ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1602+1603
บทที่ 1602 พบกันอีกครา 3
ยามนี้นายท่านขโมยยันต์ถ่ายทอดเสียงของนางไปแล้ว ในใจนางจึงมีความหวังเล็กๆ ผุดขึ้นมา เจ้านายของบ้านตนสำนึกเสียใจแล้วใช่หรือไม่? กำลังหาทางคืนดีใช่ไหม?
เฮอะ ซีจิ่วเป็นแม่นางที่เด็ดเดี่ยวทระนงผู้หนึ่ง! ถึงนางจะชมชอบคนผู้หนึ่งมากเพียงใด ก็มีศักดิ์ศรีของตัวเองเช่นกัน อีกทั้งคนเช่นนางยามที่ทุ่มเทให้กับความรักก็จะทุ่มเทอย่างแท้จริง แต่พอปล่อยวางแล้ว จะไม่มีวันมองย้อนกลับไปอีกเลยเช่นกัน
มิใช่ผู้ที่นายท่านจะเรียกก็มาจะไล่ก็ไป นายท่านต้องการคืนดีกับนาง เกรงว่าจะยากเย็นยิ่งนัก…
ขณะที่หลีเมิ่งซย่ากำลังใคร่ครวญไปใคร่ครวญมาอยู่บน แสงสว่างในห้องพลันสลัวลง ตี้ฝูอีปรากฏขึ้นหน้าเตียงของนางอีกครั้ง
หลีเมิ่งซย่าคิดจะลุกขึ้นตามสัญชาตญาณ จู่ๆ ก็นึกถึงชุดนอนของตนขึ้นมาได้ จึงรีบหดกลับเข้าไปในผ้าห่มอีกครั้ง ใบหน้าแดงก่ำ “นายท่าน…”
นายท่าน ถึงข้าจะห่ามเหมือนบุรุษสักแค่ไหน แต่ก็ยังเป็นเด็กสาวของแท้แน่นอน ยามที่ท่านจะเข้ามารบกวนช่วยเคาะประตูหน่อยได้หรือไม่?!
แน่นอนว่าประโยคนี้หลีเมิ่งซย่าบ่นอยู่ในใจ ไม่กล้าเอ่ยออกมา
ตี้ฝูอีสวมหน้ากากไว้ หลีเมิ่งซย่ามองเห็นดวงตามืดมิดดุจรัตติกาลที่อยู่เบื้องหลังหน้ากากของเขา เขาโยนยันต์ถ่ายทอดเสียงลงข้างมือของหลีเมิ่งซย่า หลีเมิ่งซย่าเพิ่งจะหยิบขึ้นมา ตี้ฝูอีก็สะบัดแขนเสื้อเบาๆ ลำแสงสีรุ้งสายหนึ่งโอบล้อมนางไว้…
ผ่านไปครู่หนึ่ง ในห้องก็ไม่มีเงาร่างของตี้ฝูอีอยู่แล้ว ส่วนหลีเมิ่งซย่าก็ยังคงนอนอยู่ในผ้าห่ม ถือยันต์ถ่ายทอดเสียงไว้ในมือค่อนข้างงุนงง
เมื่อกี้นางกำลังทำอะไรอยู่? ใช่แล้ว กำลังคุยกับซีจิ่วอยู่ ต่อมาคุยไปคุยมานางก็ค่อนข้างง่วง จึงตัดสัญญาณยันต์ถ่ายทอดเสียงไปแล้ว…
เธอรู้สึกอยู่ตลอดว่าตนคล้ายจะสูญเสียความทรงจำบางอย่างไป แต่กลับนึกไม่ออกว่าความทรงจำที่หายไปของตนคืออะไร
นางนวดคลึงหว่างคิ้ว มึนงงอยู่ครู่หนึ่ง
ช่างเถอะ เป็นไปได้ว่าตนอาจหลับไปจนเลอะเลือน
นางหาวออกมา ไม่ขบคิดเรื่องพวกนี้ต่อแล้ว เก็บยันต์ถ่ายทอดเสียงให้เรียบร้อย แล้วนอนหลับต่อไป
….
เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันที่กู้ซีจิ่วได้หลับสนิทเช่นนี้ หลับลึกยิ่งนัก ไม่แม้แต่จะฝันเลย
วันรุ่งขึ้นเธอจึงตื่นขึ้นมาอย่างสดชื่น รู้สึกกระปรี้กระเปร่าอย่างยิ่ง
เธอส่องกระจกดู พบว่ารอยคล้ำใต้ตาของตนหายไปแล้ว ผิวพรรณก็ดูดีกว่าเมื่อวานไม่น้อยเลย
เมื่อสำรวจร่างกายดู เลือดลมที่สับสนพลุ่งพล่านเหล่านั้นก็สงบลงแล้ว ตอนนี้รู้สึกปลอดโปร่งโล่งสบายยิ่งนัก ราวกับเพิ่งไปนวดมา
เธอพรูลมหายใจออกมา ล้วงยันต์ถ่ายทอดเสียงออกมามอง เผยรอยยิ้มตรงมุมปากแวบหนึ่ง
นึกไม่ถึงว่าเสียงของหลีเมิ่งซย่าเมื่อได้ฟังในยามราตรีจะมีฤทธิ์สะกดจิตด้วย โดยเฉพาะบทเพลงนั้นของนาง ถึงแม้จะค่อนข้างหลงทำนองเช่นที่ผ่านมา แต่ก็มีจังหวะจะโคนดั่งกระแสน้ำ ราวกับไหลผ่านหูแล้วเข้าสู่ร่างกายเธอ ไหลเวียนไปตามเส้นเลือดในร่าง ปัดเป่าความกระสับกระส่ายของเธอ ทำให้อารมณ์ที่เอ่อท้นอย่างสูญเสียการควบคุมสงบลง…
บทเพลงนั้นที่หลีเมิ่งซย่าร้องเมื่อคืนเธอจดจำไว้แล้ว เตรียมการไว้ว่าตอนที่นอนไม่หลับอีกครั้งจะให้นักร้องในจวนขับร้องให้ตนฟัง
ในจวนเธอเลี้ยงดูนักร้องเอาไว้ นักร้องคนนั้นเสียงดี มีความเข้าใจเป็นอย่างดี เรียนรู้ได้รวดเร็วยิ่ง
เสียงเพลงนั้นใกล้เคียงกับภาษาสันสกฤต มีผลทำให้จิตใจคนสงบผ่อนคลายได้จริงๆ กู้ซีจิ่วนั่งอยู่เก้าอี้โยกตัวหนึ่ง ฟังนางขับร้องไปหนึ่งรอบ
ว่ากันตามจริงแล้ว นักร้องคนนี้ร้องได้ไพเราะกว่าหลีเมิ่งซย่า แต่กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่เสมอว่าอารมณ์ด้อยกว่าเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงกำชับนักร้องคนนั้นให้ฝึกฝนหลายๆ รอบหน่อย
ขณะที่กำลังอธิบายจุดหลักของเพลงนี้ให้นักร้องคนนั้นเข้าใจอยู่ ด้านนอกก็มีคนมาประกาศราชโองการ
ระยะนี้หรงเจียหลัวขยันถ่ายทอดราชโองการมาให้เธอยิ่งนัก ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงไม่คิดว่ามีเรื่องอะไร นึกไปว่าคงมีวิญญาณอาฆาตออกอาละวาดที่ไหนอีกจึงให้เธอไปปราบปราม กลับคาดไม่ถึงว่าจะเป็นราชโองการปูนบำเหน็จ
————————————————————————————-
บทที่ 1603 พบกันอีกครา 4
เธอถูกปูนบำเหน็จให้เป็นทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน! ซ้ำยังสร้างจวนทูตสวรรค์ให้เธอด้วย
ขันทีที่อัญเชิญราชโองการมาเชื้อเชิญเธอให้ไปดูจวนทูตสวรรค์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม กล่าวจวนทูตสวรรค์หลังนี้ฝ่าบาททรงก่อสร้างอย่างลับๆ มานานแล้ว ด้วยอยากสร้างความประหลาดใจให้เธอ…
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ
อย่างที่ทุกคนทราบกันดี อาณาจักรเฟยซิงมีทูตสวรรค์อยู่สองท่าน คือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีและทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ย ในอาณาจักรเฟยซิงตำแหน่งของสองคนนี้นับว่ามีศักดิ์เสมอกัน แน่นอนว่าในใจของประชาชนตี้ฝูอีเลื่องชื่อกว่าเทียนจี้เยวี่ย และรู้สึกว่าความสามารถของเขาเหนือกว่าเทียนจี้เยวี่ย ดังนั้นพอเอ่ยถึงทูตสวรรค์ขึ้นมา อันดับแรกที่พวกเขาจะนึกถึงก็คือทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
ในใจของปวงประชาคำว่าทูตสวรรค์สองคำนี้แทบจะเป็นคำสรรพนามอันศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว ตอนนี้จู่ๆ หรงเจียหลัวมาปูนบำเหน็จให้เธอเป็นทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน คำเรียกขานนี้คล้ายจะเหนือกว่าทูตสวรรค์ซ้ายขวาเสียอีก…
ปวงประชาจะรับได้หรือ?
อีกทั้งเมื่อทูตสวรรค์ซ้ายขวาได้ยินข่าวนี้แล้วจะมีปฏิกิริยาอย่างไร?
หรงเจียหลัวทำเช่นนี้ถึงแม้จะเป็นการหนุนเธอขึ้นสู่ตำแหน่งสูงส่ง แต่ก็กลายเป็นที่เพ่งเล็งได้ง่ายๆ ด้วยเช่นกัน
….
