ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1612+1613
บทที่ 1612 ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้หันกลับมาเลย
สาวใช้อีกคนพยักหน้า “ดีเลย!” ก้มลงหมายจะหยิบปลาตัวนั้น
สายลมหอบหนึ่งพัดผ่านพื้นที่โล่งเตียน ซากปลาตัวนั้นหายวับไปจากที่เดิมทันที สาวใช้สองคนนั้นตกตะลึง เงยหน้ามอง พบว่าซากปลาตัวนั้นลอยไปถึงมือตี้ฝูอีแล้ว
น้ำเสียงตี้ฝูอีเย็นชา “ปลาตัวนี้สกปรกแล้ว ถ้าอยากบำรุงร่างกายของเจ้านาย ก็ไปตกตัวอื่นเถอะ!”
เขาพลันโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง ปลาตัวนั้นก็หายไปเลย ไม่ทราบเช่นกันว่าถูกเขาทำลายไปแล้วหรือว่าเก็บเอาไว้ เขาหันหลังก้าวจากไป
กุยเฉวียนพูดอะไรไม่ออกแล้ว
ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้จู้จี้เสียจริง!
ตกใหม่ก็ตกใหม่สิ! เขาได้เห็นวิธีตกปลาชนิดนี้แล้ว ไม่เหนือบ่ากว่าแรงเขาหรอก! เขาจะต้องตกปลาที่ใหญ่กว่านี้สดใหม่กว่านี้ให้นายหญิงได้แน่…
….
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายขวาเทียนจี้เยวี่ยไม่ได้อยู่กินอาหารในจวนของกู้ซีจิ่ว หลังจากเขาสอนวิธีใช้รถม้าคันนี้ให้กู้ซีจิ่วแล้ว ก็ขอตัวอำลาไป
กู้ซีจิ่วไปส่งถึงหน้าประตูจวนมองส่งเขาจากไป เหม่อลอยไปชั่วขณะ ไม่ทราบเช่นกันว่าคิดอะไรอยู่
จู่ๆ คล้ายว่าเธอจะจับสัมผัสได้ หันหลังกลับไปมอง เห็นตี้ฝูอีเยื้องย่างมา กุยเฉวียนวิ่งเหยาะๆ ตามอยู่ด้านหลัง
กู้ซีจิ่วถอยหลังไปเล็กน้อย ตี้ฝูอีอยู่ไม่ห่างจากเธอแล้ว
กุยเฉวียนวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา “ท่านทูตสวรรค์ขอรับ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่มีแผนการจะรั้งอยู่กินอาหาร เขาสั่งการให้บ่าวมากล่าวขอตัวลากับท่านขอรับ”
กู้ซีจิ่วมองไปทางตี้ฝูอีแวบหนึ่ง สายตาของตี้ฝูอีก็ร่อนลงบนดวงหน้าเธอเช่นกัน สายตาของทั้งสองประสานกัน
บนหน้าเขามีหน้ากากสวมไว้ กู้ซีจิ่วจึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา ส่วนแววตาของเขาก็ล้ำลึกเกินไป ลึกจนทำให้คนคาดเดาความรู้สึกเขาไม่ออก
และเธอก็คร้านจะเดาแล้วด้วย ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าให้เพียงเล็กน้อย ใบหน้าเฉิดฉันยิ้มคล้ายมิยิ้ม “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นผู้สูงศักดิ์มีงานยุ่ง ไม่รั้งอยู่กินอาหารก็เป็นเรื่องปกติ ขอให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเดินทางปลอดภัย ไม่ส่งแล้วกัน” พลันยกแขนเสื้อเป็นสัญญาณเชิญ แล้วหันหลังเข้าจวนไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้หันกลับมาเลย
ตี้ฝูอีเก็บสายตากลับมาจากร่างนาง หันหลังก้าวออกจากจวนไปเช่นกัน ด้านหลังมีเพียงกุยเฉวียนคนเดียวที่ออกมาส่ง ดูเงียบเหงาเป็นพิเศษ
นอกประตูจวนปวงชนบางส่วนยังคงยืนรอชมเรื่องครื้นเครงอยู่ การที่กู้ซีจิ่วออกมาส่งทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ยด้วยตัวเองพวกเขาล้วนเห็นกันทั่ว อีกทั้งได้ตี้ฝูอีที่มีเพียงข้ารับใช้คนหนึ่งออกมาส่ง ปวงชนจึงอดไม่ได้ที่จะยินดีในคราวเคราะห์ของผู้อื่น สายตานับไม่ถ้วนร่อนลงบนร่างเขา ยากนักที่จะได้เห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้เสียหน้า พวกเขาย่อมอยากมองให้มากหน่อย
