ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1466+1467
บทที่ 1466 ทุบตีคนผู้นี้ด้วยคิดว่าเป็นพวกชีกอ…
ในปีก่อน ช่วงเทศกาลเยี่ยนเฉินจะพานางออกไปเที่ยวเล่นอยู่เสมอ แต่ปีนี้จิ้งจอกน้อยรอจนจันทราลอยขึ้นมาแล้ว ส่องสว่างอยู่เหนือยอดศีรษะ เยี่ยนเฉินที่นางรอก็ยังไม่มา…
ท้ายที่สุดนางก็ไม่มีทิฐิแล้ว ครุ่นคิดเล็กน้อย และยังคงไปหาเขาอยู่ดี
นางยังตั้งใจสวมชุดที่งดงามเป็นพิเศษด้วย เป็นชุดที่เยี่ยนเฉินเคยเอ่ยชม ยามนั้นทุกครั้งที่เยี่ยนเฉินเห็นนางสวมชุดนี้จะมองนางอยู่นานยิ่ง
นึกไม่ถึงว่าเยี่ยนเฉินยังคงฝึกฝนอยู่เช่นเคย นางก็ไม่กล้ารบกวนเขา จึงมองตาแป๋วรอเขาฝึกเสร็จอยู่ด้านข้าง…
ไม่ง่ายเลยกว่าเยี่ยนเฉินจะฝึกเสร็จแล้วลืมตาขึ้นมา จิ้งจอกน้อยคิดว่าตนกับเขาไม่ได้พบกันกว่าสิบวันแล้ว เมื่อเขาเห็นตนจะต้องประหลาดใจระคนยินดีเป็นแน่ คาดไม่ถึงว่าเขาแค่ผงะไปเล็กน้อยเท่านั้น แล้วกวักมือเรียกเธอไปฝึกฝนกับเขาเหมือนที่ผ่านมา…
จิ้งจอกน้อยข่มกลั้นไว้ เตือนเขาว่าวันนี้เทศกาลไหว้พระจันทร์
เยี่ยนเฉินไม่ปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา พลางเอ่ยไม่กี่คำ “เทศกาลไหว้พระจันทร์แล้วอย่างไร? มาเถอะ มาฝึกฝนกับข้า ระยะนี้เขาแอบขี้เกียจเกินไปแล้ว เช่นนี้จะก้าวหน้าได้อย่างไร…”
วาจามีหลักการของเขายังกล่าวไม่จบ จิ้งจอกน้อยก็ระเบิดออกมา “ฝึกฝน! ฝึกฝน! งั้นท่านก็ฝึกไปเถอะ! ข้าจะไปเที่ยวเล่นแล้ว!” ความโกรธพวยพุ่งจนนางหนีไปเอง
จิ้งจอกน้อยหนีลงเขาเข้าไปในเมืองด้วยตัวเอง และนั่นก็เป็นการฉลองเทศกาลไหว้พระจันทร์ที่น่าเบื่อที่สุดของนาง
ดูโคมคนเดียว กินข้าวคนเดียว มองผู้อื่นเที่ยวเล่นกันเป็นคู่ๆ คนเดียว…
เยี่ยนเฉินไม่ได้มาตามหานาง นางผิดหวังยิ่งนัก นั่งน้ำตาไหลมองภาพสะท้อนเงาจันทร์ในระลอกคลื่นอยู่ริมแม่น้ำคนเดียว
รูปโฉมนางงดงาม ตาโตฉ่ำน้ำ น่ารักปานตุ๊กตา ย่อมดึงดูดความสนใจของพวกชีกอที่เดินเตร่อยู่ริมแม่น้ำเป็นธรรมดา บางคนเริ่มเข้ามาเกี้ยวพานางแล้ว พูดจาแทะโลมคลุมเครือกับนาง
จิ้งจอกน้อยกำลังหงุดหงิดอยู่ หนนี้จึงได้ที่ระบายอารมณ์แล้ว
