ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1852+1853
บทที่ 1852 บุพเพสันนิวาสสุขียั่งยืน 2
เมื่อองค์หญิงหย่าจัดการสาวใช้แล้ว ก็คล้องแขนของอวิ๋นเยียนหลีอย่างออดอ้อน “เสด็จพี่ หย่าเอ๋อร์จัดการเช่นนี้เสด็จพี่พอใจหรือไม่?”
อวิ๋นเยียนหลีใช้นิ้วเคาะหน้าผากของนางทีหนึ่ง “เจ้าเป็นองค์หญิงก็ควรจะมีท่าทางขององค์หญิงบ้าง อย่าได้จัดการบ่าวไพร่ตามอำเภอใจอีก ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นผู้ที่ทะลวงขั้นโบยบินขึ้นมา ทุกคนล้วนเป็นไปได้ว่าจะกลายเป็นกำลังสำคัญที่ค้ำจุนแดนพ้นโศกของเรา เจ้าจะเอาแต่ใจเช่นนี้อีกไม่ได้”
“ก็ได้ๆ ข้าเข้าใจแล้ว วันหน้าข้าจะระวังให้มากขึ้น แต่ว่า เสด็จพี่ คนผู้นี้แย่งชิงบ่าวของข้า ซ้ำยังลงมือสั่งสอนคนของข้าอีก…เสด็จพี่ต้องระบายแค้นให้ข้านะ!”
องค์หญิงหย่าชี้นิ้วเรียวงามมาที่กู้ซีจิ่ว
ในที่สุดสายตาของอวิ๋นเยียนหลีก็ร่อนลงบนร่างกู้ซีจิ่วแล้ว กู้ซีจิ่วยืนสง่าอยู่ตรงนั้น บุลคลิกเย็นชา ไม่ขยับเขยื้อนไม่เอ่ยวาจา
อวิ๋นเยียนหลีถอนหายใจเบาๆ “หย่าเอ๋อร์ เมื่อครู่พี่ได้เห็นหมดแล้ว เจ้าทำไม่ถูกจริงๆ เจ้าปฏิบัติต่อคุณชายหลงเกินไปแล้วจริงๆ! และแม่นางกู้ผู้นี้เคยเป็นสหายกับเขา ได้เห็นฉากนี้ย่อมรู้สึกไม่ยุติธรรมเป็นธรรมดา จะต่อสู้เพื่อความยุติธรรมก็ไม่เกินกว่าเหตุ”
ถึงแม้ในใจขององค์หญิงหย่าจะไม่ยินยอม แต่ก็ไม่กล้าโต้แย้งอีก ได้แต่เบะปากเล็กน้อย สีหน้าบึ้งตึง
อวิ๋นเยียนหลีไม่สนใจนางอีก สายตาหันเหไปที่ร่างกู้ซีจิ่วอีกครา “แม่นางกู้ เรื่องนี้เป็นหย่าเอ๋อร์ที่ทำไม่ถูก เราผู้เป็นอ๋องขออภัยท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย” พลางประสานมือให้คราหนึ่ง
ไม่อาจยื่นมือไปตบหน้าผู้ที่ยิ้มแย้มได้ นับประสาไรกับกู้ซีจิ่วที่ค่อนข้างสนใจในตัวขององค์ชายผู้นี้ ดังนั้นเธอจึงพยักหน้านิดๆ เอ่ยอย่างเฉยชา “องค์ชายไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เมื่อครู่หม่อมฉันก็ไม่ได้คับข้องหมองใจอันใด”
อวิ๋นเยียนหลีเอ่ยวาจาสุภาพอ่อนน้อมกับเธออีกสามสี่ประโยค กล่าวชมเชยเรื่องที่เธอไม่ใช่ผู้โบยบินก็สามารถมาถึงที่นี่ด้วยความสามารถของตัวเองได้ แล้ววกหัวข้อสนทนากลับมาอีกครั้ง กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นหย่าเอ๋อร์ที่ทำไม่ถูกจริงๆ เราผู้เป็นอ๋องได้สั่งสอนนางไปแล้ว เพียงแต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่แม่นางกู้อาจจะยังไม่ทราบ ในเมื่อคุณชายหลงโบยบินขึ้นมาสู่ทวีปนี้แล้ว ก็ไม่อาจหวนคืนสู่ทวีปเดิมได้อีก มิใช่ว่าพวกเราไม่ยอมปล่อยคนไป แต่หลังจากเขาทะลวงขั้นโบยบินขึ้นมา คุณสมบัติร่างกายจะเข้าได้กับดินน้ำของที่นี่เท่านั้น หากเขาไปจากทวีปนี้ จะต้องเกิดเหตุขึ้นเป็นแน่…”
พูดแบบนี้หมายถึงอะไร?!
เดิมทีกู้ซีจิ่วคิดจะพาหลงซือเย่กลับไปด้วยจริงๆ ที่เบื้องล่างนั้นถึงอย่างไรเขาก็เป็นถึงเจ้าสำนักถามสวรรค์ ได้รับการเคารพนับถือจากผู้คนมากมาย ดีกว่าเป็นข้ารับใช้อยู่ที่นี่มากนัก!