พวกมู่เฟิงทั้งสี่ยังคงรออยู่บนเรือใหญ่ที่รั้งรออยู่นอกประตู ยามที่ตี้ฝูอีเพิ่งเข้าจวนไป เดิมทีพวกเขาสี่คนอยากตามไปด้วย แต่ถูกตี้ฝูอีสั่งการอย่างลับๆ ว่าให้รั้งอยู่ รอคอยอยู่ด้านนอกตลอด
เมื่อเห็นตี้ฝูอีออกมาอย่างเงียบเหงาเช่นนี้ พวกมู่เฟิงก็ลอบส่ายหัว
ทอดทิ้งผู้อื่นอย่างโหดเหี้ยมแล้วยังวิ่งมามอบของขวัญให้อีก ซ้ำของขวัญที่นำมายังไม่ได้เรื่องอีกด้วย บนโลกคงมีเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้เดียวที่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้!
ยามที่มู่เฟิงต้องออกไปมอบของขวัญให้ก่อนหน้านี้ ล้วนรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผะผ่าว
ยังคงเป็นแม่นางกู้ที่ใจกว้าง ไม่ได้ปาของขวัญชิ้นนั้นใส่หน้าเขาทันทีก็นับว่าไว้หน้าเขามากแล้ว ยังจะมองผู้อื่นด้วยสีหน้าดีงามได้อีกหรือ?
เมื่อเห็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เสียหน้า ในใจของมู่เฟิงค่อนข้างมีความสุขอย่างไร้ความปรานีอยู่รางๆ
แน่นอนว่าเขาไม่กล้าแสดงความสุขนี้ออกมาทางสีหน้า ยามที่เห็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เงยหน้ามองขึ้นมา เขาก็รีบลุกขึ้นทันที ค้อมกายคอยท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเรือ
ครั้งนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คงจะอารมณ์ไม่ดี เงยหน้าสั่งการอย่างเฉยเมย “โรยแถบแพรลงมา”
มู่เฟิงตะลึง
ในใจพวกมู่เฟิงรู้สึกฉงนจริงๆ
ปกติแล้วการโรยแถบแพรจะใช้ในเหตุการณ์สำคัญเท่านั้น ในยามที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ต้องการวางท่าต่อหน้าผู้คน ถึงจะให้โยนสิ่งนี้ลงไป แล้วยามนั้นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็จะย่างเท้าลงบนแถบแพรห้าสีทีละก้าวยุรยาตรขึ้นมาด้วยท่าทีสบายๆ
————————————————————————————-
บทที่ 1613 เมื่อกี้เขาตาฝาดงั้นหรือ?
ภายใต้สถานกาณณ์ปกติ ท่าทางนั้นจะสง่างามยิ่งนัก ดึงดูดคนยิ่งนัก และเป็นการสำแดงวิทยายุทธ์ที่ราวกับท่าเท้าทะยานคลื่นของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกมาอย่างชัดเจนยิ่งนัก
แต่ยามนี้ มู่เฟิงคิดเห็นเป็นการส่วนตัวว่าในยามที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ค่อนข้างเสียหน้าเช่นนี้ควรถ่อมตัวสักหน่อยจะดีกว่า สมควรเหาะทะยานขึ้นมาเสีย
สี่ทูตไม่กล้าโอ้เอ้ ต่างสะบัดแขนเสื้อพรึ่บ มีแถบแพรห้าสีลอยละลิ่วลงมาจากเรือ ยื่นไปถึงแทบเท้าของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผู้ยิ่งใหญ่ก็โบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เหยียบย่างลงบนแถบแพรห้าสีแล้วเหินกายขึ้นไป…
ยามที่ใกล้จะถึงกราบเรือแล้ว ร่างกายของตี้ฝูอีโงนเงนเล็กน้อย ทำให้หัวใจของสี่ทูตสั่นสะท้านตามไปด้วย
ในชั่วขณะนั้น มู่เฟิงรู้สึกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เหมือนจะเสียหลักร่วงหล่นลงไปแล้ว!
