอยู่เช่นนี้จนถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์
——————————————————————