ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1866+1867
บทที่ 1866 ตำนานลิขิตสวรรค์ 2
อวิ๋นเยียนหลีส่ายหัว “ไม่ใช่ ลิขิตสวรรค์จำแลงกายได้สารพัด ไหนเลยจะใช่คนเพียงสี่คน…”
กู้ซีจิ่วแสดงออกว่าไม่เข้าใจ อวิ๋นเยียนหลีจึงอธิบายทุกสิ่งที่ตนรู้ให้แก่เธอเสียเลย “ดินแดนเบื้องบนมีตำนานเล่าขานกันมา ลิขิตสวรรค์ก่อสร้างสรรพสิ่งโลกหล้า แรกเริ่มทุกสิ่งไม่แบ่งแยกดีชั่ว ต่างเข่นฆ่าสังหารกัน สิ่งมีชีวิตล้มตายเป็นเบือ ความชั่วร้ายทวีขึ้นเรื่อยๆ โลกนี้เปี่ยมไปด้วยไอพิฆาตที่ดุร้าย ยุ่งเหยิงวุ่นวายกันไปทั่ว ลิขิตสวรรค์เปี่ยมเมตตา จึงตั้งกฎระเบียบขึ้น สร้างกฎเกณฑ์ขึ้นมา ให้สรรพสิ่งยึดถือปฏิบัติ ค่อยๆ ก่อสร้างหกภพภูมิขึ้นเช่นนี้…และลิขิตสวรรค์ก็จำแลงกายหลากหลายสารพัด ท่องไปในหกภพภูมิอยู่เสมอ สัมผัสทุกสิ่งด้วยตัวเอง เพื่อรังสรรค์กฎเกณฑ์แห่งลิขิตสวรรค์ที่สมบูรณ์แบบ…”
กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว ความจริงแล้วลิขิตสวรรค์นี้ก็เป็นเทพผู้สร้างโลกในตำนานสินะ?
ในตำนานเทพผู้สร้างโลกที่กู้ซีจิ่วรู้มา ผานกู่คือผู้สร้างโลก ผานกู่เบิกสวรรค์แยกปฐพี หลังจากสิ้นชีพก็กลายเป็นสรรพสิ่ง ขุนเขาสายธาร พืชพรรณบุปผา สัตว์บกสัตว์ปีก…ขาดเพียงอย่างเดียวคือมนุษย์ หนี่ว์วาเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้น สร้างสังคมมนุษย์และระเบียบกฎเกณฑ์ขึ้น…และมีบางคนที่ยกย่องหนี่ว์วาเป็นมารดาแห่งพิภพและเทพผู้สร้างโลกด้วย
หรือว่าลิขิตสวรรค์นี้จะเป็นหนี่ว์หวาด้วย?!
ไม่ถูกสิ ผู้ที่เบิกสวรรค์แยกปฐพีคือผานกู่ ผู้ที่กลายเป็นสรรพสิ่งก็คือผานกู่ ผ่านกู่คือบรรพชนผู้บุกเบิกภพสวรรค์ ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์…
หนี่ว์วาเป็นผู้สร้างสังคมมนุษย์ขึ้น ส่วนลิขิตสวรรค์ในตำนานนี้กลับดูแลจัดการกระทั่งสวรรค์ด้วย เช่นนั้นลิขิตสวรรค์คือผานกู่หรือ?
หรือบางทีลิขิตสวรรค์ก็คือลิขิตสวรรค์ ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผานกู่หนี่ว์วาเลย?
