ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1702+1703
บทที่ 1702 นางก็คือดาวราชันดวงใหม่ที่เขาตามหาไม่พบ!
เขาก็ดูดาวเป็น เพียงแต่ศาสตร์โหราพยากรณ์ของเขาไม่ได้ลึกล้ำเท่าตี้ฝูอี ทำได้เพียงแค่ดูคร่าวๆ เท่านั้น
เขารู้ว่าดาวราชันดวงเก่าจะร่วงหล่นลงในที่สุด และในช่วงเวลานี้ก็จะมีดาวราชันดวงใหม่ถือกำเนิดขึ้นบนโลกใบนี้ หากดาวมารสวรรค์สังหารดาวราชันดวงใหม่ก่อนที่มันจะเติบใหญ่ขึ้นมาอย่างแท้จริง เช่นนั้น ดาวมารสวรรค์ก็จะยึดครองและเข้าแทนที่ได้สำเร็จ กลายเป็นผู้ปกครองคนใหม่ของโลกใบนี้ แน่นอนว่าเป็นผู้ปกครองสายมาร โครงสร้างของทวีปแห่งนี้ก็ต้องแก้ไขใหม่ทั้งหมด
เขามีจิตใจละโมภมาตั้งนานแล้ว และรอคอยมาโดยตลอด รอคอยให้ดาวราชันดวงใหม่ปรากฏขึ้น แรกเริ่มดาวราชันดวงใหม่จะอ่อนแอยิ่งนัก ถูกสังหารได้โดยง่าย
และดาวราชันดวงใหม่มักจะปรากฏขึ้นภายในหกสิบปีที่ดาวราชันดวงเก่าจะร่วงหล่น
เขาเพ่งพิศดวงดาวมาตลอด ทว่าในสายตาเขา ดาวราชันดวงเก่านั้นส่องแสงประกายยิ่งนักตลอดเวลา แทบจะไม่มีทีท่าว่าจะร่วงหล่น
ดังนั้น เขาจึงคิดว่าดาวราชันดวงใหม่ไม่มีทางปรากฏขึ้นในชั่วขณะหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดไม่มีทางปรากฏขึ้นภายในหกสิบปี ดังนั้นเขาจึงทำตัวเรียบง่ายไม่โดดเด่นมาตลอด หลบซ่อนอย่างลึกลับ เพื่อจะได้ไม่ไปกระตุ้นความสงสัยของเทพศักดิ์สิทธิ์…
สิ่งที่เขาไม่คาดคิดก็คือ ดาวราชันดวงใหม่จะปรากฏขึ้นรวดเร็วถึงเพียงนี้!
ตอนที่เขาค้นพบ ดาวราชันดวงใหม่ดวงนั้นก็ส่องแสงประกายสุกใสแล้ว! แข็งแกร่งขึ้นมาแล้ว!
เห็นได้ชัดว่า ดาวราชันดวงเก่าทำอะไรบางอย่างกับมัน จนทำให้มันซ่อนตัว ไม่ส่องแสงก่อนหน้าที่มันยังไม่แข็งแรง หายไปจากท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดารา และทำให้โม่เจ้าพลาดโอกาสดีๆ ไป…
สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ โม่เจ้าค้นพบดาวราชันดวงใหม่ แต่กลับไม่มีทางวิเคราะห์ได้เลยว่าดาวราชันดวงใหม่นั้นแท้จริงแล้วเป็นผู้ใด? เขาถึงกับไม่มีทางวิเคราะห์ตำแหน่งของอีกฝ่ายได้ และย่อมไม่มีทางสังหารอีกฝ่ายได้เช่นกัน
เดิมทีเขาคิดว่าจะค่อยออกตามหาหลังจากที่ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ นึกไม่ถึงว่าเมื่อเห็นกู้ซีจิ่วออกกระบวนท่า ลำแสงสีรุ้งแพรวพราวนั้นไม่อาจหลอกลวงได้ มีเพียงดาวราชันบนโลกใบนี้เท่านั้นถึงจะปล่อยลำแสงชนิดนั้นออกมาได้!
