ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1590+1591
บทที่ 1590 สรุปแล้วเธออยากรู้อะไรกันแน่ล่ะ?
ทว่าพวกเขากลับรู้เรื่องราวระหว่างหลานจิ้งเคอกับหวงถูในปีนั้นไม่น้อยเลย
สองคนนี้เป็นคู่หมั้นกันจริงๆ ทั้งสองเคยทำศึกเคียงบ่าเคียงไหล่กัน หวงถูแย่งชิงตำแหน่งประมุขให้หลานจิ้งเคอ ในสายตาของคนเผ่าเงือก พวกเขาคือคู่กิ่งทองใบหยก สุดท้ายหลานจิ้งเคอก็พลีชีพเพื่อเส้นทางการใหญ่ของเทพศักดิ์สิทธิ์หวงถู และท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ทุ่มเทกายใจหนุนให้หลานเหยากวงน้องชายของหลานจิ้งเคอขึ้นเป็นประมุขเผ่า ไม่แต่งงานจวบจนยามนี้
เมื่อส่งคนเหล่าจากไปแล้ว กู้ซีจิ่วก็ยิ้มขมขื่นอยู่ในใจ
กู้ซีจิ่ว สรุปแล้วเธออยากรู้อะไรกันแน่ล่ะ? หรือว่าอยากจะยืนยันอะไร?
คิดว่าถ้าหลานจิ้งเคอกับหลานจิงจิงเป็นคู่รักกันจริงๆ เช่นนั้นความรักลึกซึ้งที่ตี้ฝูอีมีต่อหลานจิ้งเคอก็จะเป็นของปลอม เป็นการเล่นละครให้ตัวเธอกู้ซีจิ่วดูใช่ไหม? ตอนนี้ที่ไร้เยื่อใยกับเธอถึงขนาดนี้เพียงเพราะมีเหตุผลอะไรบีบบังคับอยู่ใช่หรือเปล่า?
ความจริงได้พิสูจน์แล้ว ตนช่างโง่งมและไร้เดียงสายิ่งนัก!
ที่แท้ลึกๆ ในใจตน ยังคงอดไม่ได้ที่จะหาข้ออ้างมาแก้ต่างให้เขา…
โชคดีที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับตี้ฝูอีนับว่าตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว แตกหักกันอย่างหมดจด วันหน้าเธอต้องเดินด้วยตัวเองเพียงลำพังแล้ว
บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่ไม่แยกจากกันไปจริงๆ เวลาคือยารักษาความเจ็บปวดที่ดีที่สุด วันหน้าเธอจะก้าวออกจากบ่วงรักนี้ได้
ไม่ใช่ว่าไม่เคยอกหักเสียหน่อยนี่ เธอมีประสบการณ์แล้ว!
สามปียังลืมไม่ลงเช่นนั้นก็ห้าปี ห้าปีลืมไม่ลงเช่นนั้นก็สิบปีเลย!
เธออาจจะเสียเวลาไปบ้าง แต่เธอจะก้าวออกมาได้ ได้แน่นอน!
….
กู้ซีจิ่วไม่ได้รั้งอยู่ที่วังเงือกต่อ แต่กลับขึ้นมาบนบก กลับไปที่จวนแม่ทัพ
ไม่ได้กลับมาเพียงสิบกว่าวัน อาณาจักรเฟยซิงมีความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง
ความสามารถในการฟื้นตัวของประชาชนยังคงแข็งแกร่งนัก ก่อนที่กู้ซีจิ่วจะไปจากทวีปนี้ รอบข้างยังมีซากปรักหักพังอยู่มากมาย ปัญหามากมายรอให้สะสาง กลับมาครั้งนี้ทุกอย่างเจริญรุ่งเรืองแล้ว ประชาชนเริ่มอยู่เย็นเป็นสุขอีกครั้ง
เมื่อกู้ซีจิ่วกลับไปที่จวนแม่ทัพกลับไม่ได้พบกู้เซี่ยเทียน ตามการรายงานของพ่อบ้าน กล่าวว่ายามนี้กู้เซี่ยเทียนไปที่เมืองฝานเย่เป็นเวลากว่าสิบวันแล้ว ยังไม่กลับมาเลย
กู้ซีจิ่วใจเต้นเล็กน้อย เมืองฝานเย่คือสถานที่ที่หลัวซิงหลานพำนักอยู่ในยามนี้ เห็นทีว่ากู้เซี่ยเทียนจะทราบเรื่องที่หลัวซิงหลานยังมีชีวิตอยู่แล้ว จึงไล่ตามไปอย่างไม่คำนึงถึงสิ่งใดเลย
ส่วนจะสามารถตามหลัวซิงหลานกลับมาได้หรือไม่นั้นก็ไม่อาจทราบได้…
กระจกร้าวหวนประสานเป็นบทละครที่ดี แต่กระจกที่แตกร้าวมาเนิ่นนานแล้วต่อให้ประสานกันได้อีกครั้ง สุดท้ายก็จะมีรอยร้าวมากมายที่ไม่สามารถลบเลือนไปได้…
เรื่องของกู้เซี่ยเทียนกับหลัวซิงหลานกู้ซีจิ่วไม่คิดจะยุ่งอีกแล้ว เธอติดต่อหาหลัวจั่นอวี่ หลัวจั่นอวี่ก็ไม่ได้อยู่ที่เมืองหลวง แต่ไปอยู่ที่เมืองอื่น เนื่องจากกู้เซี่ยเทียนวอแวเขาหนักหนาเกินไป ทำให้เขารำคาญ จึงหนีไปเสียเลย…
เมื่อหลัวจั่นอวี่ได้ยินเสียงกู้ซีจิ่วก็ดีใจยิ่งนัก เรื่องแรกที่ทำก็คือถามว่าเธอกับตี้ฝูอีจะจัดงานมงคลกันเมื่อไหร่
กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าพี่ชายของตนคนนี้มีความสามารถในการตอกย้ำบาดแผลของผู้อื่นได้ยอดเยี่ยมโดยแท้ เธอเงียบไปครู่หนึ่งยังคงบอกไปตามความจริง “ข้าแยกทางกับเขาแล้ว ไม่มีพิธีวิวาห์อีกต่อไปแล้ว”
“อะไรนะ?! เกิดอะไรขึ้น?! เขาหาเรื่องทอดทิ้งเจ้าหรือ?!”