แต่หากว่าพากลับไปไม่ได้…
เธอสอบถามความจริงของเรื่องนี้กับหยกนภา หยกนภาได้รับคำชี้แนะจากเสียงลึกลับนั้นล่วงหน้าแล้ว จึงยืนยันเรื่องนี้กับกู้ซีจิ่ว
กู้ซีจิ่วย่นคิ้วนิดๆ หากว่าหลงซือเย่ไม่อาจกลับไปได้ ซ้ำยังล่วงเกินองค์หญิงผู้นี้ไปแล้วด้วย ชีวิตในภายหน้าเกรงว่าจะยุ่งยากเสียแล้ว…
เธอมองไปทางอวิ๋นเยียนหลี “เช่นนั้นองค์ชายคิดเห็นประการใด?”
อวิ๋นเยียนหลีเอ่ยตอบ “ถ้าคุณชายหลงไม่รังเกียจ เราผู้เป็นอ๋องยินดีรับเขาไว้ในสังกัด เป็นนายกองคนหนึ่ง” ในกองทัพตำแหน่งนายกองเทียบเท่ากับขุนนางขั้นแปดขั้นเก้า องครักษ์ขององค์ชายก็เรียกขานว่านายกองได้เช่นกัน
หลงซือเย่เลื่อนจากข้ารับใช้คนหนึ่งขึ้นเป็นนายกอง นับว่าเป็นความก้าวหน้าอันใหญ่หลวง และมองเห็นถึงความจริงใจของอวิ๋นเยียนหลี
‘เจ้านาย! ตกลงสิ! ตกลงเลย! อวิ๋นเยียนหลีผู้นี้ปฏิบัติต่อทหารในสังกัดของเขาเป็นอย่างดี ทหารของเขาก็สนิทสนมกับเขามาก หลงซือเย่ไปอยู่กับเขาจะไม่ได้รับความคับข้องใจแน่นอน…’ หยกนภารีบเจื้อยแจ้วขึ้นในสมองกู้ซีจิ่ว
กู้ซีจิ่วไม่ต้องการให้หลงซือเย่ไปเป็นเบี้ยล่างของใครเลยจริงๆ เพียงแต่เธอไม่อาจปกป้องเขาอยู่ที่นี่ไปชั่วชีวิตได้
ถึงอย่างไรเธอก็รั้งอยู่บนดินแดนแห่งนี้ได้ไม่นาน หากว่าแม้แต่เจตนาดีของอวิ๋นเยียนหลีก็ยังปฏิเสธ เกรงว่าวันหน้าหลงซือเย่คงจะไร้ที่ไปแล้วจริงๆ!
———————————————————————–
บทที่ 1853 บุพเพสันนิวาสสุขียั่งยืน 3
เธอหลุบตาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง มองไปที่หลงซือเย่ “ครูฝึกหลง เจ้ายินดีจะไปอยู่กับองค์ชายผู้นี้หรือไม่?”
หลงซือเย่คิดเล็กน้อย เอ่ยตอบว่า “ข้าฟังคำเจ้า”
กล่าวอีกนัยก็คือ เขาก็นับว่าตกลงเช่นกัน
อวิ๋นเยียนหลียิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง “แม่นางกู้ช่างตรงไปตรงมาจริงๆ” เขากวาดตามองคนที่อยู่รอบข้างเหล่านั้นแวบหนึ่ง น้ำเสียงอ่อนโยนและทรงพลัง “ทุกท่าน ยามที่อยู่โลกเบื้องล่างพวกท่านล้วนเป็นผู้เลิศล้ำ เป็นอัจฉริยะในหมู่หัวกะทิ แดนพ้นโศกของข้าไม่มีทางปฏิบัติต่อพวกท่านอย่างเลวร้ายแน่นอน แดนพ้นโศกส่งเสริมอัจฉริยะผู้มีความสามารถเสมอมา ขอเพียงทุกท่านมานะฝึกฝน ก็ไม่ต้องกังวลว่าวันหน้าจะไม่มีโอกาสได้ทำการใหญ่…”
วาจานี้ของเขาปลุกเร้าขวัญกำลังใจของผู้คนได้มากโข กลบฝังอิทธิพลเชิงลบก่อนหน้านี้ขององค์หญิงลงไปอย่างเงียบงัน
ทุกคนเดิมทีก็กลับไปไม่ได้อีกอยู่แล้ว และไม่อาจไปที่ภพมารภพปีศาจได้จริงๆ ดังนั้นพวกเขาจึงครุ่นคิดกันเล็กน้อย ทำได้เพียงรั้งอยู่ที่นี่ต่อไป ยอมรับการจัดการ
อวิ๋นเยียนหลีเดินผ่านหน้าทุกคนหนึ่งรอบอย่างไม่เร่งร้อน คล้ายว่ากำลังตรวจดูว่าคุณสมบัติของกลุ่มคนในวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง เมื่อดูเสร็จเขาก็พรูลมหายใจออกมา เอ่ยขึ้นว่า “ผู้โบยบินในวันนี้ล้วนมีศักยภาพที่ยอดเยี่ยมทั้งสิ้น! หากทุกท่านไม่รังเกียจ รอจนลบความทรงจำเสร็จสิ้นแล้ว ล้วนสามารถเข้าร่วมกองทหารของเราผู้เป็นอ๋องได้ เมื่อถึงเวลานั้นทำอันใดได้ก็รับหน้าที่นั้น ขอเพียงทุกท่านมานะฝึกฝน ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนแล้ว”
ในกองทัพเป็นแหล่งบ่มเพาะคนได้ดีที่สุด และเป็นแหล่งที่ง่ายต่อการไต่เต้าก้าวหน้าที่สุด การเข้าร่วมกองทัพล้วนเป็นความคิดที่ไม่เลวยิ่ง ผู้โบยบินเหล่านี้ล้วนมิใช่ตะเกียงขาดน้ำมันเลยสักคน ล้วนรู้สึกว่าตนโดดเด่นกว่าผู้อื่น ย่อมมีความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ตอบตกลงทันที!