ถึงแม้วรยุทธ์ของนางจะไม่ได้โดดเด่นที่สุดในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ แต่ยังคงน่าหวาดหวั่นนัก ในเมืองนี้ไม่อาจหาผู้ต่อกรได้สักคน
ตุ๊กตาน้อยน่ารักระเบิดอารมณ์กลายเป็นสาวน้อยจอมพลัง ประเคนหมัดเท้าใส่จนผู้อื่นร้องไห้หาบิดามารดา ซ้ำยังมีอยู่สองสามคนที่ถูกนางถีบลงแม่น้ำไป…
คนผู้หนึ่งที่ถูกนางทุบตีจนฟกช้ำแล้วเตะลงน้ำเป็นบุตรชายของเจ้าหน้าที่ทางการในเมืองนี้ เมื่อเสียเปรียบใหญ่หลวงถึงเพียงนี้เขาย่อมไม่ยอมเลิกราแต่โดยดี
เขารู้ซึ้งถึงวรยุทธ์ของจิ้งจอกน้อยแล้ว ทราบว่าใช้ไม้แข็งไม่ได้ จึงส่งคนแอบติดตามจิ้งจอกน้อยไป ฉวยโอกาสตอนจิ้งจอกน้อยกินอาหารอยู่ในภัตตาคารแห่งหนึ่งอย่างไร้อารมณ์ วางยาลงในสำรับอาหารของนาง หมายจะทำให้นางสลบแล้วพาตัวไป…
ถึงอย่างไรจิ้งจอกน้อยก็มีพลังยุทธ์ลึกล้ำ นางจึงไม่ได้หมดสติไปอย่างสมบูรณ์ ยังคงมีสติอยู่บ้าง สะลึมสะลือบ้างมีสติบ้าง ร่างนางถูกผู้อื่นหามไปอย่างไม่อาจควบคุมได้ ในใจทราบว่าไม่ดีแล้ว เพียงแต่กรีดร้องออกมาไม่ได้
นางนึกว่าครั้งนี้ตนคงจบเห่แล้ว นึกไม่ถึงว่าพอนางฟื้นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตนอยู่ศาลเจ้าโทรมๆ แห่งหนึ่ง เสื้อผ้าของนางไม่เรียบร้อย มีชายหนุ่มรูปงามในชุดสีครามคนหนึ่งยื่นอยู่เบื้องหน้านาง นัยน์ตาดั่งระลอกคลื่นคู่นั้นกำลังจับจ้องแขนซ้ายของนางอยู่
บนแขนซ้ายของจิ้งจอกน้อยมีปานที่คล้ายใบหน้าจิ้งจอกอยู่รอยหนึ่ง รอยปานไม่ใหญ่นัก ขนาดเท่าเหรียญกษาปณ์เหรียญหนึ่ง
จิ้งจอกน้อยรังเกียจปานอัปลักษณ์นี้ของตนเสมอมา ปกติแล้วมักจะซ่อนเร้นไว้ หนนี้หากมิใช่เพราะถูกลวนลาม คงไม่เปิดเผยออกมา
บุรุษผู้หนึ่งจ้องมองแขนของเด็กสาว ถึงแม้หลานไว่หู่จะไร้เดียงสา แต่นางก็ทราบว่าเช่นนี้ไม่ถูกต้อง
ก่อนหน้านี้นางสะลึมสะลืออยู่ตลอด จึงไม่รู้เลยว่าใครที่ทำให้นางสลบแล้วพามาที่นี่ ยามนี้เมื่อเห็นคนผู้นี้อยู่ตรงหน้า นางจึงเดือดดาลขึ้นมาทันที ทุบตีคนผู้นี้ด้วยคิดว่าเป็นพวกชีกอ…
วรยุทธ์ของบุรุษผู้นี้กลับสูงส่งอย่างน่าไม่น่าเชื่อ อีกทั้งถูกเข้าใจผิดก็ไม่ได้อธิบายให้กระจ่าง กลับเงียบไว้แล้วเริ่มต่อสู้กับจิ้งจอกน้อย
——————————————————————–
บทที่ 1467 วันหน้าจะออกเรือนได้อย่างไร?