เขาตะโกนเสียงแหลมจนเกือบทำให้กู้ซีจิ่วหูหนวกแล้ว เธอรีบขยับยันต์ถ่ายทอดเสียงให้ห่างไปเล็กน้อย “ท่านอย่าตะโกนได้ไหม เรื่องราวไม่ใช่อย่างที่ท่านคิดหรอก เอาล่ะ ท่านอย่าถามเลย ข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก”
ด้านหลัวจั่นอวี่ก็ตรงไปตรงมายิ่งนัก “ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ไหน?”
“จวนแม่ทัพน่ะสิ ข้าจะไปไหนได้ล่ะ? ใช่แล้ว แม่ทัพกู้ไม่อยู่บ้าน ดูเหมือนเขาจะได้ข่าวแล้วว่าท่านแม่ยังไม่ตาย จึงติดตามไปที่เมืองฝานเย่ทันที ไม่กลับมาหลายวันแล้ว”
————————————————————————————-
บทที่ 1591 ข้าไหนเลยจะอ่อนแอปานนั้น?
หลัวจั่นอวี่หัวเราะหยันคราหนึ่ง “เขาทราบแล้วจริงๆ และทราบด้วยว่ามารดาของพวกเราแต่งกับผู้อื่นแล้ว ทีแรกยังเซื่องซึมอยู่หลายวัน จากนั้นก็ฮึกเหิมกระปรี้กระเปร่าขึ้นมา กล่าวว่าเขาไม่สนว่านางจะเคยแต่งกับผู้อื่นแล้ว และไม่สนว่านางจะมีลูกกับผู้อื่นแล้ว เขาแค่อยากให้นางกลับมา…ใช่แล้ว ตาเฒ่ายังรู้สึกว่าตัวเองดูแก่ไปหน่อยด้วย ใช้สมุนไพรมาย้อมเส้นผม ซ้ำยังทุ่มเทฝึกฝนวรยุทธ์สุดกำลัง คิดจะทะลวงพลังวิญญาณให้ถึงขั้นแปด ให้ตัวเองอ่อนเยาว์ขึ้นหน่อย”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก ตาเฒ่าผู้นี้เป็นตะวันจ้ายามลาลับหรืออย่างไร อายุปูนนี้แล้วยังบ้าระห่ำเหมือนหนุ่มๆ อยู่ได้…
จู่ๆ เงาร่างของตี้ฝูอีก็แวบขึ้นมาในใจ ดูเหมือนอายุของเขาจะมากกว่ากู้ซีจิ่วมากมายนัก พอที่จะเป็นท่านปู่ของท่านปู่ของบรรพบุรุษกู้เซี่ยเทียนได้เลย คนผู้นั้นช่างสมกับเป็นปาท่องโก๋แก่ที่มีชีวิตโชกโชน ต่อให้สังหารคนก็ไม่ต้องชดใช้ชีวิต เฉียบแหลมอยู่เสมอจนน่ากลัว ตัวเธอเมื่อเทียบกับเขาแล้วเสมือนเด็กน้อยไร้เดียงสาคนหนึ่ง ถูกเขาปั่นหัวเล่น หวั่นไหว สูญเสียหัวใจไป…
หัวใจเจ็บเสียดยิ่งนัก ราวกับมีเพลิงกองหนึ่งลุกโชนอยู่ เธอรีบสะกดเงาร่างของเขาลงไปทันที
หลัวจั่นอวี่เดินทางมาหาอย่างร้อนรนยิ่งนัก ระยะทางเกือบพันลี้เขาใช้เวลาเพียงชั่วยามกว่าๆ เท่านั้น
ยามที่กู้ซีจิ่วเห็นเขามาถึงก็ตกตะลึง เพิ่งพิศเขาจากหัวจรดเท้าแวบหนึ่ง เมื่อเห็นใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความมอมแมม เส้นผมถูกลมพัดจนกระเซอะกระเซิง หัวใจพลันอุ่นวาบ “ท่านรีบร้อนมาถึงเพียงนี้ทำไมกัน?”