เป็นอันชัดเจนว่ากู้ซีจิ่วคิดมากไปแล้ว
เธอถูกปูนบำเหน็จให้เป็นทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน ยามที่รถม้าค่อยๆ เคลื่อนไปตามถนน คลื่นปวงประชาก็มายืนไชโยโห่ร้องอยู่สองข้างทาง คึกคักเร่าร้อน
พวกเขาร้องตะโกนว่า ‘ทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน’ ‘ท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดิน’ ไปตลอดทาง…
สีหน้าของผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างแท้จริง เฉลิมฉลองร้องรำทำเพลงอยู่ริมถนน
เห็นทีว่าฝูงชนจะเห็นด้วยกับการที่เธอขึ้นครองตำแหน่งนี้ยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วอยู่ในรถม้าหรูหราคันนั้นหลุบตามองด้านล่าง มองเห็นสีหน้ายิ้มแย้มเบิกบานของปวงประชา เป็นความเคารพเลื่อมใสและปีติยินดี
ท่ามกลางฝูงชนไม่ทราบว่าใครที่เป็นคนนำ ร้องตะโกนออกมา “ทุกคนรีบทำความเคารพท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินเร็ว วันหน้านางก็จะเป็นเทพผู้พิทักษ์พวกเราเหล่าประชาแล้ว นางจะคุ้มครองราษฎรชาวเฟยซิงของพวกเรา!”
“ใช่แล้วๆ เป็นนางที่ล้มล้างทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอม เป็นนางที่สวดส่งดวงวิญญาณมากมาย เป็นนางที่มอบความหวังในการมีชีวิตที่ดีอีกครั้งให้แก่พวกเรา นางสมควรได้เป็นทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินแล้ว!”
หนึ่งคนร้องร้อยคนขานรับ คนผู้หนึ่งเป็นตัวนำในการคุกเข่าลงด้านล่างรถม้าของกู้ซีจิ่ว คนอื่นๆ ก็พากันคุกเข่าตามจนเกิดเสียงดังพึ่บพั่บ
สถานการณ์เช่นนี้คล้ายกับสมัยก่อนตอนที่ตี้ฝูอีปรากฏตัวยิ่งนัก กู้ซีจิ่วที่อยู่ในรถม้าใจลอยไปชั่วขณะ มีความรู้สึกว่าได้เข้าแทนที่เขาขึ้นมา
เธอมองประชาชนที่ทำความเคารพอยู่ด้านล่างอย่างจริงใจ โลหิตร้อนๆ ในทรวงสูบฉีดขึ้นมา เป็นครั้งแรกที่หัวใจมีความต้องการที่จะปกป้องคุ้มครองขึ้นมา
การสนับสนุนของปวงประชาเป็นการสนับสนุนอย่างจริงใจ เธอต้องการจะปกป้องประชาชนเหล่านี้ มาตุภูมิผืนนี้…
เธอเงยหน้ามองด้านบน นภาสูงเมฆากระจ่าง สายลมนภาพัดเอื่อย ราวกับจะค่อยๆ ปัดเป่าหมอกทึบในใจเธอเหล่านั้นให้กระจายไป
เธอพรูลมหายใจเบาๆ เดิมทีเธอไม่เคยรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้เลย ด้วยเหตุนี้จึงหาทิศทางในการต่อสู้ดิ้นรนอย่างแท้จริงไม่พบมาโดยตลอด ยามนี้เมื่อมองเห็นสายตาเร่าร้อนนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านล่าง เธอจึงหาจุดยืนของตัวเองพบในทันที
ชีวิตของเธอเธอต้องรับผิดชอบให้ได้ ชีวิตของเธอไม่สมควรถูกความรักเข้าครอบงำเท่านั้น บนโลกนี้ไม่มีผู้ใดที่จะใช้ชีวิตอยู่ไม่ได้เมื่อผู้อื่นจากไป ต่อให้เธอสูญเสียความรักไปแล้ว แต่ก็ยังมีความรักจากสหาย ความรักจากญาติพี่น้อง ถึงขั้นที่ยังมีความเคารพรักจากประชาชนด้วย…
อันที่จริงไม่แปลกเลยที่ปวงชนจะเคารพรักเธอเช่นนี้ ช่วงที่ผ่านมาตัวเธอด้วยจมอยู่ในสภาวะช้ำรักมาโดยตลอดอาจไม่ได้สังเกตเห็น อันที่จริงการกระทำในช่วงหลายวันมานี้ของเธอได้สร้างบารมีให้แก่ตัวเธอยิ่งนัก
ในอดีตทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีอำนาจบารมีสูงที่สุดจริงๆ แต่หลังจากหายนะของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตัวปลอมผ่านพ้นไป จิตใต้สำนึกของปวงชนก็มีความหวาดกลัวต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว ประกอบกับทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย…
————————————————————————————-