ขณะที่เขากำลังจะยื่นมือไปช่วยพยุงตามสัญชาตญาณ เรือนกายท่านเทพศักดิ์สิทธิ์พลันไหววูบ เข้าไปในเรือแล้ว มู่เฟิงคว้าได้เพียงอากาศ
มู่เฟิงยื่นมือค้างอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหดกลับมา มองตี้ฝูอีที่นั่งอยู่บนเรือแล้ว ฉงนอยู่บ้าง เมื่อกี้เขาตาฝาดงั้นหรือ?
มู่เฟิงค่อนข้างกังวล ก้าวเท้าเข้าไป “นายท่าน…”
ตี้ฝูอีไม่มีทีท่าผิดปกติ สั่งการเพียงประโยคเดียว “ออกเรือ!”
มู่เฟิงมองไม่เห็นสีหน้าของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเขาจึงวินิจฉัยไม่ได้ว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เกิดปัญหาขึ้นหรือไม่ ทำพียงปฏิบัติตามคำสั่งเขา นำเรือออก เอ่ยถามระหว่างทาง “นายท่าน จะไปไหนหรือขอรับ?”
“จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย” ตี้ฝูอีเอ่ยออกมาเพียงประโยคเดียวก็นั่งสมาธิเลย ไม่พูดอะไรอีก
….
กู้ซีจิ่วนั่งอยู่บนเก้าอี้ในห้องโถง กุยเฉวียนยืนอยู่ด้านล่างแล้วรายงานเบาะแสทั้งหมดของตี้ฝูอีที่มาเยือนจวนในครั้งนี้
จากนั้นกู้ซีจิ่วจึงพบว่า เขาเดินไปทั่วทุกซอกทุกมุมของจวนเธอแล้ว ไม่ได้สนใจสถานที่ไหนเป็นพิเศษ เสมือนเดินเที่ยวจริงๆ หากว่ากล่าวให้พิเศษหน่อย ก็คือเขาค่อนข้างสนใจทะเลสาบแห่งนั้น ตกปลาจากทะเลสาบมาสามตัวด้วย
แน่นอนว่ากุยเฉวียนได้เล่าเรื่องปลาชนิดพิเศษแก่กู้ซีจิ่วด้วยเช่นกัน กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง!
สถานที่แห่งนี้เมื่อก่อนเป็นที่พำนักขององค์ชายแปดหรงเช่อ แต่หรงเช่อกลับเป็นร่างอวตารของโม่เจ้า โม่เจ้าเป็นมารสวรรค์ เพื่อรักษาวิถีมารไว้มารต้องใช้แรงพยาบาทจากวิญญาณอาฆาต
ในจวนของหรงเช่อไม่มีวี่แววของวิถีมารมาหลายปีแล้ว และไม่มีข่าวลือไม่ดีอันใดแว่วออกมาเลย จะต้องเกี่ยวข้องกับทะเลสาบแห่งนี้แน่…
กู้ซีจิ่วสั่งการให้ระบายน้ำออกจากทะเลสาบแห่งนั้น!
