ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1624+1625
บทที่ 1624 คืนสิ้นปี 3
หลงซือเย่ที่นั่งอยู่ด้านข้างมองดูเธอ มองเธอซุกใบหน้าเล็กๆ ไว้ในวงแขน มองไม่เห็นใบหน้าของเธอ แต่มองออกว่าเงาร่างของเธอแฝงความเดียวดายที่ยากจะเอื้อนเอ่ยได้เอาไว้
“ซีจิ่ว ถ้าอยากนอนฉันจะพาเธอไปนอนในห้องนะ ที่นี่หนาว” หลงซือเย่ก้าวเข้ามาหมายจะอุ้มเธอ กลับถูกเขตแดนคุ้มกายบนร่างเธอดีดสะท้อนออกไป
ชัดเจนยิ่งนัก เธอในตอนนี้ปฏิเสธการเข้าใกล้จากทุกคน
หลงซือเย่ถอนหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ล้มเลิกความคิดที่อุ้มเธอเข้าไปพักผ่อนในเรือน
กู้ซีจิ่วกำลังฝัน ในความฝันเธอเพนจรไปทั่วเหมือนสัมภเวสี
ในความฝันท้องฟ้ามืดมิด ทุกครัวเรือนต่างจุดประทัดจุดโคมแล้ว เสียงประทัดดังปังๆ ต่อเนื่องกัน เด็กน้อยแก่นแก้วถือประทัดวิ่งไล่กันบนท้องถนน ผู้คนนับไม่ถ้วนชุมนุมกันอยู่ที่ประตูวังหลวง หรงเจียหลัวแต่งตัวเต็มยศนำขบวนข้าราชบริพารยืนอยู่บนหอเหนือประตูร่วมสุขสันต์ไปกับราษฎร และกล่าวให้โอวาท
ดอกไม้ไฟนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นสู่ฟ้า ระเบิดออกกลางอากาศ ส่องสะท้อนใบหน้ายิ้มแย้มของผู้คนให้เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง
หลายครอบครัวจูงลูกหลานคนชรามาชุมนุมที่นี่ สามีจูงมือภรรยา ภรรยาจูงมือบุตร หนึ่งครอบครัวเดินเที่ยวด้วยกัน ใบหน้ายิ้มแย้มบ่งบอกถึงความปีติพึงใจ
กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนล่องลอยไปอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่คึกคัก ไม่มีใครมองเห็นเธอ แต่เธอสามารถสัมผัสถึงความสุขของคนอื่นได้
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เธอกับเขาเคยจับมือกันเดินเที่ยวในคืนสิ้นปี ยามนั้นความสุขของเธอราวกับแทบล้นทะลักออกมา หวังเพียงว่า ‘จะมีวันนี้ไปทุกๆ ปี มีช่วงเวลานี้ไปทุกๆ ปี’ กลับนึกไม่ถึงว่าความสุขเป็นดั่งฟองสบู่ สลายหายไปอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้!
ไม่ทันรู้ตัวก็ไปถึงจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้ว
จวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกลับค่อนข้างวังเวงอยู่บ้าง ไม่มีกลิ่นอายของคืนข้ามปี
เหล่าข้ารับใช้ส่วนใหญ่ล้วนถูกปล่อยให้กลับไปข้ามปีกับครอบครัวแล้ว ภายในจวนเหลือผู้ปฏิบัติหน้าที่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนใหญ่ล้วนเป็นใบหน้าเดิมๆ ที่กู้ซีจิ่วคุ้นเคย
เธอลอยผ่านหน้าพวกเขาไปพวกเขาก็ไม่สังเกตเห็นเลยเช่นกัน
เธอได้ยินจากปากของสาวใช้เหล่านี้ว่าเขากำลังรับรองแขกอยู่ที่ศาลาสดับคลื่น
ศาลาสดับคลื่นเป็นสถานที่ที่กู้ซีจิ่วโปรดปรานที่สุดยามพำนักอยู่ในจวนทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย เป็นอาคารกลางภูเขาหลังหนึ่ง มีภูเขารายล้อมอยู่สามด้าน อีกหนึ่งด้านเป็นสายน้ำ ฝั่งภูเขาปลูกต้นสนครามเอาไว้ เมื่อสายลมโชยมา ต้นไม้จะเอนไหว ดั่งคลื่นสมุทร ทิวทัศน์งดงามยิ่งนัก
ตี้ฝูอีไม่รับรองแขกที่นี่ง่ายๆ ยามปกติจะลากเธอไปร่ำสุราที่นี่ ตอนนี้แขกที่เขารับรองอยู่ที่นี่เป็นใครกัน?
