ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1468+1469
บทที่ 1468 ผู้ใดหัวเราะเยาะนาง เขาก็ทุบตีผู้นั้น
คนเผ่าจิ้งจอกครามไม่ออกเคลื่อนไหวในทวีปนี้ง่ายๆ ต่อให้มีความเคลื่อนไหวก็จะปกปิดฐานะไว้เข้าสู่โลกด้วยฐานะมนุษย์ ผู้คนในโลกนี้เพียงเคยได้ยินเรื่องของชนเผ่านี้เท่านั้น ไม่เคยพบพานเลย
สมัยที่กู่ฉานโม่ยังหนุ่มเคยคบค้าสมาคมกับคนของเผ่าจิ้งจอกครามอยู่หนหนึ่ง ถึงขั้นที่ติดหนี้น้ำใจของประมุขเผ่าจิ้งจอกครามด้วย ดังงนั้นจึงจดจำตราสัญลักษณ์พิเศษของเผ่าที่คนในเผ่าพกติดตัวได้
ในเมื่อหลานเยวี่ยสมัครใจเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ กู่ฉานโม่ย่อมปฏิเสธไม่ได้ ถึงขั้นที่ให้เขาข้ามชั้นเรียนระดับต้นเป็นกรณีพิเศษ เข้าไปอยู่ในชั้นเรียนระดับกลางโดยตรง เข้าไปอยู่ในชั้นเรียนของจิ้งจอกน้อยอย่างประจวบเหมาะพอดี…
ถึงแม้หลานไว่หูจะแซ่หลานเช่นกัน แต่นางกลับไม่มีความเกี่ยวข้องกับเผ่าจิ้งจอกครามเลย นางเป็นเด็กกำพร้าที่ตระกูลของเยี่ยนเฉินรับเลี้ยง
มารดาของนางเคยเป็นโฉมงามที่โดดเด่นที่สุดในเมืองเล็กๆ แห่งนั้น ต่อมาไม่ทราบว่าหายตัวไปไหนระยะหนึ่ง เมื่อกลับมาอีกครั้งก็ตั้งครรภ์แล้ว
การท้องก่อนแต่งเป็นเรื่องต้องห้ามของเมืองนั้น หลังจากมารดาให้กำเนิดหลานไว่หู่ท่ามกลางคำนินทาครหาของฝูงชนได้ไม่นานก็จากโลกไป ก่อนตายไม่ได้เผยว่าบิดาของหลานไว่หู่คือผู้ใด กล่าวเพียงว่าเด็กน้อยแซ่หลาน ตั้งชื่อให้ว่าหลานไว่หู่ (จิ้งจอกครามนอกถิ่น) ถูกบิดามารดาของเยี่ยนเฉินเมตตารับไปเลี้ยงดูข้างกาย ถึงได้กลายเป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ที่เติบโตมาพร้อมกับเยี่ยนเฉิน
ทวีปนี้มีแซ่หลานอยู่มากมาย มิใช่มีเพียงเผ่าจิ้งจอกคราม ดังนั้นทุกคนจึงไม่ได้สงสัยฐานะของหลานหู่มากนัก ถึงขั้นที่หัวเราะเยาะนางเนื่องจากคำว่า ‘หู่’ (จิ้งจอก) ในชื่อของนางอยู่บ่อยครั้ง เยาะหยันว่ามารดาของนางเป็นคางคกริอยากลิ้มรสหงส์ฟ้า แค่เพราะมีแซ่หลานก็คิดจะลากพัวพันกับเผ่าจิ้งจอกครามแล้ว
จิ้งจอกน้อยจิตใจบริสุทธิ์ เมื่อถูกคนหัวเราะเยาะเย้ยเช่นนี้ย่อเจ็บปวดยิ่งนัก ทว่าไม่ทราบว่าควรต้องทำอย่างไรถึงจะดี
โชคดีที่ต่อมาเยี่ยนเฉินทนมองไม่ได้ พวกเด็กๆ ที่เล่นด้วยกันตอนนั้นผู้ใดหัวเราะเยาะนาง เขาก็ทุบตีผู้นั้น