ต่อสู้ประมือกับจิ้งจอกน้อยไปหลายสิบกระบวนท่าก็ไม่มีวี่แววว่าจะเพลี่ยงพล้ำเลย ซ้ำยังยิ่งสู้ยิ่งดุเดือดขึ้นเรื่อยๆ
วรยุทธ์ของคนผู้นี้ค่อนข้างประหลาด เป็นแบบที่จิ้งจอกน้อยไม่เคยพบเห็นมาก่อน
สิ่งนี้กระตุ้นความอยากเอาชนะของจิ้งจอกน้อยขึ้นมาอย่างที่หาได้ยากยิ่งนัก รู้สึกว่าตนเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ หากเอาชนะคนนอกผู้หนึ่งยังไม่ได้ก็น่าขายหน้าอยู่บ้าง ดังนั้นจิ้งจอกน้อยจึงใช้วรยุทธ์ทั้งหมด ต่อสู้ล้มลุกคลุกคลานกับบุรุษผู้นั้น…
แต่เห็นได้ชัดว่าวรยุท์ของคนผู้นี้เหนือล้ำกว่าจิ้งจอกน้อยมากนัก ถึงแม้จิ้งจอกน้อยจะใช้พลังยุทธ์ทั้งหมดแล้ว หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยกระบวนท่าก็ยังแพ้อยู่ดี ถูกคนผู้นั้นสกัดจุดให้นิ่งอยู่ตรงนั้น
คนผู้นั้นวนเวียนอยู่รอบตัวนางสามร้อยหกสิบองศาอยู่สองรอบ จู่ๆ ก็เอ่ยถามนางประโยคหนึ่ง “เจ้าแซ่หลานใช่หรือไม่?”
จิ้งจอกน้อยยังคงใสซื่อยิ่งนัก ถามกลับอย่างเดือดดาล “เจ้ารู้ได้ยังไง?!”
คนผู้นั้นสบตานางครู่หนึ่ง นัยน์ตามีประกายแสงไหวระริกเล็กน้อย ถามนางอีกประโยค “วรยุทธ์ของเจ้ายอดเยี่ยมนัก ร่ำเรียนมาจากผู้ใด?”
จิ้งจอกน้อยรู้สึกว่าตนทำให้เหล่าอาจารย์ต้องเสียหน้าแล้ว ยามนี้ย่อมไม่คิดจะแจ้งนามของเหล่าอาจารย์ ดังนั้นนางจึงตอบกลับอย่างไปอย่างโอหัง “มิใช่กงการของเจ้า!”
คนผู้นั้นขมวดคิ้วนิดๆ “เป็นสาวเป็นแส้กลับหยาบคายเช่นนี้ วันหน้าจะออกเรือนได้อย่างไร?”
จิ้งจอกน้อยเดือดดาล กล่าวอีกประโยคหนึ่ง “มิใช่กงการของเจ้า!”
