ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1499
บทที่ 1499 ประหารทั้งตระกูล
จวบจนยามนี้เขาก็ยังไม่กลับมา โชคดีที่ทุกสองวันเขาจะติดต่อมาหาเธอ มิเช่นนั้นเธอคงเป็นห่วงเขาอีก
เธอมองดูท้องฟ้า วันนี้วันที่สิบห้าแล้วนะ!
อีกทั้งเขาไม่ได้ติดต่อมาหาเธอสองวันแล้ว คืนนี้ต่อให้ตัวเขาไม่กลับมา ก็คงติดต่อผ่านยันต์ถ่ายทอดเสียงพูดคุยกับเธอสักสองสามประโยคกระมัง?
เธอกลับไปที่เรือนของตัวเองก่อนเนื่องจากพะวงว่าตี้ฝูอีจะติดต่อมาหาเธอ เธอจึงไม่ได้นั่งสมาธิ เลี่ยงไม่ให้นั่งไปสักพักแล้วถูกขัดจังหวะ ไม่เป็นผลดีต่อการบ่มเพาะ
ที่เธอคาดไม่ถึงก็คือ เธอรออยู่ทั้งคืน ยันต์ถ่ายทอดเสียงก็ไม่มีเปล่งแสงว่ามีการติดต่อจากตี้ฝูอีเลย
ในระหว่างนี้เธอเคยลองเชื่อมต่อกับยันต์ถ่ายทอดเสียงของเขาดู แต่ก็เชื่อมต่อไม่ได้เลย ตี้ฝูอีน่าจะปิดยันต์ถ่ายทอดเสียงไว้ ทุกครั้งที่เขาปิดยันต์ถ่ายทอดเสียง ล้วนเป็นการไปทำภารกิจในสถานที่ที่อันตรายอย่างยิ่ง ต้องมีสมาธิจดจ่อ ไม่อาจวอกแวกได้แม้เพียงนิด
ดังนั้นหลายวันนี้กู้ซีจิ่วจึงเป็นฝ่ายติดต่อไปหาเขาน้อยยิ่งนัก ด้วยเกรงว่าจะไปรบกวนเขาที่กำลังทำธุระอันใดอยู่
ในจดหมายที่ตี้ฝูอีทิ้งไว้ให้เธอกล่าวไว้ว่าหยกมารเวหนที่ถูกจัดวางไว้ในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ชิ้นนั้นไม่ธรรมดาเลย คล้ายว่ามิใช่วัตถุของโลกนี้ และมิคล้ายว่าเป็นสิ่งที่หลงฟั่นประดิษฐ์ขึ้น บางทีอาจยังมีมือมืดคนอื่นที่บงการอยู่เบื้องหลังอีก เขาออกไปข้างนอกเพื่อตรวจสอบเรื่องนี้
ตี้ฝูอีตรวจสอบเรื่องนี้อย่างลับๆ นอกจากกู้ซีจิ่ว ผู้ใดล้วนไม่ทราบทิ้งสิ้น เพื่อป้องการไม่ให้ข้อมูลรั่วไหลออกไป เวลาที่ตี้ฝูอีติดต่อกับเธอจึงไม่กล่าวถึงความคืบหน้าของการตรวจสอบ เพียงให้เธอวางใจ ไม่จำเป็นต้องกังวล…
ช่วงเวลาคล้ายจะรีบร้อนยิ่งนัก ทุกครั้งล้วนป็นการพูดจาสองสามประโยค และไม่เคยพูดคำหวานเลยสักคำ เพียงแต่ทำให้ทั้งสองฝ่ายล้วนทราบว่าอีกฝ่ายปลอดภัยดียิ่ง
กู้ซีจิ่วรออยู่ทั้งคืนก็ไม่ได้รับถ้อยคำจากตี้ฝูอีเลย กลับได้รับข่าวจากไป๋หลี่เช่อแทน น้ำเสียงไป๋หลี่เช่อร้อนรน “ซีจิ่ว แย่แล้ว! จักรพรรดิของอาณาจักรเฟยซิงจับกุมทั้งตระกูลของเจ้าด้วยข้อหากบฏ ยามนี้อยู่ในคุกหลวง จะถูกสำเร็จโทษต่อหน้าสาธารณชนในวันมะรืนแล้ว!”