เยี่ยนเฉินแตกต่างกับหลานไว่หู่ เขาเป็นความภาคภูมิใจของทั้งตระกูล อีกทั้งเขาถือกำเนิดมาพร้อมกับรัศมีของผู้เป็นราชัน ไม่เพียงแต่คนรุ่นราวคราวเดียวกันเท่านั้นที่ยำเกรงเขา แม้แต่พวกผู้ใหญ่เหล่านั้นก็ยังกริ่งเกรงเขาเสียสามส่วน เคารพเขาเช่นกัน
เนื่องจากท่าทางที่ปกป้องจิ้งจอกน้อยอย่างชัดเจนของเขา เสียงหัวเราะเยาะจิ้งจอกน้อยเหล่านั้นถึงได้ค่อยๆ ซาไป ไม่มีใครเอ่ยถึงอีกต่อไป และไม่มีผู้ใดกล้ากลั่นแกล้งจิ้งจอกน้อยอีก วันคืนของจิ้งจอกน้อยก็นับว่าสุขสบายอยู่หลายปี แต่ช่วงเวลาดีๆ คงอยู่ไม่นาน เมื่อเยี่ยนเฉินอายุได้สิบสามปีก็เข้าสู่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ห่างไกลจากบ้านเกิด จิ้งจอกน้อยจึงไม่มียันต์คุ้มภัยแล้ว และมีเค้าว่าจะถูกผู้อื่นรังแกอีกครั้ง
เคราะห์ดีที่ถึงแม้จิ้งจอกน้อยจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับเผ่าจิ้งจอกคราม แต่ก็เป็นอัจฉริยะน้อยคนหนึ่งเช่นกัน หลังจากเยี่ยนเฉินเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ได้สามปี จิ้งจอกน้อยก็มีโชคได้เข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เหมือนกัน ถึงได้พัวพันกับเยี่ยนเฉินลึกซึ้งไปอีกขั้นหนึ่ง ทั้งสองคนจึงได้ก้าวมาถึงวันนี้…
หลังจากหลานเยวี่ยเข้าสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มา จิ้งจอกน้อยจดจำความแค้นเอาไว้ตลอดจึงไม่สนใจเขาเท่าไหร่
ส่วนหลานเยวี่ยผู้นี้ก็ค่อนข้างเกเร มักจะกระเซ้าเย้าแหย่นางเพื่อความสนุกอยู่บ่อยครั้ง ทำให้นางชิงชังจนกัดฟันกรอดๆ ปรารถนาจะทุบตีเขาเพื่อระบายแค้นยิ่งนัก
แต่นางมิใช่คู่ต่อสู้ของผู้อื่น ถ้าบุ่มบ่ามเข้าไปต่อกรจะมีแต่ตนที่เสียเปรียบ ทุกครั้งที่เห็นหลานเยวี่ยส่ายอาดๆ อยู่เบื้องหน้าตน จิ้งจอกน้อยรู้สึกโมโหยิ่งนัก โกรธจนนอนไม่หลับอยู่บ่อยๆ
เนื่องจากนางขุ่นเคืองเยี่ยนเฉินอยู่ หมางเมินต่อเยี่ยนเฉินมาหลายวันแล้ว ย่อมไม่บอกเขาเรื่องคดีความนี้ ยังคงเป็นเชียนหลิงอวี่ที่มองเส้นสนกลในออก ซักถามอยู่สองสามประโยคเขาก็รู้ความจริงแล้ว
เชียนหลิงอวี่ถือว่าจิ้งจอกน้อยเป็นคนที่ตนต้องคุ้มครองเสมอมา เมื่อได้ยินว่านางเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ก็โกรธยิ่งนัก รู้สึกว่าตนต้องเอาคืนแทนหลานไว่หู่ ทั้งสองจึงร่วมมือกันวางแผนเล่นงานหลานเยวี่ยสักครั้ง แทบจะเอากระสอบไปคลุมหลานเยวี่ยไว้แล้วทุบตีสักยกเสียแล้ว แต่เนื่องจากจัดการเรื่องราวได้ไม่รอบคอบพอ จึงถูกผู้อื่นจับได้เสียก่อน…
