ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1530+1531
บทที่ 1530 สู่ขอเป็นภรรยาหนีตามมาเป็นอนุ
มู่เฟิงก็เป็นคนละเอียดอ่อนผู้หนึ่ง ย่อมมองออกว่ากู้ซีจิ่วดื่มสุรามา แถมยังดื่มไปไม่น้อยด้วย
เขาเกรงว่าเธอจะเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้น จึงเกลี้ยกล่อมให้เธอค้างที่นี่ ซ้ำยังจัดแจงให้คนไปตุ๋นน้ำแกงสร่างเมามา
ในใจกู้ซีจิ่วมีไฟโทสะอยู่ จึงส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ต้องหรอก ข้ายังต้องกลับไปจวนแม่ทัพ” พลางหมุนกายเคลื่อนย้ายจากไปเสีย
เธอค่อนข้างกลุ้มใจ ฤทธิ์สุราทำให้สมองเธอไม่ใคร่แจ่มใสนัก หลังจากใช้วิชาเคลื่อนย้ายไปปรากฏตัวผิดที่อีกครั้ง เธอก็นั่งลงบนตำแหน่งหนึ่งแล้วดึงสติเสียเลย ใช้พลังวิญญาณรีดเร้นสุราไปที่ปลายนิ้ว กลั่นออกมาเป็นกลั่นไหลลงไปทีละหยดๆ…
นี่เป็นวิธีขจัดสุราที่เธอเคยเห็นมาจากเรื่องแปดเทพอสูรมังกรฟ้า หลังจากเรียนรู้จนใช้พลังวิญญาณเป็น เธอก็เริ่มศึกษาค้นคว้าเคล็ดนี้ก่อนเป็นลำดับแรก
เมื่อเข้าใจวิธีขจัดสุรานี้แล้ว ไม่ว่าเธอจะดื่มสุรามากแค่ไหนล้วนสามารถขับมันออกมาจากปลายนิ้วได้ทุกเวลา ไม่ตกค้างอยู่เลยสักนิด ขอเพียงไม่ต้องการเมามาย ไม่ว่าจะดื่มเท่าใดก็ไม่มีทางเมา…
หลังจากขับสุราออกไปแล้ว เธอรู้สึกว่าสมองของตนแจ่มใสขึ้นไม่น้อยเลย นั่งรับลมเย็นๆ อยู่บนโขดหินพักหนึ่ง ถึงได้กลับไปที่จวนแม่ทัพ
เมื่อกลับไปที่ห้องนอนของตนไม่น่าเชื่อว่าจะได้พบว่ากู้เซี่ยเทียนอยู่ที่นี่ เธอผงะไปครู่หนึ่ง กู้เซี่ยเทียนกลับถอนหายใจอย่างโล่งอก “จิ่วเอ๋อร์ เจ้าไปไหนมา? ทำเอาพ่อตกใจหมด”
การหายตัวไปเมื่อแปดปีก่อนของกู้ซีจิ่วกลายเป็นเงามืดในใจของเขาแล้ว ค่อนข้างทุกข์ร้อนลนลานอยู่เสมอ
กู้ซีจิ่วทราบถึงความเป็นห่วงของเขา ถึงแม้บิดาราคาถูกคนนี้จะไม่ใช่บิดาบังเกิดเกล้าของเธอจริงๆ แต่ก็ดีต่อคนที่ทะลุมิติมาอย่างเธอยิ่งนัก ทำให้คนที่ใจแข็งปานศิลาอย่างกู้ซีจิ่วค่อนข้างซาบซึ้งอยู่บ้างเช่นกัน จึงพูดคุยกับเขาด้วยสีหน้าอ่อนโยนอย่างที่พบเห็นได้ยากนักอยู่พักหนึ่ง
คงเป็นเพราะยากนักที่ลูกสาวคนนี้จะสนทนากับเขาอย่างอ่อนโยน กู้เซี่ยเทียนจึงตื่นเต้นและเกร็งๆ อยู่บ้าง ถูฝ่ามืออยู่บ่อยครั้ง “ซีจิ่ว เมื่อกี้เจ้าไปหาทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาใช่ไหม? สรุปแล้วเจ้ากับเขา…”