กู้ซีจิ่วตะลึงงัน
ปฏิกิริยาแรกของเธอคือ หรงเจียหลัวบ้าไปแล้วกระมัง?!
….
อันที่จริงไม่ใช่แค่กู้ซีจิ่วคนเดียวที่รู้สึกว่าหรงเจียหลัวบ้า แม้แต่ราษฎรชาวเฟยซิงก็รู้สึกเช่นกันว่าจักรพรรดิองค์นี้วิปลาสไปแล้ว!
กู้เซี่ยเทียนผู้นี้ถึงแม้จะเลือดเย็นไปบ้างในแง่ของความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา แต่ก็เป็นขุนศึกห้าวหาญที่หาได้ยากผู้หนึ่งจริงๆ หลายปีมานี้เขาบุกเหนือพุ่งใต้กรำศึกเพื่ออาณาจักรเฟยซิง มีคุณูปการด้านการศึกมากมายจนนับไม่ถ้วน ในใจของราษฎรแล้ว เขาเปรียบได้กับเยวี่ยเฟยแห่งราชวงศ์ซ่งเลยทีเดียว!
ถึงแม้เมื่อก่อนเขาจะไม่ได้อยู่ฝ่ายองค์รัชทายาท แต่ต่อมาเป็นเพราะมีสาเหตุมาจากบุตรสาว จึงทุ่มเทปกป้องหรงเจียหลัว หลังจากหรงเจียหลัวครองราชย์แล้ว เขาก็ซื่อสัตย์ภักดีต่อจักรพรรดิองค์ใหม่ผู้นี้ ประพฤติตนตามหน้าที่ของขุนนางอย่างเคร่งครัด
เพียงแต่คงเป็นเพราะสองปีมานี้ไม่พอใจที่หรงเจียหลัวรบทัพจับศึกรุกรานตามอำเภอใจ เขาจึงอ้างเหตุผลว่าร่างกายเจ็บป่วย ต้องการถอดเกราะหวนคืนไร่นา มอบอำนาจด้านการทหารออกไป ทำตัวเป็นขุนนางเกษียณผู้ไม่ถามไถ่เรื่องทางโลก แต่ในใจของประชาชน เขายังคงเป็นผู้กล้าที่ยิ่งใหญ่อยู่
กลับนึกไม่ถึงเลยว่าผู้กล้าคนหนึ่งจะโดนข้อหาฐานลอบก่อกบฏ ถูกบุกตรวจค้นกวาดล้างตระกูล ซ้ำยังถูกตัดสินให้รับโทษแล่เนื้อเถือหนังที่โหดร้ายและไร้มนุษยธรรมที่สุดด้วย!
แล่เนื้อเถือหนังทั้งตระกูล!
แม้กระทั่งบุตรสาวทั้งสองของเขาที่ออกเรือนไปแล้วรวมถึงครอบครัวฝ่ายสามีก็ไม่ได้รับการยกเว้น…
ตระกูลกู้ยังคงเป็นตระกูลใหญ่เช่นกัน เมื่อรวมข้ารับใช้ใดๆ ในจวนเข้าไปด้วยแล้ว เป็นจำนวนคนกว่าสามร้อยชีวิตเลย ในนั้นรวมถึงเด็กน้อยวัยแบเบาะที่ยังไม่ถึงสามขวบด้วย
ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาแล้ว บนท้องถนนที่กว้างขวางคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ราวกับประชาชนทั้งหมดล้วนพากันออกมา
ขั้นแรกคือจะมีเจ้าหน้าที่กองหนึ่งเปิดทาง ด้านหลังคือรถขนนักโทษที่สร้างจากไม้ รถขนนักโทษเหล่านี้สร้างขึ้นแบบพิเศษ ตรึงนักโทษเอาไว้ด้านใน มีเพียงศีรษะที่โผล่ออกมาด้านนอก
