ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1848+1849
บทที่ 1848 สหายเก่ากลายเป็นบ่าว 3
กลุ่มพื้นเมืองก็คือเทพเซียนที่ถือกำเนิดและเติบโตที่นี่ กลุ่มผู้โบยบินคือคนเหล่านั้นที่ทะลวงขั้นโบยบินขึ้นมาจากโลกเบื้องล่างแต่ละแห่ง
ฐานะของกลุ่มชนพื้นเมืองย่อมสูงส่งกว่ากลุ่มผู้โบยบินเป็นธรรมดา มีสิทธิพิเศษต่างๆ ในภพเซียน ขุนนางตั้งแต่ขั้นสี่ขึ้นไปล้วนเป็นชนพื้นเมือง ที่นี่กลุ่มผู้โบยบินจะมีระดับต่ำกว่าขั้นหนึ่ง
ต่อให้กลุ่มผู้โบยบินบำเพ็ญจนบรรลุเป็นซ่างเซียนแล้ว ก็ยังเป็นได้เพียงขุนนางที่ระดับตำกว่าขั้นสี่เท่านั้น
ดังนั้นข้ารับใช้ คนสวน พลทหาร และอื่นๆ ของที่นี่ ทุกฐานะที่ต่ำต้อยล้วนเป็นคนของกลุ่มผู้โบยบินทั้งสิ้น
องค์หญิงหย่าที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้เป็นพระธิดาบุญธรรมของจักรพรรดิเซียน ได้รับความโปรดปรานเอ็นดูจากจักรพรรดิเซียนยิ่งนัก แทบไม่ต่างจากพระธิดาในสายโลหิตเลย
เหตุผลที่นางมาที่นี่ เป็นเพราะช่วงนี้ในจวนของนางขาดข้ารับใช้ ดังนั้นหลายวันมานี้จึงมาคัดเลือกคนที่นี่เป็นประจำ…
หลงซือเย่ก็ถูกนางเลือกไปเมื่อหลายวันก่อน เนื่องจากหลงซือเย่รูปโฉมหล่อเหลา ฝีมือเลิศล้ำ แต่หลังจากขึ้นมาที่นี่ตัวคนก็มักจะทึ่มทื่ออยู่เสมอ ดูคล้ายจะโง่งมอยู่บ้าง ดังนั้นจึงไม่ต้องตาขุนนางที่มาคัดเลือกทหารเหล่านั้น หลังจากที่เขาถูกลบความทรงจำ ตัวคนก็นิ่งทื่อดุจท่อนไม้ คนเช่นเขาจึงทำได้เพียงงานหยาบกระด้างใช้แรงเท่านั้น
องค์หญิงหย่าผู้นี้รู้สึกว่าผู้ที่รูปโฉมหล่อเหลาเช่นนี้ถ้าให้ไปเป็นข้ารับใช้คอยล้างพื้นก็น่าเสียดาย ด้วยเหตุนี้จึงเลือกเขากลับไป ให้เขาเป็นคนเลี้ยงม้าและเบาะรองเท้ายามลงรถของนาง (เบาะรองเท้ายามลงรถก็คือในยามที่เจ้านายลงจากรถม้าหรือลงจากหลังม้า ผู้ที่เป็นเบาะจะต้องไปคุกเข่าก้มตัวอยู่ด้านล่างรถม้า ให้เจ้านายของตนเหยียบหลังยามลงจากรถม้า)
เนื่องจากหลงซือเย่ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน ดังนั้นจิ้งเอ๋อร์สาวใช้ขององค์หญิงหย่าจึงมักจะดุด่าเขาอยู่เสมอ ให้เขาเข้าใจกฎระเบียบ…
จากถ้อยคำของหมิงหล่างและจิ้งเอ๋อร์ที่คอยสอดปากเข้ามาอยู่ตลอด กู้ซีจิ่วจึงเข้าใจตื้นลึกหนาบางแล้ว เธอไม่ได้ออกความคิดเห็น เพียงมองไปที่หลงซือเย่
หลงซือเย่ก็มองเธออยู่เช่นกัน แต่สายตาเปี่ยมไปด้วยแววตาของคนที่เพิ่งพบหน้ากันครั้งแรก สายตาที่มองเธอมีความกังวลและสนใจใคร่รู้เล็กน้อย…
กู้ซีจิ่วสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง ไม่สนใจองค์หญิงหย่าที่รอให้เธอเอ่ยขอโทษอยู่ เอ่ยถามหลงซือเย่ “ครูฝึกหลง คุณยังจำฉันได้ไหม?”
