ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1594+1595
บทที่ 1594 เจ้ารู้จักเขาดีนี่
โดยรวมแล้ว ศึกสงครามในทวีปนี้ส่วนใหญ่สิ้นสุดลงแล้ว ทุกอย่างล้วนพัฒนากลับไปเป็นเช่นกาลก่อน บางทีใช้เวลาไม่ถึงสามปีห้าปี ทวีปนี้ก็จะฟื้นฟูกลับสู่ความรุ่งเรืองเฟื่องฟูเช่นในอดีตแล้ว
แน่นอนว่าบาปกรรมที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมก่อร้ายแรงเกินไป สถานการณ์ของสามอาณาจักรที่เดิมทีคานอำนาจกันดั่งเตาสามขาถูกตีให้แตกพ่ายแล้ว ยามนี้เหลือเพียงอาณาจักรเฟยซิงและอาณาจักรเจาหยาง
อย่างที่ทุกคนทราบกันดี การคานอำนาจกันสามฝ่ายนั้นมั่นคงที่สุด อีกทั้งอาณาจักรเฟยซิงกับอาณาจักรเจาหยางทำศึกสงครามกันมานานปี ต่างฝ่ายต่างแค้นเคืองกัน ทั้งสองอาณาจักรได้ฮุบกลืนอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยแล้ว ยามนี้ต่างฝ่ายต่างมองเขม่นกันตาเป็นมัน ต้องการยึดครองอีกฝ่าย สถานการณ์แถบชายแดนของสองอาณาจักรอ่อนไหวยิ่งนัก สงครามขนาดเล็กยังคงปะทุขึ้นอยู่เนืองๆ
หากดำเนินเช่นนี้ต่อไป ในไม่ช้าทั้งสองอาณาจักรจะห่ำหั่นกันอย่างสมบูรณ์ และเมื่อสองอาณาจักรทำสงครามกันอย่างจริงจัง ประชาชนก็ต้องพลัดถิ่นฐานบ้านเกิด ลำบากยากแค้นเกินบรรยายอีกครั้งเป็นแน่
ต่อให้สุดท้ายแล้วอาณาจักรใดอาณาจักรหนึ่งจะยึดครองอีกอาณาจักรได้ แผ่นดินรวมเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์ แต่การรวมเป็นหนึ่งไม่ได้ส่งผลดีต่อประชาชนเลย
กำเนิดด้วยทุกข์ยากสุขสันต์มากจึงมอดม้วย[1] หากว่าอาณาจักรนี้ไร้ซึ่งอริให้ประชันขันแข่ง เมื่อเวลาผันผ่านเนิ่นนานไป ย่อมต้องล่มสลายลง…
ถ้าต้องการให้แผ่นดินนี้ผาสุกยั่งยืน วิธีการที่ดีที่สุดคือสามอาณาจักรคานอำนาจกัน เช่นนั้นถึงจะควบคุมกันได้ ตรวจสอบกันได้ สามารถทำให้ทวีปนี้สมดุลมั่นคงได้
ดังนั้นตี้ฝูอีจึงวางแผนจะก่อตั้งอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยขึ้นมาอีกครั้ง
แน่นอนว่ายามนี้เชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยได้ถูกล้มล้างไปในสงครามล้างอาณาจักรแล้ว แม้แต่เด็กสักคนก็ไม่หลงเหลืออยู่
ถ้าคิดจะก่อตั้งอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยขึ้นมาใหม่ ก็ต้องสนับสนุนราชวงศ์ใหม่ขึ้นมาด้วย ภารกิจของพวกมู่เฟิงทั้งสี่ก็คือตามหาผู้ที่เหมาะสมจากผู้รอดชีวิตของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ย
ผู้สืบทอดคนนี้จะต้องมีเส้นสายความสัมพันธ์ มีแรงปลุกระดม มีอำนาจบารมี สามารถได้รับความสนับสนุนจากประชาชนของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยได้รวดเร็วที่สุด
มู่เฟิงรายงานสถานการณ์ต่างๆ ของครอบครัวผู้รอดชีวิตที่ภักดีต่ออาณาจักรเฮาเยวี่ยเหล่านั้นแก่ตี้ฝูอี และทำการวิเคราะห์อย่างมีระเบียบแบบแผนด้วย
ตามที่กล่าวมาทั้งหมดคือผู้มีความสามารถในบรรดาผู้สืบทอดตระกูลเหล่านั้นมีน้อยนัก ผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งจักรพรรดิยิ่งมีน้อยกว่า แต่ละคนต่างมีข้อบกพร่อง ถ้ามิใช่นิสัยใจคอไม่เหมาะสม ก็เป็นบารมีไม่มากพอ หรือไม่ก็มีเส้นสายไม่กว้างขวางพอ…
ตี้ฝูอีรับฟังอยู่เงียบๆ ผ่านไปสักพักจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เชียนหลิงอวี่ล่ะ?”