เมื่อหลัวจั่นอวี่พบหน้ากู้ซีจิ่วก็ต้องตกใจเช่นกัน เดินวนรอบตัวเธอคราหนึ่ง “ซีจิ่ว เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเจ้าดูอ่อนเยาว์ลงมากเลยล่ะ? ฝึกฝนวรยุท์อันใดอีกแล้วหรือ?” จากนั้นก็ดึงเธอให้นั่งลง “มา บอกพี่ใหญ่หน่อยสิ ระหว่างเจ้ากับตี้ฝูอีเกิดอะไรขึ้นกันแน่? อยู่กันดีๆ จู่ๆ ทำไมถึงล้มเลิกการวิวาห์กันเล่า?”
กู้ซีจิ่วยิ้มขื่น “ท่านรีบร้อนเดินทางมาเพื่อถามเรื่องนี้งั้นหรือ?”
หลัวจั่นอวี่พิศดูสีหน้าของนางอย่างละเอียด ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะดูมีกำลังวังชาดี แต่กลับไม่อาจปิดบังสายตาของหมออย่างหลัวจั่นอวี่ผู้นี้ได้ ถึงแม้น้องสาวของบ้านตนจะดูอ่อนเยาว์ลงไม่น้อย แต่ก็ดูซูบเซียวยิ่งนักเช่นกัน…
“เจ้าไม่ได้กินข้าวอย่างจริงจังมาสองวันแล้วใช่ไหม? ไปเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปกินข้าว พวกเรากินไปคุยไปดีกว่า” หลัวจั่นอวี่ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีกลากเธอออกไปเลย
ทั้งสองคนไปที่ร้านอาหารบำรุงร้านหนึ่ง หลัวจั่นอวี่ลงมือปรุงอาหารบำรุงให้กู้ซีจิ่วด้วยตัวเองหลายอย่าง ล้วนเป็นของที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเธอยิ่งนัก ซ้ำยังมีสีสันหอมหวนชวนลิ้มลองด้วย ยกมาวางไว้ตรงหน้ากู้ซีจิ่ว “มาเถอะ ลองชิมฝีมือพี่ชายดู”
กู้ซีจิ่วชิมทุกอย่างอย่างล่ะสองสามคำ แล้วยกนิ้วโป้งให้เขา “เยี่ยม! ฝีมือการครัวของท่านสามารถเทียบชั้นกับพ่อครัวระดับสูงได้เลย ไปหัดมาตอนไหนกัน?”
หลัวจั่นอวี่นั่งลงตรงข้ามเธอ หลังจากชิมทุกอย่างด้วยตัวเองแล้ว ก็ส่ายหน้าพลางถอนหายใจ “เจ้าชอบรสชาติอ่อนๆ แต่อาหารเหล่านี้ล้วนเค็มไปหน่อยทั้งสิ้น สมควรจะไม่ถูกปากเจ้าสิ เจ้าชิมไม่ออกจริงๆ หรือ?”
นัยน์ตากู้ซีจิ่ววูบไหว ตอนนี้เธอดูสุขุมเยือกเย็นเช่นปกติ แต่หัวใจกลับลุกเป็นไฟ ไม่ว่าจะกินอะไรในปากก็ไม่รับรู้รสชาติทั้งนั้น ย่อมชิมไม่ออกว่าดีหรือแย่…
เธอคีบอาหารจานหนึ่งมา ค่อยๆ กิน เอ่ยยิ้มๆ “พี่ ท่านคิดมากไปแล้ว ไม่มีสิ่งใดคงเดิมมิแปรผันหรอก อย่างเช่นรสปากของข้าไง เมื่อก่อนชอบกินรสอ่อนอยู่บ้างจริงๆ แต่ตอนนี้ชอบกินรสเค็มแล้ว ดังนั้นอาหารเหล่านี้ที่ท่านทำจึงถูกปากข้า”
หัวใจของหลัวจั่นอวี่พลันปวดแปลบ กำจอกในมือแน่น “ซีจิ่ว ต่อหน้าข้าเจ้าไม่จำเป็นต้องฝืนทำตัวเข็มแข็งหรอก หากว่าเจ้าอยากร้องไห้เจ้าก็ร้องออกมาเถอะ ข้าจะให้เจ้าซบไหล่เอง”
ดวงตากู้ซีจิ่วร้อนผ่าวเล็กน้อย ทว่ากลับยิ้มออกมา “ข้าไหนเลยจะอ่อนแอปานนั้น? เพียงแค่อกหักเท่านั้น ข้าชินแล้ว”
เธอเพิ่งกล่าวประโยคนี้จบ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงดัง ‘เพล้ง’ แว่วมาจากห้องรับรองส่วนตัวที่อยู่ติดกัน คล้ายเสียงจอกสุราร่วงลงพื้น
————————————————————————————-