นางก็คือดาวราชันดวงใหม่ที่เขาตามหาไม่พบ!
เขารู้สึกว่าสวรรค์ช่างเล่นตลกอันโหดร้ายกับเขาเหลือเกิน สตรีเพียงผู้เดียวที่เขาชมชอบ สตรีเพียงผู้เดียวที่เขาอยากครอบครอง กลับเป็นดาวราชันดวงใหม่ที่เขาต้องการสังหารมาโดยตลอด!
อันที่จริง เขาคิดใคร่ครวญมาตลอดทางหลบหนีว่าจะทำอย่างไรดี?
เดิมทีเขาคิดจะแต่งงานกับดาวราชันดวงใหม่ จากนั้นก็ตัดขาดผู้สนับสนุนนางทั้งหมด ให้นางเป็นเพียงสตรีในวังหลังของเขา คอยดูเขาปกครองใต้หล้า ดูสถานการณ์วุ่นวายเป็นเพื่อนเขาด้วยรอยยิ้ม
ทว่าตอนนี้เขาถูกนางไล่ล่าอย่างกระชั้นชิด จิตใจที่ชมชอบของเขาก็จืดจางแล้ว
ในอนาคตยังคงมีสตรีที่เลิศเลอ ทว่าใต้หล้านี้มีเพียงหนึ่งเดียว เพื่อแผนการยึดครองอำนาจสูงสุดของเขา เขาทำได้เพียงยอมสละนางไปก่อน…
อย่างมากก็หลงเหลือดวงวิญญาณของนางไว้ ประทับรอยมารในดวงวิญญาณนาง ทำให้ถึงแม้นางเกิดใหม่ก็จะไม่มีทางเป็นเทพได้อีก ทำได้เพียงเป็นสตรีของเขา
เขาหรี่ตามองนางที่อาภรณ์พลิ้วปลิวไสวอยู่ฝั่งตรงข้าม นิ้วมือภายในแขนเสื้อค่อยๆ กระชับแน่น!
เขายังฉงนสงสัยในวิชาสืบหาร่องรอยของกู้ซีจิ่วยิ่งนัก เหตุใดจึงได้เหนือธรรมดาถึงเพียงนี้?!
กู้ซีจิ่วจ้องมองเขา ทุกท่วงท่าทุกการเคลื่อนไหวของเขาล้วนอยู่ในสายตาเธอ และย่อมรู้ดีว่าเขามีใจคิดสังหารต่อตัวเองแล้ว
เธอหยักมุมปากเล็กน้อย ในที่สุดก็ถึงเวลาตัดสินแล้ว!
เธอรอช่วงเวลานี้มาแสนนาน!
ยามนี้เธอค่อนข้างอารมณ์ดี ดังนั้นจึงมีใจตอบข้อสงสัยของโม่เจ้า “ความจริงข้าสงสัยในตัวเจ้ามานานแล้ว ดังนั้นจึงเล่นเล่ห์เล็กน้อยไว้บนตัวเจ้า เพราะฉะนั้น นอกจากเจ้าไม่ต้องการสังขารนี้แล้ว มิเช่นนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องคิดที่จะหลบหนีอีก ไม่ว่าเจ้าหลบหนีไปที่ใด ข้าก็ตามหาเจ้าได้พบ!”
โม่เจ้านิ่งอึ้ง
เขาทอดถอนใจ “ข้าหลบซ่อนได้อย่างดีเยี่ยมแท้ๆ ตัวเองก็ไม่ได้เผยพิรุธ แม้แต่ตี้ฝูอีก็ดูไม่ออก เจ้าดูออกจากตรงไหนกันแน่?”
เขาแสดงได้สมบทบาทยิ่งนัก อีกทั้งครั้งนี้สังขารที่เขายึดครองหรงเจียหลัวเป็นการรวมร่างที่แท้จริง เขากลืนกินดวงวิญญาณของหรงเจียหลัว มีความทรงจำทั้งหมดของหรงเจียหลัว
————————————————————————————-
บทที่ 1703 แค่เคยเท่านั้น
และสามารถกล่าวได้ว่า ยามนี้เขาก็คือหรงเจียหลัว สรุปแล้วเขาเผยพิรุธออกไปตรงไหนกัน?
กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากแดงเรื่อนิดๆ กล่าวเพียงประโยคเดียวว่า “หรงเจียหลัวเคยเป็นสหายของข้า!”
เธอรู้จักสหายเป็นอย่างดีเสมอมา กับหรงเจียหลัวเองก็เช่นเดียวกัน
นิสัยใจคอของคนผู้หนึ่งสามารถเปลี่ยนไปได้เพราะการเปลี่ยนแปลงของสถานะ แต่นิสัยหลักๆ ยังคงไม่แปรเปลี่ยนไปมากนัก
หรงเจียหลัวหน้านิ่งสุขุมเยือกเย็น แต่จริงๆ แล้วนิสัยขี้อายและค่อนข้างเก็บตัว แต่ระยะเวลาไม่กี่เดือนมานี้ถึงแม้ยามปกติหรงเจียหลัวจะหน้านิ่งเคร่งขรึมเช่นเดิม แต่บางครั้งแววตากลับดูชั่วร้ายอยู่บ้าง ทำให้กู้ซีจิ่วแคลงใจในตัวเขา…
อันที่จริงก่อนหน้านี้ เธอเคยลอบหยั่งเชิงเขามาแล้วไม่กี่ครั้ง ล้วนหยั่งไม่พบความผิดปกติเลย เธอยังนึกอยู่เลยว่าตนคงระแวงมากไป
แต่เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน ยามที่เธอไปยังวังหลวงเพื่อสวดส่งวิญญาณอาฆาตเหล่านั้นและพบปะกับหรงเจียหลัว ก็ได้ลอบเล่นลูกไม้เล็กน้อยไว้บนร่างกายเขา
ร่างกายของหรงเจียหลัวมีความสุ่มเสี่ยง ไม่ว่าเขาจะถูกโม่เจ้าสิงร่างหรือไม่ กู้ซีจิ่วล้วนต้องลอบสอดส่องดูแลเขา
ต่อให้เขาไม่ใช่โม่เจ้า หากว่าวันไหนถูกโม่เจ้านึกถึงแล้วลักพาตัวไป เธอจะได้มีทิศทางในการหาตัวคน…
ท้ายที่สุดโม่เจ้าก็ยังคงปราดเปรื่อง ฟังความนัยของกู้ซีจิ่วออก อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจคราหนึ่ง “ซีจิ่ว เจ้าช่างดีต่อหรงเจียหลัวเสียจริงนะ! แต่ข้าก็เคยเป็นสหายของเจ้าเช่นกัน ทำไมไม่เห็นเจ้าจะดูแลข้าถึงเพียงนี้บ้างเล่า?”
กู้ซีจิ่วยิ้มเย็น “ข้าเคยถือว่าเจ้าเป็นสหายจริงๆ เพียงแต่ แค่เคยเท่านั้น!” หลังจากตัวเขาที่เป็นอวตารของโม่เจ้ากระทำเรื่องราวที่สวรรค์ขุ่นมนุษย์เคืองออกมามากมาย เธอจะนับเขาเป็นเพื่อนต่อไปได้อย่างไรเล่า?