มู่เฟิงตะลึงไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็นึกถึงคนผู้นี้ขึ้นมาได้ ใคร่ครวญดูเล็กน้อย ดวงตาพลันสาดประกาย “แปดปีมานี้เจ้าเด็กคนนี้สุขุมขึ้นไม่น้อยเลย และเดิมทีตระกูลเชียนก็เป็นตระกูลเลื่องชื่อของอาณาจักรเฮ่าเยวี่ยอยู่แล้ว ได้รับจากยอมรับจากราษฎรยิ่งนัก สายสัมพันธ์กว้างขวาง และมีความสัมพันธ์เกี่ยวดองกับตระกูลอื่นอย่างแน่นแฟ้น และเชียนหลิงอวี่ก็เป็นทายาทสายหลักของสกุลเชียน ซ้ำยังมาจากสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อีกด้วย เส้นสาย ความสามารถ อำนาจบารมีล้วนมีครบ เพียงแต่เจ้าเด็กนี้สมควรจะสำเร็จการศึกษาตั้งนานแล้ว แต่เขาเห็นสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เป็นบ้านมาโดยตลอดไม่ได้วางแผนจะกลับตระกูลเชียน และไม่มีจิตใจทะเยอทะยานจะขึ้นเป็นราชัน…”
ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเฉยเมย “เขาแค่ขาดแรงกระตุ้นเท่านั้น”
มู่เฟิงไม่เข้าใจไปชั่วขณะ “ขอนายท่านโปรดแถลงไขให้ชัดแจ้ง”
“เหตุใดเขาจึงรั้งอยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ตลอดไม่ยอมจากไป?”
มู่เฟิงตะลึงงัน มองดูเจ้านายแวบหนึ่ง ไม่กล้าตอบอยู่บ้าง
“ไม่ต้องอ้ำๆ อึ้งๆ ตอบมาตามจริง!”
มู่เฟิงตัดสินใจในทันใด “อันที่จริงเขายังไม่ถอดใจในตัวแม่นางกู้ขอรับ เขารั้งอยู่ที่นั่นเพื่อรอให้นางหวนกลับมาเป็นครั้งคราว…”
ตี้ฝูอีมองมู่เฟิงอย่างยิ้มมิเชิงยิ้มแวบหนึ่ง “เจ้ารู้จักเขาดีนี่”
มู่เฟิงหัวเราะแห้งๆ สองที “เจ้าเด็กนั่นยังไม่ทราบว่านายท่านกับแม่นางกู้แต่งงานกันแล้ว มิเช่นนั้นคงถอดใจไป…” เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “หรือว่าจะให้ข้าน้อยไปบอกเขาให้ชัดเจนว่าแม่นางกู้เป็นคนของนายท่านแล้ว ทำให้เขาถอดใจไปอย่างสมบูรณ์ดีไหมขอรับ?”
