ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 1923+1924
บทที่ 1923 พวกเราลองไปตามหากันดีกว่าไหม?
“ศิษย์พี่ใหญ่ไปตรวจสอบคดีเด็กหายสองวันแล้ว ยังไม่เห็นเขากลับมาเลย ข้ารู้สึกเป็นห่วงเขา” เด็กชายหน้ากลมที่มีชีวิตชีวาเป็นกังวล
“วางใจเถิด ศิษย์พี่ใหญ่เฉลียวฉลาดเก่งกล้าขนาดนั้น ยังไม่เคยมีผู้ใดทำอะไรเขาได้ เมื่อเขาลงสนามมีแต่จะทำให้คนอื่นเสียเปรียบ ไม่มีทางเกิดอะไรเหนือความคาดหมายขึ้นกับเขาได้” เด็กหญิงคนนั้นมีความมั่นใจต่อศิษย์พี่ใหญ่ของนางมาก แววตาเปี่ยมความศรัทธา
“หรือว่า พวกเราเอาเรื่องนี้ไปรายงานท่านอาจารย์ดี? ศิษย์พี่ใหญ่ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้หรอก! แต่ถ้าเขาหายตัวไปเช่นกันล่ะ ยังไงเขาก็อายุยังน้อย…” เด็กชายที่เงียบขรึมดังกิ่งสนเสนอความคิดเห็น
“ไม่มีทาง! ศิษย์พี่ใหญ่ไม่มีทางหายตัวไป!” เสียงเด็กหญิงหวีดแหลมขึ้นมา “ผู้ใดหายตัวไปได้แต่เขาไม่มีทางหายตัวไป! เขาเป็นคนแข็งแกร่งที่สุด!”
เด็กชายที่เงียบขรึมดังกิ่งสนไม่พูดจาอันใดแล้ว
“รอก่อนอีกสักหน่อยเถิด อย่างไรพวกเราทั้งสี่คนก็ลักลอบหนีออกมา หากท่านอาจารย์รู้เข้าจะไม่ดี พวกเราจะถูกทำโทษได้ อีกอย่างศิษย์พี่ใหญ่บอกให้พวกเรารอเขาที่นี่สามวัน นี่เพิ่งสองวันเอง ไม่แน่เดี๋ยวเขาก็กลับมาแล้ว…” เด็กชายหน้ากลมไกล่เกลี่ย
เด็กหญิงคนนั้นขบเม้มริมฝีปากจิ้มลิ้ม “เขาไม่เคยทำให้ผู้ใดผิดหวัง จะต้องกลับมาอย่างแน่นอน!”
ทั้งสามคนสนทนาหารือกันตรงนี้ กู้ซีจิ่วอดส่ายหน้าไม่ได้
อารมณ์เด็กหญิงมักจะเป็นบทกวี เด็กหญิงไร้เดียงสาผู้นี้เพิ่งจะอายุสิบสี่สิบห้าปี แต่หัวใจเปี่ยมรักได้ก่อตัวขึ้นแล้ว
ศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ของพวกเขาดูน่าเชื่อถือยิ่งนัก และพวกเขาก็เคารพบูชาเป็นอย่างมาก
แต่ไม่รู้ว่าเป็นคนแบบไหน?
ฟังจากน้ำเสียงของพวกเขา เด็กคนนั้นอายุยังน้อย น่าจะประมาณเจ็ดถึงแปดปี อย่างไรเสียในบรรดาเด็กที่หายตัวไปเหล่านั้น คนที่อายุมากที่สุดเพิ่งจะสิบเจ็ดปีเท่านั้น
วรยุทธ์ของเด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดปีจะแข็งแกร่งแค่ไหนกัน?
“พวกเราลองไปตามหากันดีกว่าไหม?” เด็กชายเงียบขรึมคนนั้นเสนอแนะ
“ไม่ได้! ศิษย์พี่ใหญ่บอกแล้ว จอมมารที่ลักพาตัวเด็กมีวรยุทธ์ขั้นเสินจวินเป็นอย่างต่ำ ร้ายกาจเป็นอย่างยิ่ง พวกเราไปก็ช่วยอะไรไม่ได้”
“หรือว่าพวกเราต้องนั่งรอเฉยๆ อยู่อย่างนี้?”