หัวใจเธอพลันรุ่มร้อนดั่งเพลิง เธออยากเจอเขา!
ตัวเธอในความฝันยังคงทำทุกอย่างได้ตามปรารถนา ตรงไปที่นั่นทันที
ต่อมาในที่สุดเธอก็ได้เห็นเขาแล้ว เรื่องราวผ่านพ้นไปห้าเดือนในที่สุดเธอก็ได้เห็นเขาอีกครั้ง! จากนั้นก็ราวถูกฟ้าผ่าลงกลางศีรษะ!
เรือนผมของเขา! ทำไมถึงเป็นสีขาวล่ะ
สวมชุดอยู่บ้านสีฟ้าอ่อน คิ้วดั่งเรียวจันทร์เหนือยอดเขา เนตรสกาวดั่งดารา ณ ขอบฟ้า รูปโฉมยังคงหล่อเหลาพิสุทธิ์เช่นเดิม เป็นอย่างที่เธอคุ้นเคย มีเพียงเส้นผมอย่างดียวที่ไม่เป็นสีดำดุจหมึกอีกต่อไป แต่กลับขาวโพลนดุจหิมะ!
ในเวลาเดียวกันนี้ เธอก็ได้เห็นแขกที่เขากำลังรับรองอยู่ เป็นสองพี่น้องสกุลหลานจากเผ่าเงือกหลานเหยากวงและหลานจิ้งอี๋
หลายเดือนมานี้ถึงแม้หลานเหยากวงจะมาเยี่ยมกู้ซีจิ่วอยู่เป็นประจำ แต่หลานจิ้งอี๋ไม่เคยมาด้วยเลย นี่เป็นครั้งแรกในรอบห้าเดือนที่กู้ซีจิ่วได้เห็นนาง
แม่นางน้อยมองตี้ฝูอีที่กำลังชงชาอยู่ด้วยสีหน้าปวดใจ “พี่หวง ทำไมผมท่านถึงกลายเป็นสีขาวเช่นนี้ไปได้เล่า?”
