ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1728+1729
บทที่ 1728 คืนชีพ 3
ตนในยามนี้เป็น ‘สิ่ง’ ใดกัน?
กู้ซีจิ่วสำรวจตัวเองตามสัญชาตญาณ ยังคงมองไม่เห็นร่างกายของตนอยู่เช่นเดิม เธอคิดจะยื่นมือยื่นเท้าออกไปตามสัญชาตญาณแต่หาไม่พบว่ามือเท้าของตนอยู่ตรงไหน…
สถานการณ์เช่นนี้เธอเพิ่งเคยประสบเป็นครั้งแรก ในอดีตยามที่เธอฝันก็ยังมองเห็นร่างกายคนได้อยู่มีแต่คนอื่นเท่านั้นที่มองไม่เห็นเธอ
เช่นนั้นตอนนี้เธอนับว่าเป็สิ่งใดเล่า? เสี้ยวสติหรือ?
คงมิใช่ว่า…อยู่ในสภาพของจิตสำนึกกระมัง?!
ตัวเธอในยามนี้เป็นเสี้ยวจิตสำนึกสายหนึ่งงั้นหรือ?!
ในใจของเธอพลันหวาดหวั่นขึ้นมา!
มองดูสองคนนั้นที่อิงแอบกันอยู่อีกครั้ง จู่ๆ ความคิดหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมา
หรือว่าร่างนั้นของเธอที่ตี้ฝูอีโอบประคองอยู่จะเป็นหลานจิ้งเคอ?!
เช่นนั้นตอนนี้เธอคือเสี้ยวจิตสำนึกของหลานจิ้งเคองั้นหรือ?ในที่สุดก็ถูกตี้ฝูอีขับออกมาแล้วใช่ไหม? ตัวเธอที่เขาโอบกอดอยู่ในยามนี้คงจะนำไปคืนชีพให้หลานจิ้งเคอที่เผ่าเงือกกระมัง?
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าเข้าเค้า กู้ซีจิ่วค่อนข้างหวาดกลัวแล้ว!
ตอนนี้เธอยังมีความทรงจำของกู้ซีจิ่วอยู่เลย! หรือว่าต้องเบิกตามองเขาเปลี่ยนตนให้กลายเป็นคนอื่นไปอีกแล้ว?!
เธอสำนึกเสียใจแล้ว!
ทำเรื่องโง่เง่าไปครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว! เพราะอะไรเธอถึงทำลงไปเป็นครั้งที่สองอีก? เธอเลิกทำตัวเป็นเหลยเฟิงสักทีจะได้ไหม!
เธอเยาะหยันอยู่ครู่หนึ่ง ตัดสินในทันใด ควบคุมตัวเองให้ลอยลงไป ลอยไปอยู่เบื้องหน้าตี้ฝูอี “ตี้ฝูอี ร่างนั้นเจ้าเอาไปได้! แต่ปล่อยข้าไปซะ! ข้ายังเป็นกู้ซีจิ่วอยู่! ถ้าข้าคืนชีพขึ้นมาเกรงว่าจะยังมีความทรงจำของกู้ซีจิ่วอยู่! ข้าไม่อยากกลายเป็นหลานจิ้งเคอ!”
แต่ว่า…
เขามองไม่เห็นเธอ! ย่อมไม่ได้ยินเสียงของเธอด้วย และดูเหมือนว่าจะสัมผัสถึงเธอไม่ได้เลย
กู้ซีจิ่วคิดจะยื่นมือไปโบกอยู่เบื้องหน้าเขา ผลคือเธอหาไม่เจอว่ามือของตัวเองอยู่ตรงไหน
ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้ล่ะ?
มิใช่ว่าเขามองเห็นวิญญาณเสมอมาหรอกหรือ?
ครั้งนี้เป็นเสแสร้งเหรอ? หรือว่ามองไม่เห็นเธอจริงๆ?
เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง ตัดสินใจอีกครั้ง พุ่งเข้าใส่ร่างนั้นที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา!