เนื่องจากคนที่ต้องรับโทษมีมากมายเกินไปจริงๆ ในรถขนนักโทษที่เดิมทีควรขังไว้คนเดียวจึงยัดไว้เจ็ดแปดคน ใหญ่บ้างเล็กบ้างคล้ายปลาซาร์ดีนที่ถูกอัดแน่นในกระป๋องเดียวกัน บนร่างล้วนสวมตรวนหนักอึ้งไว้ แม้แต่เด็กเล็กอายุหกเจ็ดขวบก็ไม่ได้รับการยกเว้น…
กู้เซี่ยเทียนถูกขังไว้คนเดียวในรถขนนักโทษคันหนึ่ง ตรวนที่สวมอยู่บนร่างเขาก็เป็นแบบพิเศษเช่นกัน ไม่เพียงแต่หนักเป็นพิเศษเท่านั้น แต่ด้านในของห่วงที่คล้องตรงแขนขายังเต็มไปด้วยตะปูเหล็กอีก ตะปูเหล็กเหล่านั้นแทงลึกเข้าไปในข้อมือข้อเท้าของเขา ทำให้เขาที่อยู่ในรถขนนักโทษไม่อาจขยับเขยื้อนได้เลยสักนิด
สายตาของประชาชนนับไม่ถ้วนล้วนมองเขา มองอดีตแม่ทัพผู้เคยสง่างามเกรียงไกร ยามนี้กลับตกอับจนเหมือนยาจกขอทาน เรือนผมขาวโพลน สยายยุ่งเหยิงบนบ่า เขาน่าจะได้รับโทษทัณฑ์อย่างอื่นมาด้วย ดวงหน้าที่เคยทะนงองอาจบัดนี้ฟกช้ำบวมปูด บนร่างเกรอะกรังด้วยคราบโลหิต…
ที่อาณาจักรเฟยซิง มีเพียงคนที่ก่ออาชญากรรมที่เลวร้ายเป็นที่สุดเท่านั้นถึงจะถูกสำเร็จโทษด้วยการแล่เนื้อเถือหนัง คนเหล่านั้นล้วนถูกปวงชนชิงชังเดียดฉันท์ ดังนั้นปกติแล้วยามเมื่อรถขนนักโทษจำพวกนี้ค่อยๆ เคลื่อนไปตามท้องถนน ประชาชนจะโยนก้อนหินไข่เน่าผักเน่าอะไรจำพวกนั้นใส่รถขนนักโทษ เป็นการแสดงความแค้นเคืองหยามหมิ่น
ข้อหาที่กู้เซี่ยเทียนได้รับในครั้งนี้คือสมคบคิดต่างอาณาจักรก่อกบฏอะไรทำนองนั้น ว่ากันตามเหตุผลแล้ว ข้อหาประเภทนี้เป็นที่ชิงชังเดียดฉันท์ของประชาชนยิ่งนัก และทำให้ประชาชนปาไข่เน่าใส่ได้ง่ายที่สุด
แต่หนนี้ยามที่รถขนนักโทษเหล่านี้ค่อยๆ เคลื่อนไปตามท้องถนน เหล่าประชาชนกลับคล้ายว่าสูญเสียเสียงไปเกือบหมดแล้ว มองรถขนนักโทษเคลื่อนตัวไปอย่างเงียบงัน เมื่อเห็นสภาพของนักโทษในรถขนนักโทษเหล่านั้น ดวงตาของเหล่าปวงชนก็ความแค้นเคืองและความไม่เป็นธรรมวาบผ่านขึ้นมา…
ไม่มีใครเชื่อว่ากู้เซี่ยเทียนจะทรยศอาณาจักร แต่ยามนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกุมอำนาจไว้ วิธีบังคับกดดันของเขารุนแรงนัก ทำให้ประชาชนไม่กล้าพูด ไม่กล้าออกเสียง แต่ละคนเพียงแต่กำหมัดแน่นอยู่ในแขนเสื้อ!
ขันทีที่นางอยู่ด้านหน้าร้องเสียงแหลมขึ้นมาเป็นระยะๆ “กู้เซี่ยเทียนทรยศบ้านเมือง ถึงตายก็ยังไม่สาสม!”