กู้ซีจิ่วค่อนข้างสับสนแล้ว
เธอจึงนำข้อสงสัยของตนมาเอ่ยถามอวิ๋นเยียนหลี
อวิ๋นเยียนหลียิ้มน้อยๆ ส่ายหน้าแล้วตอบว่า นั่นเป็นเพียงตำนานในโลกเบื้องล่างของเจ้าเท่านั้น และโลกเบื้องล่างก็มีอยู่นับพันนับหมื่น อันสิ่งที่เรียกว่าร้อยล้านมนุษย์พันล้านโลกาก็เป็นเช่นนี้แล ลิขิตสวรรค์ก่อตั้งหกภพภูมิขึ้นตามลำดับ ภพเทพ ภพมาร ภพเซียน ภพปีศาจ นรกภูมิ มนุษยภูมิ ในโลกเบื้องล่างมีเพียงเผ่าพันธุ์มนุษย์และเผ่าปีศาจจำนวนน้อยนิดยิ่ง ส่วนดินแดนเบื้องบนรวมเผ่าเทพ เผ่ามาร เผ่าเซียน เผ่าปีศาจไว้ด้วยกัน ในบรรดานี้ร่ำลือกันว่าเผ่าเทพแข็งแกร่งเรืองอำนาจที่สุด พวกเขาดูแลจัดการกฎเกณฑ์แห่งลิขิตสวรรค์ ควบคุมความเป็นความตายของหกภพภูมิ เทพมีชีวิตเป็นนิจนิรันดร์ ไร้ซึ่งอารมณ์ของมนุษย์ ระหว่างทวยเทพด้วยกันก็เย็นชาไร้น้ำใจ ต่อมาทวยเทพเหล่านั้นสละตนดับขันธ์เพื่อปกป้องหกภพภูมิ ไม่ปรากฏร่องรอยขึ้นอีกเลย…ส่วนภพเซียนก็คือแดนพ้นโศกแห่งนี้ของพวกเรา”
อวิ๋นเยียนหลีพูดจาฉะฉาน อธิบายถึงที่มาของหกภพภูมิรวมถึงกฎเกณฑ์ลิขิตสวรรค์
อันที่จริงแล้วหกภพภูมินี้ต่างมีผู้พิทักษ์ของแต่ละภพ ยกตัวอย่างเช่นผู้พิทักษ์ของภพเซียนคือจักรพรรดิเซียน ผู้พิทักษ์ของภพมารคือจอมมาร ส่วนของภพปีศาจก็คือราชันปีศาจ…เช่นนี้เป็นต้น
และทั้งหกภพภูมิต่างร่วมใจกันสักการะบูชาผู้พิทักษ์ของหกภพภูมิ…มหาเทพ
และสร้างอารามให้แก่ ‘ลิขิตสวรรค์’ ผู้ก่อตั้งหกภพภูมิขึ้น
การสร้างอาราม ‘ลิขิตสวรรค์’ มีเพียงที่ดินแดนเบื้องบนเท่านั้น แต่ว่าสรรพสิ่งของทั้งหกภพภูมิล้วนต้องดำเนินไปตามลิขิตสวรรค์…
ถึงอย่างไรเขาก็เป็นองค์ชายของภพเซียน จึงรู้มากกว่าปกติ
เพียงแต่ตัวเขาเองก็บอกเช่นกันว่า เรื่องเหล่านี้เขาก็ได้ฟังมาอีกที นับว่าเป็นตำนานที่เล่าขานกันมา
กู้ซีจิ่วฟังอยู่นานสองนาน ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว ลิขิตสวรรค์นี้คือเทพผู้ก่อตั้งสถาปนาหกภพภูมิขึ้น เป็นผู้ตรากฎระเบียบของหกภพภูมิ ยามที่ว่างงานไม่มีอะไรทำ เขา (หรือนาง) จะจำแลงกายอวตารไปสารพัดอย่างท่องไปในหกภพภูมิ สรรพสิ่งในหกภพภูมิคงจะเคยพบเห็นร่างอวตารของเขาจริงๆ เพียงแต่ร่างที่เห็นล้วนไม่เหมือนกันเลย ดังนั้นจึงสร้างรูปสลักสี่แบบขึ้นมา…