ตามปกติแล้วการสิงร่างเพื่อคืนชีพก็คือต้องใส่ดวงวิญญาณเข้าไป จากนั้นก็จะคืนชีพขึ้นมา
ผลคือ รอบๆ ร่างนั้นราวกับมีเขตแดนสกัดกั้นภูตผีวิญญาณอันใดอยู่บนร่าง เธอถูกดีดสะท้อนออกไป!
ยังคงล่องลอยอยู่เหนือรถม้าเสมือนจอกแหน ไร้ที่พึ่งพา ไร้สิ่งพึ่งพิง
กู้ซีจิ่วนิ่งอยู่ตรงนั้นโง่งมอยู่ครู่หนึ่ง ในใจไม่อาจบรรยายความรู้สึกได้ชั่วขณะ
เธอรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตนถูกสวรรค์เล่นงานแล้ว!
หลังจากดวงวิญญาณแตกสลายเธอจำได้อย่างเลือนรางว่าเวลาช่างยาวนานเหลือเกินจดจำอะไรไม่ได้เลย พอมีสติขึ้นมาเล็กน้อยก้รู้สึกว่าตนคล้ายถูกกักขังไว้บนเมฆอันใดสักอย่าง
มีเสียงหนึ่งแว่วงึมงำอยู่ด้านข้าง คล้ายจะกล่าวว่าเธอฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์ สมควรได้รับโทษทัณฑ์อะไรทำนองนั้น
เธอนึกชังที่อีกฝ่ายโวยวายเกินไป จึงต่อยออกไปหมัดหนึ่ง!
ผลคือ ผลคือเธอหล่นลงมาจากเมฆก้อนนั้น!
จากนั้นเธอก็มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่
เธอมองดูสองคนนั้นที่โอบกอดกันอยู่ด้านล่าง รู้สึกว่าน่าขันยิ่งนัก!
สรุปแล้วเธอฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์อันใดกัน? ถึงต้องรับโทษทัณฑ์เช่นนี้!
เห็นกันอยู่ชัดๆ มิใช่หรือว่าเธอเป็นผู้กำจัดภัยพิบัติใหญ่หลวงอย่างโม่เจ้า? ทำเรื่องดีงามที่น่าโศกเศร้าสรรเสริญยิ่งนักชัดๆ มิใช่หรือ?!
สวรรค์ไม่ยุติธรรม! ทำไมถึงทำกับเธอแบบนี้?!
ความรู้สึกอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวในใจแผ่ขยายไปดั่งคลื่นวารี เธอล่องลอยอยู่ตรงนั้นอย่างห่อเหี่ยว ไม่อยากทำอะไรไปชั่วขณะ ผ่านไปครู่หนึ่ง สัญชาตญาณของเธอก็พบปัญหาที่ร้ายแรงยิ่งนักอีกข้อหนึ่ง!
ดูเหมือนว่าตอนนี้เธอจะไม่ได้ยินเสียงด้วย! ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย! โลกของเธอเป็นโลกที่เงียบงัน
เพียงแต่ตอนแรกที่เธอมีสติมองเห็นทุกสิ่งนี้รู้สึกตกใจมากเกินไป จึงไม่สังเกตเห็นปัญหาข้อนี้ไปชั่วขณะ
ตำแหน่งที่เธออยู่ในตอนนี้คือภายในรถม้า และรถม้าคันนี้กำลังเคลื่อนไปตามท้องถนน นอกรถมีพวกมู่เฟิงทั้งสี่เป็นผู้ติดตาม เพียงแต่การแต่งกายของพวกเขาในยามนี้เป็นการแต่งกายในฐานะเทวทูตส่างซั่นเฉิงเอ้อร์
————————————————————————————-
บทที่ 1729 คืนชีพ 4
และสองฟากฝั่งถนนก็มีประชาชนคุกเข่าทำความเคารพอย่างคึกคักตื้นตันอย่างยิ่ง…
ถึงแม้ว่ายามที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกตรวจการเหล่าปวงประชาจะคุกเข่าต้อนรับอยู่สองฟากฝั่งถนน แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงออกมา แต่ถึงอย่างไรผู้คนก็มากมายเนืองแน่น ต่อให้ไม่พูดคุยกัน เพียงเสียงลมหายใจนั้นก็น่าดูชมยิ่งนักแล้ว
แต่ยามนี้แม้กระทั่งเสียงลมหายใจกู้ซีจิ่วก็ไม่ได้ยินเลย…
รถคันนี้กันสียงหรือ?