เขารู้สึกอยู่ตลอดว่าความสัมพันธ์ของบุตรสาวกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายดูแปลกๆ แต่ก็บอกไม่ได้ว่าแปลกตรงไหน…
กู้ซีจิ่วชะงักไปแวบหนึ่ง กล่าวทีเล่นทีจริง “ท่านพ่อ ถ้าหากข้าบอกว่าข้ากับเขาแต่งงานกันแล้ว ท่านคิดว่ายังไง…”
‘ตุ้บ!’ ถ้วยชาในมือของกู้เซี่ยเทียนหล่นลงพื้น “อะไรนะ? เจ้ากับเขาแต่งกันแล้ว? ที่ไหน? ใครเป็นพยาน? เป็นไปไม่ได้น่า หากว่าเจ้าออกเรือนแล้วดังว่า ในบันทึกสาแหรกตระกูลของพวกเราที่นี่ว่าตามเหตุผลแล้วน่าจะมีชื่อของพวกเจ้าสิ”
กู้ซีจิ่วกลับค่อนข้างประหลาดใจ “บันทึกสาแหรกตระกูล? คือสิ่งใด?”
กู้เซี่ยเทียนเอ่ยตอบ “เป็นหนังสือสมรสของชายหญิงที่ออกโดยทางการ ขอเพียงชายหญิงแต่งงานกัน ล้วนจะปรากฏขึ้นบนบันทึกสาแหรกตระกูลของแต่ละครัวเรือนด้วยตัวเอง”
กู้ซีจิ่วคาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องแบบนี้อยู่ด้วย ค่อนข้างเหม่อลอยไปชั่วขณะ
“ท่านพ่อ ท่านบอกว่าบันทึกสาแหรกตระกูลนั้นจะปรากฏขึ้นด้วยตัวเองสินะ? มิใช่สิ่งที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนอันใดบันทึกลงไปหรอกหรือ?”
กู้เซี่ยเทียนส่ายหน้า “ไม่จำเป็น กรมครัวเรือนของพวกเรามีผนังผังสาแหรกตระกูลเชื่อมต่อกัน เดิมเป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สร้างขึ้น เมื่อราษฎรทั้งหมดในแผ่นดินเข้าวิวาห์ ข้อมูลการสมรสของชายหญิงก็จะปรากฏขึ้นบนผัง จากนั้นก็จะปรากฏเป็นบันทึกเล็กๆ แผ่นหนึ่งด้วยตัวเอง คนของกรมครัวเรือนเพียงต้องรวบรวมบันทึกมาเย็บเป็นเล่มแล้วเก็บให้ดีเท่านั้น”
กู้ซีจิ่วยังไม่ยอมแพ้ “เช่นนั้นเป็นไปได้ไหมว่าปรากฏขึ้นบนผังนั้นแล้ว และปรากฏบันทึกแล้ว ผลคือคนของกรมครัวเรือนเผลอเรอไปชั่วขณะ จนทำให้สูญหายไป?”
กู้เซี่ยเทียนส่ายหน้า “ไม่มีทาง เจ้าเป็นที่รู้จักกันดีในอาณาจักรเฟยซิง แม้แต่ฝ่าบาทก็ยังใส่ใจเรื่องการสมรสของเจ้า ต่อให้คนของกรมครัวเรือนอาจจะเลินเล่อไปบ้าง ก็ไม่ผิดพลาดในเรื่องของเจ้าหรอก อีกอย่างด้วยฐานะของเจ้า ต่อให้ไม่แต่งงาน กรมครัวเรือนก็มีบันทึกแยกต่างหากอยู่แล้ว บันทึกของเจ้าแสดงให้เห็นมาโดยตลอดว่ายังมิได้แต่งงาน…”
กู้ซีจิ่วตกตะลึง
กู้เซี่ยเทียนค่อนข้างกังวล “ซีจิ่ว คงมิใช่ว่าเจ้ากับเขาอยู่กินกันโดยที่มิได้แต่งงานกระมัง?!”