เสียงแหลมกังวาน ก้องสะท้อนบนถนนใหญ่
เมื่อก่อนยามที่เสียงนี้ดังขึ้นมา ไข่เน่าเหม็นและผักหญ้าเน่าเสียจะปลิวว่อนมาจากทุกทิศ แต่หนนี้ไม่รู้ว่าขันทีคนนั้นร้องตะโกนไปสักเท่าไหร่แล้ว ประชาชนสองข้างทางกลับเสมือนท่อนไม้ ไม่มีใครตอบสนองเลย…
ยามที่เคลื่อนผ่านชั้นล่างของภัตตาคารแห่งหนึ่ง มีคนไม่กี่คนที่ถูกราชสำนักซื้อตัวไว้นานแล้วแสร้งทำตัวเป็นชาวบ้าน ปาไข่เน่าไม่กี่ฟองใส่หน้ากู้เซี่ยเทียน แต่กลับเป็นการดึงดูดให้คนรอบข้างมองมาอย่างโกรธเคือง…ทำให้ไม่กี่คนนั้นก็ค่อนข้างละอายเช่นกัน
ลานประหารตั้งอยู่ในจัตุรัสขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง เพียงพอให้จุคนหลายพันคนได้สบายๆ
เพื่อป้องกันคนมาชิงตัวนักโทษ ลานแห่งนี้จึงถูกผนึกไว้ชั่วคราว เหลือเพียงประตูใหญ่สี่บานเอาไว้สี่ทิศ ถึงแม้ประชาชนจะผ่านประตูใหญ่เข้ามาได้ แต่ต้องได้รับการตรวจสอบตัวตน และต้องถูกค้นตัว ไม่อนุญาตให้พกพาอาวุธทุกชนิด
สี่ด้านเป็นกำแพงเหล็ก ประตูใหญ่ก็หนาหนักไร้ใดเทียม ถ้าเกิดเรื่องปล้นตัวนักโทษขึ้น ประตูใหญ่จะปิดทันที คนที่มาปล้นตัวนักโทษมีแต่ต้องถูกจับกุมอยู่ด้านในอย่างอับจนปัญญา อยากหนีก็หนีไม่รอด
รถขนนักโทษค่อยๆ เคลื่อนเข้าสู่ลาน ประชาชนก็ติดตามเข้ามาด้วย
บนลานมีแท่นสูงขนาดใหญ่แท่นหนึ่ง บนแท่นสูงติดตั้งเสาเหล็กไว้ร้อยกว่าต้น และนักโทษกว่าสามร้อยชีวิตก็ถูกลากออกมาจากรถขนนักโทษ บ้างก็ถูกให้คุกเข่าอยู่บนแท่นสูง บ้างก็ถูกมัดตรึงไว้บนเสาเหล็ก รอรับทัณฑ์ประหาร…
เนื่องจากมีคนมากมาย ซ้ำยังต้องประหารด้วยการแล่เนื้อเถือหนังอีก ไม่เพียงแต่เพชฌฆาตเท่านั้นที่มีไม่พอ เสาเหล็กเหล่านี้ก็มีไม่พอเช่นกัน จึงต้องแบ่งออกเป็นสามกลุ่มแล้วค่อยประหาร
ยามที่คนกลุ่มแรกถูกตรึงไว้บนเสาประหาร อีกสองกลุ่มที่เหลือก็ต้องคุกเข่ามองการประหารอยู่รอบข้าง…
คงเป็นเพราะต้องการมอบบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ให้แก่กู้เซี่ยเทียน เขาและบุตรสาวทั้งสองของเขาจึงถูกจัดไว้เป็นกลุ่มสุดท้าย พวกเขาต้องเห็นญาติมิตรคนอื่นๆ ถูกแล่เนื้อเถือหนังไปก่อน…
นี่เป็นการทรมานจิตใจอันใหญ่หลวงประการหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัยเลย กู้เซี่ยเทียนถูกบังคับให้คุกเข่าอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาแดงฉาน แววตาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อยสิ้นหวัง
กลุ่มแรกที่ถูกขึงไว้บนเสาประหารคือญาติพี่น้องส่วนหนึ่งของตระกูลกู้ ในบรรดานั้นมีหลานตาทั้งสามคนของกู้เซี่ยเทียนด้วย เด็กน้อยทั้งสามคนที่โตที่สุดเพิ่งจะห้าขวบเท่านั้น ถึงแม้เด็กน้อยจะไม่รู้ว่าอะไรคือการแล่เนื้อเถือหนัง แต่ถูกมัดไว้ตรงนั้นก็เจ็บปวดอย่างยิ่งแล้ว ร้องไห้งอแงอยู่ตลอด…เสียงร้องโหยหวน ทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุกาณณ์ต่างสะเทือนใจกันหมด!
“ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาเยือน! ฮูหยินท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาเยือน!” เสียงตะโกนยาวกังวานแว่วจากที่ไกลๆ