จิ้งจอกน้อยสบถประโยคนี้เป็น เนื่องจากเรียนรู้ประโยคนี้มาจากเชียนหลิงอวี่ ประโยคนี้เป็นคำที่เชียนหลิงอวี่พูดติดปากอยู่เสมอ ทุกครั้งยามที่เขาสบถประโยคนี้ออกมาจะดูทรงพลังยิ่งนัก ดังนั้นจิ้งจอกน้อยจึงเรียนรู้มา…
คนผู้นั้นเหล่มองนางแวบหนึ่ง สะบัดหน้าจากไปเลย
ด้วยเหตุนี้จิ้งจอกน้อยจึงยื่นทื่อดั่งเสากระโดงไม้อยู่ในศาลเจ้าผุพังแห่งนี้ทั้งคืน จวบจนรุ่งสางของวันถัดมานางถึงฝืนทะลวงจุดชีพจรบนร่างนางให้คลายออก ได้อิสรภาพกลับมา
จิ้งจอกน้อยเดือดดาลยิ่งนัก หลังจากนางได้อิสรภาพคืนก็ออกตามหาคนผู้นั้นปานพายุบุแคม ต้องการล้างแค้นให้ได้
แต่คนผู้นั้นหนีไปตั้งนานแล้วไม่รู้เลยว่าไปอยู่ซอกหลืบรูใด จิ้งจอกน้อยตามหาทั้งวันก็หาเงาร่างของคนผู้นั้นไม่พบเลย กลับพบกับเยี่ยนเฉินที่ออกมาตามหานางเข้า…
เมื่อเยี่ยนเฉินเห็นนางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ว่ากล่าวสั่งสอนนางอีกหลายประโยคอย่างไม่เกรงใจ เนื่องจากวันนี้เป็นวันที่สมควรต้องเข้าเรียนแล้ว ทว่าจิ้งจอกน้อยเอาแต่สนใจตามหาตัวคนผู้นั้นไม่ได้กลับไปที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เท่ากับว่าเป็นการโดดเรียน…
อาจารย์เฒ่าผู้สอนหนังสือเข้มงวดยิ่งนัก ไม่สบอารมณ์กับศิษย์ที่โดดเรียนเป็นที่สุด จึงร้องเรียนถึงกู่ฉานโม่อย่างขุ่นเคือง กู่ฉานโม่ไปสอบถามเยี่ยนเฉิน เยี่ยนเฉินถึงได้รู้ว่าจิ้งจอกน้อยยังไม่กลับมา
โชคดีที่เยี่ยนเฉินทราบว่านางชอบไปเที่ยวเล่นที่ไหน ดังนั้นจึงลงเขามาตามหา และเขาก็หาพบอย่างที่คิดไว้จริงๆ
เขานึกว่าจิ้งจอกน้อยไม่ยอมกลับไปเพราะแง่งอน จงใจโดดเรียนเพื่อเที่ยวเตร่
ส่วนจิ้งจอกน้อยถูกคนสกัดจุดไว้ทั้งคืน คืนนั้นทั้งหนาวทั้งหิวทั้งกลัว เมื่อเห็นเยี่ยนเฉินเดิมทีนางก็คับข้องหมองใจยิ่งนักอยู่แล้ว พอถูกเขาว่ากล่าวติเตียนเช่นนี้ ความคับข้องหมองใจนั้นจึงท่วมท้น ระเบิดออกมาอีกครั้ง ระบายอารมณ์ใส่เยี่ยนเฉิน ก่อนจะวิ่งกลับไปที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์คนเดียวดั่งลมหอบหนึ่ง จากนั้นก็พบกับสิ่งที่น่าตะลึงและน่าเดือดดาล ดาวเทพสงครามพุ่งชนโลกเสียแล้ว! ชายหนุ่มชุดครามที่ทำให้นางต้องยืนอยู่ที่ศาลเจ้าผุพังทั้งคืนถูกรับเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เป็นกรณีพิเศษ กลายเป็นสหายร่วมสำนักของนาง ซ้ำยังอยู่ชั้นเดียวกับนางด้วย!
และในที่สุดจิ้งจอกน้อยก็ได้ทราบนามของอีกฝ่ายแล้ว…หลานเยวี่ย มาจากชนเผ่าที่ลึกลับและสูงศักดิ์ที่สุดในทวีปนี้…เผ่าจิ้งจอกคราม
เผ่าจิ้งจอกครามเป็นชนเผ่าเซียนที่อยู่ในตำนานเล่าขานมาโดยตลอด คนในเผ่าสามารถมีร่างได้สองรูปแบบในเวลาเดียวกันคือร่างจิ้งจอกกับร่างมนุษย์ คนในเผ่ามีอายุขัยนับหมื่นปี เมื่อฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่งแล้ว จะแปลงร่างได้ตามใจนึก ถือกำเนิดเพื่อเป็นเซียนมิใช่มาร
—————————————————————————