กู้ซีจิ่วนึกถึงเสียงที่แว่วขึ้นมาในสมองของตนเป็นครั้งคราว ผู้ที่เรียกขานตนว่าเป็นผู้ถ่ายทอดลิขิตสวรรค์…
เธอก้มมองหยกนภาอีกครั้ง เจ้าสิ่งนี้ก็คล้ายว่าจะเป็นผู้ถ่ายทอดลิขิตสวรรค์เช่นกัน เพียงแต่ในบรรดาผู้ถ่ายทอดลิขิตสวรรค์มันนับว่าเป็นชั้นผู้น้อย แตกต่างกับเสียงที่แว่วขึ้นมาในสมองเธอ เสียงนั้นน่าจะยศสูงกว่าเล็กน้อย
น่าเสียดายที่เธอไม่อาจเป็นฝ่ายติดต่อหาเสียงนั้นได้ มิเช่นนั้นคงถามคำถามเพิ่มเติมได้มากขึ้น
——————————————————————-
บทที่ 1867 ตำนานลิขิตสวรรค์ 3
ฟังจากความหมายของอวิ๋นเยียนหลีคือ กฎเกณฑ์ลิขิตสวรรค์เปรียบเสมือนกฎหมายของหกภพภูมิ ผู้ใดก็มิอาจฝ่าฝืนได้ เมื่อมีคนฝ่าฝืนจะถูกจัดการโดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องได้รับคำพิพากษาจากผู้บัญญัติลิขิตสวรรค์
เพียงแต่ดูเหมือนเธอจะฝ่าฝืนไปหลายครั้งแล้ว ก็ไม่ได้รับโทษทัณฑ์สักเท่าไหร่นี่
แถมเธอยังเจรจาต่อรองได้อีกด้วย
ดูเหมือนลิขิตสวรรค์ก็ใช่ว่าจะไร้ปรานีอย่างสิ้นเชิง…
เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นเยียนหลีต้องการคบหาเป็นสหายกับเธอ พูดคุยกับเธอไปตลอดทาง ไม่ว่าเธอจะถามอะไร เขาล้วนบอกเล่าสิ่งที่รู้ออกมาอย่างไม่หวงแหน
อวิ๋นเยียนหลียังมอบตราคำสั่งสีทองชิ้นหนึ่งให้เธอด้วย บอกว่ายามที่ท่องอยู่ในแดนพ้นโศกหากถูกสอบถามไต่สวนอีก ขอเพียงแสดงตราคำสั่งนี้ก็จะถูกปล่อยตัวทันที
อวิ๋นเยียนหลีก็ควรค่าแต่การเป็นสหายจริงๆ เขาไม่ได้ครองบรรทัดทองเล่มนั้น แต่วันต่อมาก็ยังพากู้ซีจิ่วไปที่งานชุมนุมผลไม้เซียนนั้นตามที่ได้รับปากไว้
ที่งานชุมนุมผลไม้เซียนกู้ซีจิ่วได้พบหน้าซ่างเซียนกว่าสามสิบท่าน ซ่างเซียนเหล่านี้แต่ละคนล้วนเปี่ยมด้วยไอเซียน ท่ามกลางนั้นมีอยู่หลายคนที่รูปโฉมหล่อเหลา บุคลิกโดดเด่น แต่ไม่มีคนผู้นั้นที่เธอกำลังตามหาเลยจริงๆ…
เธอยังได้พบหน้าจักรพรรดิเซียนผู้นั้นด้วย จักรพรรดิเซียนสวมอาภรณ์สีม่วงหล่อเหลาน่าเกรงขาม และทรงอำนาจยิ่งนัก แต่ก็ไม่ใช่คนที่กู้ซีจิ่วตามหาอยู่ดี
การมางานชุมนุมผลไม้เซียนเที่ยวนี้ของเธอกล่าวได้ว่าไม่ได้อะไรเลยจริงๆ
….