หลงซือเย่ผงะไปเล็กน้อย ส่ายศีรษะ
เห็นทีว่าความทรงจำของเขาจะถูกลบไปจนสิ้นแล้ว!
“เช่นนั้นเจ้ายินดีจะเป็นคนเลี้ยงม้าอยู่ข้างกายนางเช่นนี้หรือไม่?” นัยน์ตาดำขลับของกู้ซีจิ่วจ้องเขาเขม็ง
ทุกคนล้วนกลั้นหายใจ ผู้ใดก็นึกไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วสิ่งแรกที่กู้ซีจิ่วเอ่ยถามหลังจากทราบความจริงจะเป็นเรื่องนี้…
จิ้งเอ๋อร์สาวใช้ผู้นั้นเอ่ยอย่างเยียบเย็น “เหตุผลที่ตอนแรกองค์หญิงของพวกเราเลือกเขา ก็เพียงเพราะเขาดูซื่อสัตย์รู้ความอยู่บ้าง รูปโฉมก็น่ามอง ดังนั้นจึงไม่รังเกียจที่เขาโง่เขลางุ่มง่ามเลือกตัวเขามา นี่ถือเป็นโชคของเขาแล้ว! เป็นเกียรติของเขา! เขารู้ไหมว่าคนเหล่านั้นที่มาพร้อมกับเขาทำอะไรกันบ้าง? บ้างก็เป็นคนสวน บ้างก็ไปทำความสะอาด สถานที่ที่ไปล้วนเป็นสถานที่ที่พลังวิญญาณไม่เอื้อต่อการฝึกฝนบำเพ็ญ…”
“จิ้งเอ๋อร์ หุบปาก!” องค์หญิงหย่าผู้นั้นเอ่ยขัดสาวใช้ของตนทันที
จิ้งเอ๋อร์นิ่งทื่อไปแวบหนึ่ง ในที่สุดก็ทราบว่าตนพลั้งปากไปแล้ว…
เสียงของนางไม่เบาเลย เหล่าผู้โบยบินชุดเขียวชุดฟ้าที่ยังไม่ได้เข้ารับการลบล้างความทรงจำเหล่านั้นหน้าเปลี่ยนสีแล้ว!
ยามอยู่ที่โลกด้านล่างคนเหล่านี้เป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่เรียกลมก่อฝนได้ทั้งสิ้น หลงนึกว่าหลังจากโบยบินขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนแล้วก็เป็นการเข้าสู่สรวงสวรรค์ เสพสุขสำราญ กลายเป็นเซียนที่ท่องไปทั่วสารทิศได้ มีอิสระเสรี
กลับนึกไม่ถึงเลยว่าพอขึ้นมาแล้วต้องกลายเป็นบ่าวของผู้อื่นหรือ?!
มิน่าเล่าถึงต้องลบความทรงจำของพวกเขาทิ้ง คงเกรงว่าถ้าพวกเขามีความทรงจำในอดีตอยู่จะไม่เชื่อฟังคำสั่งกระมัง?!