กู้ซีจิ่วลองลอยออกมาไปนอกรถดู ไม่น่าเชื่อว่าเธอจะลอยออกไปได้!
เธอทอดสายตามองด้านล่าง ในที่สุดก็แน่ใจแล้วว่าตัวเองไม่ได้ยินจริงๆ…
ในเมื่อสามารถลอยออกมาได้ กู้ซีจิ่วก็ไม่คิดจะลอยกลับไปอีกแล้ว เธอไปยังภัตตาคารแห่งหนึ่งที่อยู่ละแวกนั้น
หลังจากราชรถของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนผ่านไป เหล่าแขกเหรือของที่นี่ก็พากันสนทนาพูดคุย
ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะไม่ได้ยินเสียง แต่เคราะห์ดีที่เธออ่านรูปปากเป็น มองดูไปทีละคนๆ ก็ทำให้เธอเข้าใจเรื่องที่พวกเขาคุยกันได้แล้ว
แขกหมายเลขหนึ่ง “ข้าจะบอกพวกเจ้าไว้นะ วันก่อนข้าก็ได้เห็นราชรถของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์!”
แขกหมายเลขสองที่นั่งโต๊ะเดียวกัน “หือ จริงรึ เหมือนกันครั้งนี้ไหม?”
“แน่นอนว่าไม่เหมือนกัน! ในแต่ละครั้งที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกมาปรากฏตัวในไม่กี่ครั้งนี้ราชรถล้วนเปลี่ยนไปทุกครั้ง แน่นอนว่าไม่ซ้ำกันเลย ครั้งก่อนที่ข้าเห็นเป็นราชรถแก้วผลึกสีฟ้าวารี…งดงามเช่นเดียวกับวันนี้! ไอ่หยา คลังศัพท์ของข้ามีจำกัด ไม่รู้ว่าควรจะบรรยายออกมาอย่างไรดี!” น้ำเสียงของแขกหมายเลขหนึ่งดูตื่นเต้นเหนือธรรมดา
“ไม่กี่ครั้งที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ปรากฏตัวออกมานี้ ราชรถคันใดบ้างเล่าที่มิใช่ดูดีน่าชมเป็นที่สุด? เอะอะมะเทิ่งไปได้” มีคนที่อยู่โต๊ะข้างๆ เอ่ยสอดเข้ามา
“ใช่ๆ ถูกแล้ว ครั้งนั้นเจ้าเห็นท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินอยู่ในราชรถของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์หรือไม่?” จู่ๆ ก็มีคนเอ่ยถามขึ้นมา
“ย่อมต้องเห็นอยู่แล้ว! นางอยู่ในราชรถ ถึงแม้จะไม่ได้ออกมา แต่ราชรถแก้วผลึกโปร่งใส ข้ายังเห็นเงาร่างของนางได้รางๆ…ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นเช่นยามนี้แหละ นั่งเคียงกายนาง…” คนผู้นั้นพูดจนน้ำลายกระเด็นเป็นฝอย
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ แล้ว
ยามตี้ฝูอีใช้ฐานะของเทพศักดิ์สิทธิ์จะเงียบเชียบไม่เอิกเกริกเสมอมา แปดปีสิบปีก็ไม่ยังไม่แน่ว่าจะปรากฏตัวขึ้นท่ามกลางฝูงชนสักครั้ง ครั้งนี้เป็นอะไรไปล่ะ?