สถานการณ์วิกฤตจึงถูกองค์ชายผู้นี้คลี่คลายให้ไร้ผล เห็นทีว่าองค์ชายผู้นี้จะยังคงสันทัดเกมการเมืองอย่างยิ่ง
กู้ซีจิ่วเพิ่งมาถึงที่นี่เป็นครั้งแรก และไม่ได้คิดจะรั้งอยู่ที่นี่นานนัก และยิ่งไม่คิดจะประกอบการอันใดที่นี่ด้วย ดังนั้นหลังจากเธอคลี่คลายเรื่องราวของหลงซือเย่ได้แล้ว จึงหมุนกายหมายจะจากไป
อวิ๋นเยียนหลีที่อยู่ด้านหลังร้องเรียกเธอ “แม่นางกู้ โปรดอยู่ก่อน”
กู้ซีจิ่วหันกลับมา “มีเรื่องใด?”
อวิ๋นเยียนหลีถอนหายใจเบาๆ พลางเอ่ย “การขึ้นมายังดินแดนเบื้องบนด้วยวิธีการเช่นแม่นางนี้ กล่าวได้ว่าเป็นกรณีแรกในรอบหมื่นปี เราผู้เป็นอ๋องเลื่อมใสแม่นางยิ่งนัก แต่ถึงอย่างไรแม่นางก็เพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก ไม่ทราบกฎระเบียบของที่นี่ก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ ที่แดนพ้นโศกเพื่อป้องกันไส้ศึกจากภพมารและภพปีศาจ ทุกคนล้วนต้องเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตน ไม่อาจบดบังซ่อนเร้นได้ ถึงอย่างไรหมิงหล่างก็เพิ่งเคยพบกรณีเช่นแม่นางเป็นครั้งแรก ดังนั้นจึงไม่ได้บอกกฎเกณฑ์ข้อนี้แก่ท่าน ไม่ทราบว่าแม่นางสามารถถอดหน้าออกได้หรือไม่? เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตน”
เขาพูดจาสุภาพยิ่งนัก กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง
อันที่จริงคนอื่นก็สนใจใคร่รู้ใบหน้าของกู้ซีจิ่วเช่นกัน ดังนั้นมุงกันเป็นวง
คิ้วขององค์หญิงหย่ากระตุกคราหนึ่ง อันที่จริงนางมีข้อคิดเห็นในการที่อวิ๋นเยียนหลีพูดกับกู้ซีจิ่วอย่างสุภาพอยู่นานแล้ว เพียงแต่ไม่กล้าพูดมาโดยตลอด ยามนี้พอเห็นพี่ชายยื่นคำขอเช่นนี้ ส่วนกู้ซีจิ่วก็เห็นได้ชัดว่ามีความลังเล นางจึงเม้มริมฝีปากแดงนิดๆ ลอบวินิจฉัย เห็นทีว่าแม่นางกู้ผู้นี้จะรูปโฉมอัปลักษณ์ยากจะให้ผู้อื่นมองได้จริงๆ…
นางเจตนาจะทำให้กู้ซีจิ่วกลายเป็นที่น่าขบขัน ดังนั้นนางจึงยิ้มแวบหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “พี่ชาย บางทีที่แม่นางกู้ผู้นี้สวมหน้ากากไว้อาจเป็นเพราะมีความลำบากใจอันใดที่ยากจะเอื้อนเอ่ย…ถึงอย่างไรชายหญิงของแดนพ้นโศกเราก็หล่อเหลางดงามกันทั้งสิ้น หากถอดหน้ากากออกเกรงว่านางจะน้อยเนื้อต่ำใจในตนเองจากไม่อยากเดินเหินอยู่ที่โลกนี้…”
ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์มีอยู่หลายคนที่มีความคิดแบบเดียวกับองค์หญิงหย่า พากันพยักหน้าเห็นด้วย
อวิ๋นเยียนหลีขมวดคิ้วนิดๆ เอ่ยขึ้น “หย่าเอ๋อร์ ไม่อนุญาตให้พูดเหลวไหล! ความจริงแล้วอัปลักษณ์งดงามก็เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น…
————————————–