————————————————————————
บทที่ 1469 ท่าทางราวกับมีแผนการในใจ
พวกเขาไม่เพียงแต่ทุบตีหลานเยวี่ยไม่สำเร็จ แต่กลับถูกหลานเยวี่ยจับทางได้ หลานเยวี่ยมักจะเอาเรื่องไปฟ้องอาจารย์มาอ้างเป็นเหตุผลให้จิ้งจอกน้อยกับเชียนหลิงอวี่ทำโน่นนี่ จนทั้งสองเกือบก็จะกลายเป็นลูกสมุนของเขาอยู่แล้ว…
วันคืนเหล่านั้นทำให้หลานไว่หู่มีความคิดอยากเอาชนะหลานเยวี่ยอยู่เต็มหัวสมองไปหมด จึงลืมเรื่องที่เยี่ยนเฉินหมางเมินนางไปชั่วขณะ
ตอนนั้นนางอยู่แต่กับเชียนหลิงอวี่ทุกวัน ครุ่นคิดถึงจุดที่จะเล่นงานหลานเยวี่ยได้ สิ่งนี้ทำให้เยี่ยนเฉินรับรู้ได้ถึงวิกฤต และทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองหมางเมินจิ้งจอกน้อยไปจริงๆ เขาเริ่มไปหาจิ้งจอกน้อยบ่อยครั้งมากขึ้น…
นางยังคงขุ่นเคืองเยี่ยนเฉิน หลังจากที่นางระเบิดใส่เยี่ยนเฉินครานั้น นางก็ไม่ได้ไปหาเขาอีกเลย ถึงแม้เยี่ยนเฉินตามหานาง ท่าทีของนางก็เย็นชายิ่งนัก ไม่ได้ตามติดเขาแจอย่างเมื่อก่อนอีกต่อไป…
สิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เยี่ยนเฉินกำลังจะทะลวงขั้นเก้าพอดี จำเป็นต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลัง ไม่อาจให้เรื่องอื่นมารบกวนจิตใจได้
ส่วนเยี่ยนเฉินนั้นต้องการทำให้จิ้งจอกน้อยประหลาดใจ จึงไม่ได้บอกนางไว้ล่วงหน้า
เดิมทีเขาน่าจะทะลวงขั้นได้ภายในเวลาสามเดือน ทว่าเรื่องของจิ้งจอกน้อยทำให้เขาไม่มีสมาธิฝึกฝนอีกต่อไป ในที่สุดก็ถูกธาตุไฟเข้าแทรกระหว่างการทะลวงสู่ขั้นเก้า หากกู่ฉานโม่ไม่ได้ไปพบเข้าและช่วยเขาไว้ได้ทันท่วงที ชีวิตน้อยๆ ของเยี่ยนเฉินคงต้องจบลงเช่นนี้แล้ว
ถึงแม้ดึงรั้งชีวิตน้อยๆ ของเยี่ยนเฉินกลับมาได้ ทว่าการถูกธาตุไฟเข้าแทรกของเขาทำให้สำนึกศึกษาชุมนุมสวรรค์แทบจะวุ่นวายกันไปหมด กู่ฉานโม่ตื่นตระหนกจนหนวดเคราหงอกขาวไปกึ่งหนึ่ง ส่วนเยี่ยนเฉินถึงแม้จะทะลวงขั้นได้สำเร็จ ทว่ายังคงมีอาการข้างเคียงหลงเหลืออยู่ เขาจะเป็นอัมพาตสองวันในทุกเดือน…
การรักษาอาการข้างเคียงเช่นนี้มีความหวังเพียงริบหรี่ เว้นแต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือด้วยตัวเอง มิเช่นนั้นแล้วอาการข้างเคียงนี้จะต้องอยู่กับเขาไปชั่วชีวิต