ปรากฏตัวท่ามกลางฝูงชนอย่างต่อเนื่อง ซ้ำยังโอบร่างของเธอไว้…
นี่เป็นการแสดงความรักอย่างโจ่งแจ้งเอิกเกริกหรือ?
ดูท่าเขาคิดจะให้เหล่าปวงชนได้รู้จักนาง คิดจะมอบชื่อเสียงศักดิ์ฐานะให้นาง
เพียงแต่ในเมื่อเขาต้องการคืนชีพให้หลานจิ้งเคอ ทำไมถึงไม่รอให้นางฟื้นคืนชีพขึ้นมาแล้วค่อยเปิดเผยเล่า? ยามนี้ในสายตาของประชาชน เขากำลังเปิดเผยออกหน้าออกตาอยู่กับกู้ซีจิ่ว…
มาสวมชื่อเสียงศักดิ์ฐานะของตัวเธอกู้ซีจิ่วทำไมกันล่ะ?
หรือว่าหลังจากหลานจิ้งเคอได้รับร่างนั้นไปแล้ว ก็สมัครใจอยากเป็นกู้ซีจิ่ว?
หลานจิ้งเคอเป็นคนที่หยิ่งทะนง ไหนเลยจะยินยอมใช้ชีวิตด้วยการสวมชื่อเสียงใช้ชีวิตในฐานะของผู้อื่นได้?
ก็เหมือนกับเธอ เมื่อก่อนไม่ยินยอมสวมชื่อเสียงใช้ชีวิตในฐานะของหลานจิ้งเคอ แม้ว่านางจะเป็นประมุขเผ่าเงือก แม้ว่าจะได้ขุมกำลังของเผ่าเงือกมาไว้ในกำมือก็ตาม…
สรุปแล้วตี้ฝูอีวางแผนอะไรอยู่กันแน่?
กู้ซีจิ่วใคร่ครวญไม่แตกฉานไปชั่วขณะ มองบทสนทนาอีกไม่กี่ประโยค ไม่มีอะไรมากไปกว่าเหล่าประชาชื่นชมสรรเสริญเทพศักดิ์สิทธิ์เท่านั้นหลังจากกู้ซีจิ่วอ่านบทสรรเสริญเยินยอเหล่านั้นไปสองสามประโยคก็รู้สึกเหนื่อยล้าอยู่บ้าง ขณะที่กำลังจะพักผ่อน
จู่ๆ กลับอ่านประโยคหนึ่งจากปากของคนผู้หนึ่งได้เช่นนี้ “ได้ยินว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์คิดจะส่งมอบตำแหน่งให้แก่ท่านทูตสวรรค์พิทักษ์แผ่นดินแม่นางกู้ซีจิ่ว…”
กู้ซีจิ่วแข็งทื่อในทันใด ปฏิกิริยาแรกคือเป็นไปไม่ได้!
ตี้ฝูอีมิใช่จักรพรรดิแดนมนุษย์ที่มีเกิดแก่เจ็บตาย ต้องการรัชทายาทเพื่อมาสืบทอดตำแหน่งในภายภาคหน้า เขาเป็นอมตะไม่แก่ไม่ตาย ส่งมอบตำแหน่งอะไรกัน!
มีคนเอ่ยถามเช่นเดียวกันออกมาจริงๆ
คนผู้นั้นกล่าวว่า “เจ้าจะไปรู้อะไรล่ะ? ความคิดของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ใช่สิ่งที่มนุษย์เดินดินอย่างพวกเราสามารถคาดเดาได้หรือ? บางทีท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อาจจะเหนื่อยหน่ายแล้ว ต้องการบรรลุสู่เบื้องบน ดังนั้นจึงมอบหมายทุกสิ่งในแดนมนุษย์ให้แม่นางกู้มาดูแลจัดการ และบางทีท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อาจะต้องการจะปลดเกษียณไปอย่างสมบูรณ์ เห็นว่าแม่นางกู้เป็นเมล็ดพันธ์ดีที่หาได้ยากได้คนหนึ่ง ดังนั้นจึงส่งมอบตำแหน่งแก่นาง…”
————————————————————————————-