————————————————————————————-
บทที่ 1531 ฉันเป็นใคร? ฉันอยู่ที่ไหน?
กู้เซี่ยเทียนค่อนข้างกังวล “ซีจิ่ว คงมิใช่ว่าเจ้ากับเขาอยู่กินกันโดยที่มิได้แต่งงานกระมัง?! จ้าต้องรู้เอาไว้นะ ในทวีปนี้ สู่ขอถึงจะเป็นภรรยาหนีตามมาเป็นเพียงอนุ ถึงแม้ฐานะทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายของเขาจะสูงส่ง แต่ฐานะของพวกเราก็ไม่ต่ำต้อยเช่นกัน จะไปเป็นอนุภรรยาของเขาไม่ได้ อา ไม่ถูดสิ ต่อให้เจ้าเป็นอนุ บนบันทึกก็จะแสดงให้เห็นเหมือนกัน แสดงคำว่า ‘อนุ’ ขึ้นมา…”
เธอกับตี้ฝูอีแต่งงานกันในเขตหวงห้ามแล้วจริงๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการยอมรับสินะ?
หรือว่าในเขตหวงห้ามจะมีวงจรเป็นของตัวเอง ไม่เพียงแต่ตัดขาดการสื่อสารทุกอย่างท่านั้น แม้แต่การแต่งงานในนั้นก็จะไม่ได้รับการยอมรับด้วย?
ตี้ฝูอีจะรู้เรื่องนี้ไหมนะ?
ในเมื่อผนังผังสาแหระตระกูลนี้เป็นเขาที่สร้างขึ้น เขาก็น่าจะรู้สิว่าถ้าชายหญิงแต่งงานจะมีสัญลักษณ์บ่งบอก บางทีเขาอาจจะคิดว่าแต่งกันในนั้น ก็ยังปรากฏสัญลักษณ์บนผังสาแหรกตระกูลอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่เก็บมาใส่ใจ?
คำถามนับไม่ถ้วนพุ่งพล่านอยู่ในใจของกู้ซีจิ่ว
ช่างเถอะ ไม่ว่าจะมีสาเหตุมาจากอะไรก็ตาม เธอล้วนจำเป็นต้องคุยเรื่องนี้กับตี้ฝูอีให้ชัดเจน และยังต้องจัดงานแต่งชดเชยด้วย เลี่ยงไม่ให้คนอื่นคิดว่าตนประเคนตัวให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้
“ท่านพ่อ ท่านวางใจเถอะ ต่อให้ข้ากับเขาอยู่กินกันแล้ว ก็ต้องจัดพิธีสมรสอยู่ดี ลูกสาวของท่านเลิศล้ำปานนี้ จะไปเป็นอนุของผู้อื่นได้อย่างไร? ท่านว่าใช่หรือไม่?”