คนเหล่านี้มองหน้ากันเหลอหลาถอยหลังไปตามสัญชาตญาณ
เด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้นนวดคลึงหว่างคิ้ว เอ่ยว่า “ทุกท่านอย่าได้คิดมาก ทุกท่านล้วนเป็นอัจฉริยะผู้ทะลวงขั้นโบยบินขึ้นมา ดินแดนเบื้องบนไม่ปฏิบัติต่อพวกท่านอย่างเลวร้ายหรอก
—————————————————————
บทที่ 1849 สหายเก่ากลายเป็นบ่าว 4
จะจัดการมอบหมายภารหน้าที่ที่ดีแก่พวกท่าน อันที่จริงแล้วภพเซียนของพวกเราขาดแคลนทหารยิ่งนัก ทุกคนที่มีวรยุทธ์สูงส่งสามารถเข้าร่วมกองทัพสวรรค์ได้ ต่อพลังยุทธ์ยังไม่ถึงขั้น ก็ทำงานรับใช้จิปาถะไปชั่วคราวก่อน เพื่อฝึกฝนบ่มเพาะพวกท่าน ให้พวกท่านฝึกฝนได้ดีขึ้นและเร็วขึ้น เมื่อเงื่อนไขเข้าขั้นแล้ว ยังคงเข้าร่วมกองทัพได้เช่นเดิม…”
“เช่นนั้นเหตุใดต้องลบความทรงจำของพวกเราทิ้งด้วย?” มีคนเอ่ยถาม
“เพื่อให้พวกท่านบำเพ็ญได้อย่างไร้ซึ่งห่วงพะวง”
“อันที่จริงพวกเราฝึกฝนบ่มเพาะเคล็ดวิชาอย่างล้ำลึกแล้ว เมื่อลบความทรงจำทิ้ง เคล็ดวิชาที่ฝึกฝนมาเกรงว่าจะต้องเริ่มร่ำเรียนใหม่ พัฒนาได้ช้ายิ่งกว่าเดิม” มีบางคนโต้แย้ง
เห็นได้ชัดว่าเด็กหนุ่มชุดขาวผู้นั้นเป็นหัวหน้าของที่นี่ เขาถอนหายใจ กำลังจะอธิบายอะไรต่อ ทว่าองค์หญิงหย่ากลับเอ่ยออกมาอย่างเยียบเย็น “ไยต้องอธิบายให้มากความเล่า กฎระเบียบของภพเซียนเราก็เป็นเช่นนี้ ผู้ที่โบยบินขึ้นมาต้องลบความทรงจำก่อนถึงจะรั้งอยู่ได้ ถ้าผู้ใดไม่ยินดี เช่นนั้นมาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเถิด!”
ฝูงชนตะลึงงัน คำขู่นี้ได้ผลจริงๆ ยากนักกว่าทุกคนจะมาถึงที่นี่ได้ แล้วจะเต็มใจกลับไปได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้นคือพวกเขาโบยบินขึ้นมาแล้ว หาหนทางกลับไปไม่ได้แล้ว!
ในลานเงียบสงัดไปชั่วขณะ เมื่อองค์หญิงหย่าเห็นว่าสยบคนเหล่านี้ได้แล้ว ในใจก็รู้สึกภาคภูมิ น้ำเสียงเยียบเย็นยิ่งขึ้น “ไปที่ใดย่อมต้องใช้กฎของที่นั่น ในเมื่อทุกท่านมายังภพเซียนแล้ว ย่อมต้องเคารพกฎระเบียบของภพเซียน วางใจเถอะ ภพเซียนไม่เคยผิดต่อผู้ใดมาก่อน เมื่อพวกท่านมีฝีมือกล้าแข็งแล้ว ก็สามารถกลายเป็นกำลังสำคัญของภพเซียนเราได้ ต่อให้ยามนี้ทุกท่านทำงานรับใช้ ชีวิตก็ยังผ่อนคลายยิ่งนัก ทุกหนทุกแห่งในภพเซียนมีพลังวิญญาณหนาแน่น เหมาะให้ทุกท่านได้ฝึกฝนบำเพ็ญ…”