โม่เจ้าหลุบตาลง ถอนหายใจแผ่วๆ “แต่ข้าเห็นเจ้าเป็นสหายมาโดยตลอด เจ้าคิดดูสิ นับแต่เจ้ารู้จักข้ามา ข้าก็ดีต่อเจ้ามาโดยตลอด ไม่เคยปองร้ายเจ้าอย่างแท้จริงเลย ปีนั้นยามเจ้าตกที่นั่งลำบากก็เป็นข้าที่คอยช่วยเหลือเจ้า กับสหายของเจ้าข้าก็หักใจทำร้ายจริงๆ ไม่ลงเช่นกัน มิเช่นนั้นไหนเลยจิ้งจอกน้อยตัวนั้นมีชีวิตรอดได้? ซีจิ่ว เป็นคนต้องมีมโนธรรม ข้าดีต่อเจ้าเช่นนี้ เจ้ากลับไล่ล่าข้าไม่ยอมเลิกรา ทำลายตำหนักใต้ดินของข้าไปกี่แห่ง ทำร้ายข้าจนบาดเจ็บสาหัสมากี่ครั้งแล้ว…ยามนี้ยังต้องการสังหารข้าให้สิ้นซากอีก ลองใช้จิตใจที่มีมโนธรรมของเจ้าคิดเสียหน่อยเถิด เจ้าไม่สำนึกบุญคุณข้าบ้างหรือ?”
วาทศิลป์ของเขายอดเยี่ยมนัก น้ำเสียงอ่อนโยนดึงดูด ดั่งธาราไหลเอื่อย คล้ายจะไหลซึมเข้าสู่ใจคนได้
ยามที่เขาเอ่ยถ้อยคำเหล่านี้ออกมา นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นคล้ายจะเจือระลอกแสงอันนุ่มนวลไว้ สุกสกาวดั่งแสงเดือน ราวกับต้องการห่อหุ้มผู้คนไว้ในความอ่อนโยนห่วงอาลัยของเขา
กู้ซีจิ่วเงียบงัน ยังคงจ้องมองเขาอย่างไร้อารมณ์
โม่เจ้ายืนหยัดไม่ยอมแพ้ ก้าวเข้าหาเธอสองก้าว “ซีจิ่ว ครั้งนี้ปล่อยข้าไปได้หรือไม่?”
กู้ซีจิ่วเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้มนิดๆ “หรงเจียหลัวตัวจริงล่ะ? เขาอยู่ที่ไหน?”
โม่เจ้าถอนหายใจ “แล้วข้ามิใช่หรงเจียหลัวหรอกหรือ?”
“เจ้าไม่ใช่! อย่างมากเจ้าก็เป็นแค่หรงเช่อ! องค์ชายแปด นึกถึงอดีตที่หรงเจียหลับปฏิบัติต่อเจ้าอย่างดียิ่งนักสิ เจ้าหักใจลงมือกับเขาอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้เชียวหรือ?”
สุ้มเสียงของโม่เจ้านุ่มนวล “ซีจิ่ว เขาเป็นมนุษย์ที่ปฏิบัติต่อข้าดียิ่งจริงๆ ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ลงมือกับเขาอย่างเหี้ยมโหดอันใดเลย เจ้าคงไม่รู้ เมื่ออยู่ต่อหน้าเจ้าอันที่จริงแล้วเขาน้อยเนื้อต่ำใจนัก เนื่องจากมักจะเป็นภาระให้เจ้าอยู่เสมอ เขาต้องการจะแข็งแกร่งขึ้นให้มากหน่อย ปรารถนาว่าจะสามารถเคียงบ่าเคียงไหล่กับเจ้าได้ ต้องการเป็นที่พึ่งคุ้มฝนบังลมให้เจ้า…แต่พรสวรรค์ของเขามีจำกัด ด้วยคุณสมบัติของร่างกายเขา ไม่อาจทะลวงไปถึงขั้นเก้าได้ และไม่มีวันแข็งแกร่งไปกว่าเจ้าได้…เขาหดหู่นักสิ้นหวังยิ่ง…”
“ดังนั้นเจ้าจึงฉวยโอกาสล่อลวงเขา ให้เขาทำพันธะโลหิตอันใดกับเจ้ากระมัง? ให้เจ้าครอบครองร่างกายของเขาได้ใช่ไหม?!”
โม่เจ้ายิ้มแล้ว “จะบอกว่าล่อลวงก็ไม่ได้หรอก เป็นเขายินยอมพร้อมใจเอง ข้ารับปากกับเขาว่าจะรักษาสตินึกคิดของเขาเอาไว้
————————————————————————————-