ตี้ฝูอีส่ายหน้า “ข้าแยกทางกับกู้ซีจิ่วแล้ว นับแต่วันนี้ไปนางกับข้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกันอีก วันหน้านางจะออกเรือนแก่ผู้ใดล้วนไม่เกี่ยวข้องกับข้า”
————————————————————————————-
บทที่ 1595 ข้าน้อยไม่เข้าใจท่านเลยจริงๆ…
สีหน้าของมู่เฟิงแปรเปลี่ยน อันที่จริงเขาเห็นนานแล้วว่าบนข้อมือของตี้ฝูอีไม่มีกำไลคู่บุพเพแล้ว และได้ยินกู้ซีจิ่วรบเร้าให้ตี้ฝูอีกลับไปถอนหมั้นด้วย แต่เขานึกมาตลอดว่านี่เป็นเพียงความขัดแย้งเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างสามีภรรยาของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะแยกทางกับกู้ซีจิ่วแล้วจริงๆ! และท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็ปล่อยมือจากกู้ซีจิ่วจริงๆ…
เขาติดตามอยู่ข้างกายตี้ฝูอีอยู่เสมอ ความเอาใจใส่และแผนการเหล่านั้นที่ตี้ฝูอีมีต่อกู้ซีจิ่ว ย่อมอยู่ในสายตาของเขาด้วย ทราบว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ใส่ใจกู้ซีจิ่วอย่างหาใดเทียมจริงๆ เป็นยอดดวงใจรักใคร่ห่วงแหนจริงๆ เขาติดตามอยู่ข้างกายตี้ฝูอีมาเนิ่นนานปานนี้ ยังไม่เคยเห็นเขาดีต่อใครเช่นนี้มาก่อนเลย!
ความรักที่ลึกซึ้งถึงเพียงนี้เพียงพอทำให้ฟ้าดินซาบซึ้งได้เลยกระมัง? แล้วเหตุใดถึงแยกทางกันได้เล่า?!
มู่เฟิงมองตี้ฝูอีด้วยสีหน้า ‘ท่านล้อข้าเล่นอยู่กระมัง’ ตี้ฝูอีตบไหล่เขาเบาๆ “ตอนนี้นางย้ายกลับร่างเดิมแล้ว ร่างเดิมยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่…” เขาชะงักไปเล็กน้อย “เรื่องของข้ากับนางผ่านพ้นไปแล้ว นับแต่วันนี้ไปไม่ต้องเอ่ยต่อผู้ใดอีก”
มู่เฟิงปวดหัวแล้ว “นายท่าน ข้าน้อยไม่เข้าใจท่านเลยจริงๆ…”
ตี้ฝูอีเหม่อมองไปไกล สักพักจึงยิ้มบางๆ แวบหนึ่ง “ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดรู้ เพียงทำไปตามที่ควรทำเถิด เจ้าก็ไม่จำเป็นจ้องเข้าใจหรอก ทำตามที่สั่งก็พอ”
มู่เฟิงทำได้เพียงตอบรับ เพียงแต่เขายังมีข้อสงสัยอื่นอยู่ “นายท่าน เรื่องของท่านกับนาง ในบรรดาพวกเราอาจไม่เอ่ยถึงได้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ แต่อีกหลายคนที่ออกมาจากเขตหวงห้ามพร้อมกับพวกท่านเล่า? ล้วนทราบกันทั้งสิ้นว่าพวกท่านแต่งงานกันแล้ว…”
ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเฉยเมย “วางใจเถอะ ข้าได้ปรับเปลี่ยนความทรงจำของพวกเขาแล้ว พวกเขาจะจำไม่ได้อีกต่อไป”
มู่เฟิงตะลึง เขาไม่เข้าใจจริงๆ นะ! นี่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องการจะลบตัวเองออกจากชีวิตของกู้ซีจิ่วหรือ เพราะอะไรกัน?