จิ้งเอ๋อร์ผู้นั้นก็เอ่ยขึ้นเช่นกัน “หากว่าผู้ใดไม่ยินดีจะลบความทรงจำ เช่นนั้นก็มีแต่ต้องไปจากภพเซียนเสีย เช่นนั้นทุกท่านก็ทำได้เพียงมุ่งหน้าสู่ภพมารหรือไม่ก็ภพปีศาจ นั่นเป็นถิ่นทุรกันดาร พลังวิญญาณเบาบาง ด้วยระดับการฝึกฝนของพวกเจ้าถ้าไปที่ยังสถานที่เหล่านั้นจริงๆ เกรงว่าไม่ต้องรอให้ฝึกฝนได้ดีๆ ก็คงกลายเป็นอาหารของมารปีศาจไปเสีย…”
วาจาของสองนายบ่าวคู่นี้ ทำให้คนเหล่านี้หวั่นไหวแล้ว
ฝูงชนต่างเจ้ามองข้า ข้ามาเจ้า ถึงแม้จะไม่เต็มใจ แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าขัดขืน
เมื่อสยบคนเหล่านี้ได้แล้ว สายตาขององค์หญิงหย่าก็หันเหมาที่กู้ซีจิ่ว “เจ้ายังมีสิ่งใดจะกล่าวอีกหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วไม่สนใจนาง เธอรอคอยคำตอบจากหลงซือเย่ พลางใช้ยาสมานแผลที่ตนพกมาจัดการบาดแผลที่มือของเขาไปด้วย
มือไม้เธอคล่องแคล่ว ฤทธิ์ยาก็ยอดเยี่ยม หลังจากเธอทายาลงบนแผลของเขา โลหิตก็หยุดไหลทันที ผิวหนังสมานเข้าหากันด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า…
จิ้งเอ๋อร์ผู้นั้นขุ่นเคืองแล้ว พลันก้าวเข้ามา “บ่าวไพร่ขององค์หญิงเราไยต้องลำบากเจ้ามารักษาด้วย?!”
หมายจะลากหลงซือเย่กลับไป ทว่าถูกลำแสงสีรุ้งสายหนึ่งที่พุ่งออกมากะทันหันบีบต้อนให้ถอยหลังไปสองก้าว
นางเชิดหน้าด้วยความโกรธ “เจ้า…”
กู้ซีจิ่วไม่สนใจนางเช่นเดิม เพียงเอ่ยถามหลงซือเย่ “เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
สายตาของหลงซือเย่ที่เงียบงันมาโดยตลอดมองไปที่เธอ “พวกเราเคยรู้จักกันหรือ?”
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง “คุณจำฉันได้แล้วเหรอ?”
หลงซือเย่ส่ายหน้า “จำไม่ได้…เพียงแต่เจ้าเรียกขานข้าว่าครูฝึกหลง…คำเรียกขานนี้พิเศษยิ่ง เช่นนั้นพวกเราก็น่าจะเคยรู้จักกัน”
กู้ซีจิ่วผิดหวังอยู่บ้าง แต่ยังพยักหน้ารับ “รู้จักกันจริงๆ ตอนอยู่ที่โลกเบื้องล่างพวกเราเป็นสหายที่สนิทกันที่สุด ข้าไม่นึกเลยว่าหลังจากเจ้าขึ้นมาแล้วจะได้รับความลำบากเช่นนี้…”
หลงซือเย่ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ยิ้มเล็กน้อย “ข้าเชื่อเจ้า! ข้าไม่อยากเป็นคนเลี้ยงม้า ข้าจะไปกับเจ้า!”
องค์หญิงหย่าหน้าเปลี่ยนสีทันที จิ้งเอ๋อร์เอ่ยกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “หลงซือเย่ พลังวิญญาณที่จวนขององค์หญิงกล่าวได้ว่าเปี่ยมล้นเป็นพิเศษ หากเจ้าจากไปคิดจะกลับมาอีกก็ยากแล้ว! อย่าว่าแต่คนเลี้ยงม้าเลย ต่อให้เป็นบ่าวล้างพื้นก็ไม่สามารถแล้ว!”
————————————-