วันเดือนเคลื่อนคล้อยไปไวปานดีดนิ้ว ไม่ทันได้รู้เนื้อรู้ตัวกู้ซีจิ่วก็อยู่ที่ดินแดนเบื้องบนแห่งนี้มาเกือบครึ่งปีแล้ว
ครึ่งปีมานี้เธอตระเวนไปทั่วแดนพ้นโศก และด้วยการแนะนำของอวิ๋นเยียนหลี จึงได้ไปเยี่ยมคารวะซ่างเซียนเกือบยี่สิบท่านแล้ว เป็นอย่างที่คิดไว้ ซ่างเซียนเหล่านั้นล้วนไม่ใช่คนผู้นั้น
ซ่างเซียนเหล่านี้ล้วนพำนักอยู่ในพื้นที่ห่างไกลยิ่งนัก ดังนั้นยามที่ไปเยี่ยมคารวะพวกเขาจึงสิ้นเปลืองเวลานัก
กู้ซีจิ่วไม่คิดจะสร้างชื่ออันใดบนดินแดนเบื้องบนแห่งนี้ ดังนั้นเธอจึงใช้ชีวิตอย่างเงียบเชียบยิ่งนักเสมอมา แทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนสักเท่าไหร่ ดังนั้นคนที่รู้จักเธอจึงมีไม่มาก และเธอก็ไม่ได้เข้าร่วมในการต่อสู้งแย่งชิงเหล่านั้น…
นับว่าลอยตัวอยู่เหนือเหตุการณ์
ระยะเวลาครึ่งปีมานี้เธอดำเนินการค้นหาอยู่ตลอด
เมื่อระยะเวลาครึ่งปีสิ้นสุดลง เธอก็ขี่วิหคห้าสีตัวนั้นกลับไปยังทวีปซิงเยวี่ยของตน
บางทีอาจเป็นเพราะอารมณ์ของเธอไม่ได้หดหู่เซื่องซึมถึงเพียงนั้นอีกต่อไปแล้วในที่สุดน้ำแข็งในทวีปซิงเยวี่ยจึงหลอมละลาย ค่อยๆ หวนกลับสู่ความมีชีวิตชีวาอีกครั้ง
ยามที่กู้ซีจิ่วกลับไปยังวังมรกตอีกครั้ง มีความรู้สึกเหมือนได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง
สี่ทูตยังคงพึ่งพาได้ยิ่งนัก ต่อให้เธอไม่อยู่ พวกเขาก็ดูแลจัดการแผ่นดินได้อย่างยอดเยี่ยม เว้นแต่พวกเขาจะประสบปัญหาร้ายแรงอันใดเข้าจริงๆ ถึงจะให้เธอออกหน้าสะสาง
กู้ซีจิ่วอยู่ในทวีปซิงเยวี่ยแล้วว่างมากจริงๆ เธอจึงอ่านม้วนตำราที่สี่ทูตคัดลอกไว้อีกครั้ง ฝึกฝนทักษะยุทธ์ของเทพศักดิ์สิทธิ์
อยู่มาวันหนึ่ง จู่ๆ คล้ายว่าเธอจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเรียกมู่เฟิ่งมา เอ่ยถามเขา “ม้วนตำราเหล่านี้พวกเจ้าคัดลอกมาจากไหน?”
มู่เฟิงงงงันไปครู่หนึ่ง “ม้วนตำราเหล่านี้เป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์สั่งให้พวกเราคัดลอกไงขอรับ ช่วงก่อนที่ท่านจะเข้าสู่แดนต้องห้าม”
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว
เนื้อหาการฝึกฝนบำเพ็ญในม้วนตำราเหล่านั้นล้วนล้ำลึกยิ่ง เธอเพิ่งเคยเห็นของพวกนี้เป็นครั้งแรกชัดๆ แล้วจะสั่งให้พวกเขาคัดลอกได้อย่างไร?
“ต้นฉบับที่พวกเจ้าคัดลอกอยู่ที่ไหน?”
มู่เฟิงหยิบตำราว่างเปล่าขาวโพลนกองหนึ่งออกมาจากร่าง “พวกนี้ไงขอรับ ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ตำราเหล่านี้เริ่มแรกมีอักษรอยู่ จวบจนพวกข้าน้อยคัดลอกเสร็จก็กลายเป็นว่างเปล่า แม้กระทั่งพวกเราก็จำไม่ได้เช่นกันขอรับว่าคัดลอกสิ่งใดไป…”
ประหลาด!
เมื่อก่อนกู้ซีจิ่วไม่มีกะจิตกะใจอยู่ตลอด คร้านจะใช้สมอง ดังนั้นจึงไม่พบพิรุธเหล่านี้เลย ยามนี้กลับมีความสงสัยผุดขึ้นมาในหัวใจแล้ว
เธอมองตำราที่ว่างเปล่ากองนั้น หยิบเล่มหนึ่งมาพลิกดู
เบื้องหน้าพลันพร่าเบลอ คล้ายว่าเห็นเงาคนผู้หนึ่งกำลังนั่งเขียนตำราอยู่ที่ข้างเตียง ข้างกายเขามีคนผู้หนึ่งนอนตะแคงกายอยู่ด้วย
———————————–