มือของตี้ฝูอีที่กำลังชงชาอยู่พลันชะงักไปแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร ยังคงชงชาต่อ
หลานเหยากวงถลึงตาใส่น้องสาวคราหนึ่ง เตือนไม่ให้นางสะกิดบาดแผลของผู้อื่น หลานจิ้งอี๋กลับเบะปาก เพียงแต่ยังคงทำเป็นไม่รู้ตัว ดวงตายังคงจับจ้องตี้ฝูอี “พี่หวง เป็นเพราะพี่หญิงไม่ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมา ท่านผิดหวังเกินไปเส้นผมถึงได้หงอกขาวเช่นนี้ใช่ไหรือไม่? ข้าเคยได้ยินตำนานปรัมปราเช่นนี้ คู่รักคู่หนึ่งแยกจากกันทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ยามที่คนเราสิ้นหวังเกินไปเส้นผมจะหงอกขาว…”
————————————————————————————-
บทที่ 1625 คืนสิ้นปี 4
หลานเหยากวงขมวดคิ้ว ในที่สุดก็ออกปากปรามนาง “จิ้งอี๋ อย่าพูดเหลวไหล พี่หญิงฟื้นคืนชีพแล้ว นางแค่ไม่ยอมรับเท่านั้น…”
“ไม่ใช่! นางไม่ใช่พี่หญิง! เป็นกู้ซีจิ่วที่ฟื้นขึ้นมา นางเป็นเพียงเสี้ยวจิตสำนึกของพี่หญิงเท่านั้น! น่าชังนัก! ว่ากันตามเหตุผลแล้ว มนุษย์มีสามวิญญาณถึงจะนับว่าเป็นวิญญาณหลัก เป็นเจ้าของนิสัยหลักของคนผู้นั้น แต่จิตสำนึกเป็นเพียงส่วนเกื้อหนุนเท่านั้น ไม่ควรมีสตินึกรู้เป็นของตน กลับนึกไม่ถึงว่าเสี้ยวจิตสำนึกดวงนี้ไม่เพียงแต่มีสตินึกรู้เป็นของตัวเองเท่านั้น ยังยึดครองร่างกายที่สมควรเป็นของพี่หญิงอีกด้วย ทำให้พี่หญิงกลับมาไม่ได้…”
น้ำเสียงของนางสะอื้นอยู่บ้าง “ข้าคิดถึงพี่หญิง อยากได้พี่หญิงคนเดิมผู้นั้นกลับมา….”
หลานเหยากวงเอ่ยขัดนาง “น้องเล็ก เจ้าอย่าได้กล่าวเช่นนี้ ซีจิ่วเป็นจิตสำนึกของพี่หญิงกลับชาติมาเกิด เป็นส่วนหนึ่งของพี่หญิงเช่นกัน เจ้าไม่อาจไม่ยอมรับนางได้!”
“แต่พี่หญิงที่ข้าต้องการคือดวงวิญญาณหลัก! นั่นไม่ใช่พี่หญิงของข้า! คนในยามนี้ก็เหมือนตัวปลอมคนหนึ่ง เป็นกาเหว่ายึดรังกา!!”
หลานเหยากวงขมวดคิ้ว “พี่หญิงสิ้นชีพในครานั้น เดิมทีดวงวิญญาณได้แตกกระสานซ่านเซ็นไปแล้ว เป็นพี่หวงที่ฝืนรั้งเสี้ยววิญญาณนางไว้ เช่นนี้ถึงได้เก็บรักษาความทรงจำเหล่านั้นของนางเอาไว้ได้ วิญญาณส่วนที่เหลือแตกแยกไปหมด จิตสำนึกนั้นสามารถกลับชาติมาเกิดได้ก็นับว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายในเรื่องเหนือความคาดหมายแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่ดวงวิญญาณหลักจะยังคงอยู่ในสภาพสมบูรณ์ เกรงว่าคงสลายเป็นธุลีไปแล้ว เจ้าจะให้พี่หวงไปตามหาพี่หญิงที่มีดวงวิญญาณหลักมาให้เจ้าจากไหนกัน?”
หลานจิ้งอี๋ไม่ยอมแพ้ “ในเมื่อจิตสำนึกนั้นสามารถเกิดใหม่อย่างสมบูรณ์ได้ แล้วรู้ได้อย่างไรว่าดวงวิญญาณหลักของพี่หญิงจะรวมตัวกันอย่างสมบูรณ์ไม่ได้? ไม่แน่ว่าอาจจะกลับชาติมาเกิดแล้วเช่นกัน!”