ทั้งจวนสวรรค์วุ่นวายขึ้นมาทันที หลัวจั่นอวี่นำเหล่าข้ารับใช้ไปทำงานอยู่ริมทะเลสาบด้วยตัวเอง เดิมทีกู้ซีจิ่วคิดจะตามมาช่วยด้วย ทว่าถูกหลัวจั่นอวี่เกลี้ยกล่อมให้กลับไป บอกว่าเธอเพิ่งจะบาดเจ็บมา ไม่ควรถูกน้ำ ต้องพักผ่อนให้ดีถึงจะถูก
หลัวซิงหลานก็ลงมือปรุงอาหารบำรุงโลหิตให้กู้ซีจิ่วด้วยตัวเองหลายอย่าง ส่งไปให้กู้ซีจิ่วที่ห้องหนังสือ
มีคนในครบครัวอยู่เคียงข้าง มีสัตว์เลี้ยงน่ารักน่าเอ็นดู มีข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์? จวนทูตสวรรค์คึกคักมีชีวิตชีวายิ่ง
กู้ซีจิ่วอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นคึกคัก ทว่ารู้สึกอ้างว้างอย่างน่าประหลาด โดยเฉพาะยามที่รัตติกาลมาเยือน
คืนนี้เป็นอีกคืนที่ยากจะข่มตานอนได้
ข้อมือของเธอเจ็บปวดยิ่งนักอยู่ตลอดจริงๆ หลังจากเธอทายาสมานแผลนั้นแล้วสามารถทำให้แผลหายดีเร็วขึ้นได้ ทว่าไม่อาจขจัดความเจ็บปวดที่เสียดแทงไปถึงหัวใจนั้นอย่างหมดจด
เธอนึกว่าอาการปวดข้อมือนี้อย่างมากก็ปวดสักหนึ่งชั่วยามเท่านั้น กลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะปวดอยู่กว่าสองชั่วยาม ซ้ำยังไม่มีแน้วโน้มว่าจะทุเลาลงเลยด้วย
ช่วงกลางวันเธอคึกคักยุ่งนู่นวุ่นนี่อยู่ตลอด เมื่อเบี่ยงเบนความสนใจไปชั่วขณะก็สามารถอดทนไว้ได้ แต่พอตกกลางคืนหลังจากภายในห้องเหลือเธอเพียงผู้เดียว ความเจ็บปวดนั้นยิ่งชัดเจดมากขึ้น
เธอนอนพลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงหลับไม่ลง หันรีหันขวางเช่นนี้มาเกือบหนึ่งชั่วยามแล้ว ในเมื่อเธอนอนไม่ได้ จึงลุกออกไปดูรถม้าหยกขาวคันนั้นเสียเลย
มุดเข้าไปในรถ คิดจะศึกษาค้นคว้าโครงสร้างค่ายกลภายในรถดู นึกไม่ถึงเลยว่าเธอศึกษาดูอยู่ในรถคันนี้ได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม เสียงกระดิ่งหยกบนชายคารถที่ถูกสายลมพัดพาจนดังกรุ้งกริ้งก็แว่วเข้ามาในหู ราวกับเสียงเพลงขับกล่อม ทำให้เธอง่วงขึ้นมา
จึงนอนลงบนตั่งนุ่มภายในห้องโดยสารเสียเลย สะลึมสะลือแล้วหลับใหลไป
คงเป็นเพราะปวดข้อมือเกินไป ต่อให้เธอหลับอยู่ก็ไม่สงบมั่นคง มุ่นคิ้วน้อยๆ บางครั้งก็เสียงครางเบาๆ แว่วออกมาจากปาก ตรงขมับมีเหงื่อผุดซึม…
หลังจากเธอหลับไปไม่นาน ฉากกั้นด้านบนของรถม้าก็ค่อยๆ เลื่อนออก เผยให้เห็นป้ายหยกชิ้นหนึ่ง ป้ายหยกชิ้นนั้นมีแสงอ่อนโยนแผ่ออกมา ค่อยๆ โอบคลุมร่างเธอไว้
และคนชุดม่วงผู้หนึ่งก็โผล่ออกมาจากแสงอันอ่อนโยนดุจภาพเงามายา ปรากฏตัวขึ้นข้างกายเธอ
————————————————————————————-