กู้เซี่ยเทียนถึงได้วางใจ ตบไหล่กู้ซีจิ่วเบาๆ “ลูกจิ่ว เจ้าพูดแบบนี้พ่อก็วางใจ อันที่จริงพ่อเกรงว่าการที่เจ้าหนีการแต่งงานกับเขาไปเมื่อแปดปีก่อน ทำให้คนที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้นอย่างเขาต้องขายหน้า เขาจึงเอาคืนเจ้า หลอกลวงเจ้าที่เยาว์วัยไม่รู้เรื่องบันทึกสาแหรกตระกูลนั้น อยู่กินกับเจ้าอย่างไม่มีศักดิ์ฐานะ ทำให้เจ้าเสียเปรียบครั้งใหญ่ ซีจิ่ว คนตระกูลกู้ของพวกเราไม่มีสิ่งอื่นใด แต่ยังคงมีความทระนงในเกียรติอยู่เสมอ ถึงแม้แปดปีก่อนเจ้าจะผิดต่อเขา แต่ครั้งนี้เจ้าก็ช่วยเหลือเขาเอาไว้มาก บัญชีระหว่างเจ้ากับเขานับว่าเสมอกันแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองได้รับความอยุติธรรมนะ”
“อื้ม ทราบแล้วเจ้าค่ะ วางใจเถอะ ข้ามีความคิดของตนแล้ว”
กู้เซี่ยเทียนพึงพอใจ “ลูกจิ่ว เจ้าเป็นความภูมิใจของพ่อ หากเจ้าจะวิวาห์จริงๆ พ่อก็จะทุ่มเทจัดการให้เจ้า ให้เจ้าได้ออกเรือนอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ”
กู้ซีจิ่วตอบรับคราหนึ่ง ในที่สุดก็ไปส่งเขากลับ
เธอมองนาฬิกาบอกกะ เป็นยามกะสามแล้ว ดึกปานนี้แล้วเธอย่อมไม่อยากติดต่อหาตี้ฝูอีอีก อีกทั้งเขาได้บอกเอาไว้ชัดเจนว่าจะมาหาเธอพรุ่งนี้ พอถึงเวลาเธอค่อยคุยเรื่องนี้กับเขาดีๆ เธอไม่อยากให้เรื่องนี้ทำให้เกิดความเหินห่างอันใดขึ้นระหว่างเธอกับเขา
เธอเลิกผ้าห่มแล้วนอนลงไปเนื่องจากมีเรื่องราวอยู่ในใจ เธอจึงนึกว่าตนคงจะนอนพลิกไปพลิกมาอยู่สักพัก กลับคาดไม่ถึงว่านอนได้ไม่นานเท่าไหร่ก็ผล็อยหลับไปแล้ว
ณ สะพานสายรุ้งเส้นหนึ่ง เมฆาขาวมากมายลอยพลิ้ว
อาคารบ้านเรือนนับไม่ถ้วนโผล่วับๆ แวมๆ อยู่กลางหมู่เมฆา แสงทองส่องอร่าม ริ้วแสงมงคลสาดส่อง
กลางเมฆามีมวลบุปผาดาราผุดขึ้นมาเป็นครั้งคราว เบ่งบานและเหี่ยวเฉาไปในชั่วพริบตา กลีบบุปผามากมายล่องลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้า
กระเรียนเซียนบินฉวัดเฉวียน พญาหงส์หลากสีร้องเสียงใส
กู้ซีจิ่วยืนอยู่บนสะพานสายรุ้งเส้นนั้นเหลียวมองรอบข้างอย่างมึนงง ที่นี่ที่ไหน?
ค่อนข้างคล้ายแดนสวรรค์ในภาพวาด เธอขึ้นสวรรค์แล้วหรือ? กลายเป็นเซียนแล้วหรือไง?
ระหว่างอาคารเหล่านั้นมีคนเดินเหินกันอยู่รางๆ ท่ามกลางเมฆาที่ล่องลอยอยู่ก็มีท่วงท่าดั่งเทพเซียนเหาะเหินผ่าน กู้ซีจิ่วรู้สึกคุ้นตากับการแต่งกายของคนเหล่านั้นอยู่บ้าง ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็นึกออก การแต่งกายของเซียนหญิงลี่หวางนางนั้นก็คล้ายว่าจะมีลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน…
โดยเฉพาะบรรดาพี่สาวเหล่านางเซียนที่เหาะเหินผ่านไปเป็นครั้งคราวเหล่านั้น ดูคล้ายคลึงกับเซียนหญิงลี่หวางยิ่งนัก
เธอขมวดคิ้ว นี่คือดินแดนเบื้องบนหรือ? เธอคงไม่เหาะขึ้นมาจนถึงถิ่นของเซียนหญิงลี่หวางกระมัง?!
ความคิดเธอเพิ่งจะแล่นมาถึงตรงนี้ จู่ๆ สะพานสายรุ้งใต้เท้าก็พังทลาย เธอไม่ทันตั้งตัวทั้งร่างจึงร่วงหล่นสู่ลานจัตุรัสขนาดมโหฬารแห่งหนึ่ง