จิ้งจอกน้อยรู้สึกเสียใจเป็นที่สุดเมื่อรู้ความจริง ไม่กล้าแง่งอนเยี่ยนเฉินอีกต่อไป ซ้ำยังเป็นคนกลับไปอยู่ข้างกายเขาก่อนเองเสียด้วย
เยี่ยนเฉินบรรลุขั้นเก้าก็นับว่าสำเร็จการศึกษาอย่างราบรื่นแล้ว ตระกูลของเยี่ยนเฉินมีบ่อน้ำร้อนที่สามารถรักษาบาดแผลภายในได้ หากแช่น้ำเป็นเวลานานจะรักษาโรคได้มากมาย
คนตระกูลเยี่ยนเฉินมารับเขากลับบ้าน ต้องการให้เขาลองรักษาอาการข้างเคียงโดยการแช่บ่อน้ำร้อนนั้น ทว่าเยี่ยนเฉินยังคงเป็นห่วงหลานไว่หู่ ไม่อยากกลับไป
ท้ายที่สุดกู่ฉานโม่จึงตัดสินใจให้หลานไว่หู่ลาหยุดครึ่งปี ให้นางกลับไปเป็นเพื่อนเยี่ยนเฉิน
เมืองเยี่ยนจื่อบ้านเกิดของจิ้งจอกน้อยไม่มีผู้ใดที่นางห่วงหาอาทร หากไม่ใช่เพราะเยี่ยนเฉิน ความจริงนางก็ไม่อยากกลับไป นางชอบเพื่อนๆ ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มากกว่า
ก่อนออกเดินทาง นางบอกลาผองเพื่อนที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ทุกคนต่างอาลัยอาวรณ์ จิ้งจอกน้อยเงยหน้าขึ้นมาเห็นหลานเยวี่ยยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน กำลังหยักยิ้มมุมปากเล็กน้อย มองมาแล้วส่งกระแสเสียงถึงนาง ‘ไม่ต้องทำอย่างกับจะตายจากกันขนาดนี้หรอก ไม่ถึงครึ่งปีเจ้าก็กลับมาแล้ว เจ้ากลับมาเมื่อใดข้ามีบางสิ่งให้เจ้าประหลาดใจ…’
จิ้งจอกน้อยรังเกียจเขายิ่งนัก เพียงตอบกลับเขาไปสามคำ ‘ไสหัวไป!’
หลานเยวี่ยยิ้ม ไม่พูดจาอันใดอีก ท่าทางราวกับมีแผนการในใจ
เยี่ยนเฉินกลับบ้านหลังจากสำเร็จการศึกษา เขาได้รับการต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่ ชาวบ้านแทบทั้งเมืองล้วนออกมาต้อนรับเขา
จิ้งจอกน้อยที่อยู่ข้างกายก็ดีอกดีใจแทนเยี่ยนเฉิน เนื่องจากนางรู้สึกผิดต่อเยี่ยนเฉิน จึงเป็นเด็กดียิ่งนักเสมอมา คอยปรนนิบัติข้างกายเยี่ยนเฉินอย่างสุดกำลัง เยี่ยนเฉินก็ไม่ต้องการหมางเมินนางอีกต่อไป มักจะจับมือนางบ่อยครั้ง ทำให้นางมีความสุขมาก
สิ่งที่ทำให้นางเป็นกังวลอยู่บ้างก็คือท่าทีของบิดามารดาเยี่ยนเฉิน
ก่อนหน้าที่จิ้งจอกน้อยยังไม่เข้าเรียนที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ บิดาเยี่ยนค่อนข้างดูแลนางเป็นอย่างดี คอยถามไถ่สารทุกข์สุกดิบของนาง แต่มารดาเยี่ยนค่อนข้างไม่สนใจ ไม่ค่อยพูดจาอันใดกับนาง ทว่าสิ่งที่ต้องดูแลก็ยังคงดูแลอยู่
————————————————————————————