หลานเหยากวงส่ายหน้า “ไหนเลยจะมีเรื่องดีเช่นนี้ได้…”
จู่ๆ ตี้ฝูอีที่นั่งอยู่ตรงนั้นมาตลอดก็เปิดปากขึ้น “จิ้งอี๋พูดถูก จิตสำนึกไม่นับว่าเป็นนางจริงๆ ข้าจะหาทางตามหาวิญญาณหลักของนางกลับมา ทำให้นางกลับคืนมาอย่างแท้จริง…”
หลานเหยากวงตะลึงงัน ดวงตาหลานจิ้งอี๋พลันส่องประกาย “พี่หวง ที่ท่านกล่าวเช่นนี้ความหมายคือไม่ยอมรับว่ากู้ซีจิ่วในยามนี้คือพี่หญิงจิ้งเคอเหมือนกันใช่ไหม?”
น้ำเสียงตี้ฝูอีขรึมลง “นางย่อมไม่นับว่าเป็นจิ้งเคอ เป็นข้าที่ผิดพลาดไป”
หลานจิ้งเคอถอนหายใจเหยียดยาว “จิ้งอี๋รู้อยู่แล้วว่าพี่หวงก็อยากให้พี่หญิงตัวจริงกลับคืนมา ดีเหลือเกิน!”
ดูเหมือนนางจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “แล้วจะอย่างไรกับร่างกายเล่า? ร่างนั้นถูกเสี้ยวจิตสำนึกนั้นยึดครองแล้ว ต่อให้ดวงวิญญาณหลักของพี่หญิงรวบรวมกลับมาได้ก็ถือกำเนิดใหม่ไม่ได้แล้วนะ”
ตี้ฝูอีเงยหน้าเหม่อมองไปไกลครู่หนึ่ง เอ่ยเรียบๆ ว่า “ไม่ต้องห่วง ยามนี้สังขารมิใช่เรื่องยากแล้ว หลงซือเย่เจ้าสำนักถามสวรรค์สามารถสร้างร่างโคลนนิ่งได้ รอจนดวงวิญาณหลักของจิ้งเคอเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ข้าจะให้หลงซือเย่สร้างร่างที่เหมือนกันออกมาอีกร่างหนึ่ง ให้จิ้งเคอได้ฟื้นคืนชีพอย่างสมบูรณ์”
แววตาหลานจิ้งอี๋ไหวระริก สีหน้าตื้นตัน “ข้ารู้อยู่แล้วว่าผู้ที่พี่หวงคะนึงหาอย่างแท้จริงก็คือพี่หญิงจิ้งเคอของข้า เพื่อให้นางได้คืนชีพท่านวางแผนมาหลายพันปี…เฮ้อ ท่านอุตสาหะวางแผนมาเนิ่นนานถึงเพียงนี้ ตั้งตารอมาเนิ่นนานปานนี้ สุดท้ายกลับถูกกู้ซีจิ่วฉกฉวยผลประโยชน์ ต้องเสียใจอย่างยิ่งเป็นแน่ ดังนั้นจึงได้คิดมากจนผมหงอกขาว…”
ตี้ฝูอียกชาขึ้นดื่มอึกหนึ่ง ไม่พูดอะไร
คล้ายว่าหลานจิ้งอี๋จะนึกอะไรขึ้นมาได้อีก “ใช่แล้ว หากว่าวันหน้าพี่หญิงจิ้งเคอตัวจริงของข้าฟื้นคืนชีพ เช่นนั้นจะเอาอย่างไรกับตัวปลอมอย่างกู้ซีจิ่วดี?”
ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเฉยเมย “ไม่จำเป็นต้องสนใจนาง วันหน้าข้าก็แค่ทำเหมือนนางเป็นคนแปลกหน้า ไม่รักใคร่พะเน้าพะนอนางด้วยเห็นว่าเป็นจิ้งเคออีก”
หลานจิ้งอี๋เบะปาก “นางช่างได้ผลประโยชน์เหลือเกิน…ช่างเถอะ ขอเพียงพี่หวงไม่ชมชอบนางอีกก็พอแล้ว มิเช่นนั้นหลังจากพี่หญิงจิ้งเคอตัวจริงของข้าฟื้นคืนมาคงจะเสียใจ”
————————————————————————