“เพราะอะไรขอรับ?” มู่เฟิงอดไม่ไหวยังคงถามออกมา
“มีวาสนาจึงพานพบ วาสนาจบจึงจากจร วาสนาของข้ากับนางดำเนินมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว ในเมื่อจะตัดก็ต้องตัดให้หมดจดสมบูรณ์ มิใช่หรือ?” ตี้ฝูอีหันหลังจากไป
มู่เฟิงตะลึงงันอยู่ตรงนั้นหลายวินาที พลันมีกองเพลิงผุดวาบขึ้นมาในหัวใจ “นี่ต้องไม่ใช่ความคิดของนางเป็นแน่ใช่ไหมขอรับ?!”
กู้ซีจิ่วใส่ใจตี้ฝูอีอย่างลึกซึ้งถึงแก่นกระดูก ล้วนอยู่ในสายตาของพวกเขาทั้งสี่ ดังนั้นมู่เฟิงจึงไม่เชื่อว่าหัวใจของกู้ซีจิ่วจะแปรผัน เด็กสาวคนนั้นดูเหมือนจะเยือกเย็น ทว่ารักร้อนแรงดั่งเพลิง เมื่อได้รักคนผู้หนึ่งแล้วจะทุ่มเทให้ทั้งกายใจไม่พูดเรื่องเลิกราออกมาง่ายๆ แน่นอน
ตี้ฝูอีชะงักเท้า นิ่งไปครู่หนึ่ง เอ่ยเรียบๆ “สาเหตุคือข้าเอง เจ้าจะถือว่าข้าได้ใหม่ลืมเก่าก็ได้” พลางหมุนกายหายลับไป
มู่เฟิงนิ่งงัน
ได้ใหม่ลืมเก่า? นี่ดูเหมือนปัญหาจะเกิดขึ้นที่ตัวท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ถึงอย่างไรท่านเทพใหญ่ผู้นี้ก็มีชีวิตมาเนิ่นนานเหลือเกิน ของที่เคยชมชอบจู่ๆ ก็ไม่ชอบไปเสีย ดังนั้นจึงเบนความสนใจไป เรื่องแบบนี้ก็ใช่ว่าจะไม่เคยเกิดขึ้นกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มาก่อน
เพียงแต่ ‘ใหม่’ ที่ว่านั้นคือผู้ใด?
มู่เฟิงกำหมัดแล้ว!
ความรู้สึกที่พวกเขาทั้งสี่คนมีต่อกู้ซีจิ่วยังคงล้ำลึกนัก ประการแรกคือชื่นชมเลื่อมใสนาง
ประการที่สองก็คือเภทภัยจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมครั้งนี้ เป็นนางที่หลอมโอสถช่วยเหลือพวกเขา มีบุญคุณที่ให้ชีวิตใหม่แก่พวกเขา
สตรีที่ดีถึงเพียงนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์บอกว่าจะทิ้งก็ทิ้งได้เลยหรือ?! บอกว่าได้ใหม่ลืมเก่าประโยคเดียวก็ตัดขาดทุกสิ่งได้แล้วหรือ?!
ใจร้ายจริงๆ!
สวะ!
มิน่าเล่าผู้คนจึงกล่าวกันว่าสตรีรักมั่นปักใจชายทราม สุภาษิตไม่ได้หลอกลวงข้าจริงๆ!
หากว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มิใช่เจ้านายของพวกเขา มู่เฟิงคงเข้าไปทุบตีคนทวงความยุติธรรมแทนกู้ซีจิ่วไปแล้ว!
ช่างเถอะ เขายังต้องไปหาเชียนหลิงอวี่คนนั้นที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อีก ถือโอกาสเผยเรื่องที่นายท่านกับแม่นางกู้เลิกรากันแล้วแก่เขาด้วย จิตวิญญาณการต่อสู้ของเจ้าเด็กนั่นต้องฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้งเป็นแน่!
————————————————————————————-
[1] กำเนิดด้วยทุกข์ยากสุขสันต์มากจึงมอดม้วย เป็นหนึ่งในคติสอนใจของยอดปราชญ์เมิ่งจื่อ ความหมายคือ ความลำบากทำให้เราได้รู้แจ้งก่อกำเนิด แต่ความสุขสบายจะทำให้เราหลงระเริงจนล่มจ่ม