“แน่นอน อันที่จริงพวกเราก็ละเมิดคำสั่งของศิษย์พี่ใหญ่แล้ว สามวันนี้ศิษย์พี่ใหญ่ให้พวกเราอยู่แต่ในโรงเตี๊ยมไม่ให้ออกไปไหน แต่พวกเราไม่เพียงแต่ออกมาข้างนอก ซ้ำยังออกมาสถานที่ที่พลุกพล่านคึกคักถึงเพียงนี้…”
“วันๆ อยู่แต่ในห้องน่าเบื่อจะตาย อีกอย่างพวกเราออกมากินข้าวก็เท่านั้น”
เด็กทั้งสามถกเถียงกันอย่างดุเดือดอยู่ตรงนั้น
ความจริงมีลูกค้าโต๊ะอื่นกำลังพูดคุยเรื่องนี้เช่นกัน เด็กสามคนนั้นก็รูปลักษณ์งดงาม บุคลิกดีเยี่ยม ฝึกฝนจนถึงขั้นหยวนจวินตั้งแต่อายุยังน้อย จึงเป็นที่ดึงดูดสายตาผู้คนยิ่งนัก ไม่รู้ว่ามีคนตั้งเท่าไหร่กำลังมองพวกเขา…
กู้ซีจิ่วนั่งรินสุราอย่างช้าๆ เพียงลำพัง ฟังพวกเขาหารือกัน และดูสีหน้าของคนแถวนั้นเกือบทุกคน สักพักใหญ่ เธอหยักยิ้มริมฝีปาก ยกสุราขึ้นดื่มจอกหนึ่ง
…
ค่ำคืนมืดสลัว ลูกศิษย์ทั้งสามของอวี่หังเจินเหรินเข้านอนในสองห้องของโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง
ถึงแม้พวกเขายังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ทว่าอย่างไรก็ก้าวเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นแล้ว เข้าใจความแตกต่างระหว่างชายหญิง ยามเข้านอนตอนกลางคืนจึงแบ่งแยกเป็นสองห้อง
เด็กชายสองคนห้องหนึ่ง เด็กหญิงห้องหนึ่ง
เคราะห์ดีที่ทั้งสองห้องอยู่ติดกัน ไม่ว่าห้องไหนมีการเคลื่อนไหวอะไรก็จะได้ยินถึงกันหมด ดูแลกันและกันได้
เนื่องจากช่วงนี้มีเหตุการณ์เด็กหายเกิดขึ้นบ่อย เด็กทั้งสามคนยังคงตื่นตัวยิ่งนัก ยามนอนหลับตอนกลางคืนก็จัดแจงบางอย่างไว้ทั่วทั้งห้อง…
เมื่อลูกค้าส่วนมากเข้านอนแล้ว ทั้งโรงเตี๊ยมเงียบงัน เงียบสงัดจนมิอาจเปรียบเปรย
ทันใดนั้น แสงไฟทางเดินหรี่ลง มีคนสองคนปรากฏกายขึ้น
————————————————————————-
บทที่ 1924 ลักพาตัว
สองคนนี้สวมชุดดำทั้งร่าง บนหัวสวมหมวกโม่งสีดำเอาไว้ เผยเพียงดวงตาสุกสกาวสองคู่เท่านั้น
สองคนนี้มาที่หน้าประตูห้องของเด็กสามคนนั้น เห็นได้ชัดว่าพวกเขามาสำรวจเส้นทางล่วงหน้าแล้ว และคุ้นเคยกับเส้นทางดี
พวกเขาเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวภายในห้อง ด้านในมีเสียงหายใจแผ่วๆ ของเด็ก เห็นได้ชัดว่าหลับสนิทแล้ว
สองคนนี้พยักเพยิดให้กันคราหนึ่ง หนึ่งในสองคนพลันตวัดฝ่ามือ คนจิ๋วสีโลหิตตนหนึ่งปรากฏขึ้นมา คนจิ๋วนั้นเป็นหุ่นกระดาษ ทั้งร่างเป็นสีแดงสด ดั่งย้อมด้วยโลหิต สูงเพียงชุ่นกว่าๆ โยกไหวอยู่ในฝ่ามือเขา
คนผู้นั้นกดร่างหุ่นกระดาษเล็กน้อย หุ่นกระดาษตนนั้นลอยออก ลอดผ่านรอยแยกประตูเข้าไป…
จากนั้นยื่นมือผลักประตูห้องเด็กหญิงเบาๆ แง้มประตูให้เป็นรอยแยกน้อยๆ สายหนึ่ง หลังบานประตูแขวนกระดิ่งเงินไว้ เดิมทีขอเพียงมีคนผลักประตู กระดิ่งเงินนี้ก็จะดังขึ้นมา แต่ตอนนี้กระดิ่งเงินไม่ส่งเสียงเลยสักนิด
สองนิ้วของคนผู้นั้นดั่งกรรไกร ตัดด้ายบางๆ ที่อยู่ด้านบนกระดิ่งนั้นให้ขาด กระดิ่งเงินหล่นลงบนฝ่ามือคนผู้นั้นอย่างไร้สุ้มเสียง
เมื่อเขากำมือเบาๆ คราหนึ่ง กระดิ่งเงินแหลกเป็นผุยผงทันที
จากนั้นเขาก็พุ่งขึ้นไปบนเตียง
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาออกประตูมาพร้อมกับกระสอบสีดำใบหนึ่งบนหลัง คู่หูของเขากำลังดูต้นทางให้ เมื่อเห็นเขาทำสำเร็จก็โล่งใจ “ราบรื่นปานนี้เชียว?”
“แน่นอน ข้าเคยจัดการแล้วไม่ราบรื่นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? นังหนูนี่รู้สึกตัวอยู่บ้าง ยังไม่ทันได้ร้องออกมาก็ถูกข้าจับได้แล้ว” คนผู้นั้นภาคภูมิใจ
“แล้วจะจับเด็กอีกสองคนไหม?”
“จับ! คุณสมบัติของเด็กสามคนนี้ยอดเยี่ยมทั้งสิ้น เหมาะให้นายท่านใช้งาน…”
“ได้ ครั้งนี้พวกเราลงมือพร้อมกันเถอะ! เด็กสองคนนั้นตื่นตัวกว่า อย่าให้พวกเขาตะโกนออกมาได้ ทำให้แขกคนอื่นในโรงเตี๊ยมตกใจ”
วรยุทธ์ของสองคนนี้ยอดเยี่ยมยิ่ง ซ้ำยังคุ้ยเคยกับการทำเช่นนี้ด้วย เด็กชายสองคนนั้นตื่นตัวกว่าเด็กหญิงจริงๆ แต่ร้องค่อยๆ ออกมาได้เพียงครึ่งเสียงเท่านั้น ก็ถูกจี้จุดสลบแล้วโยนเข้าไปในกระสอบสีดำทันที…
เด็กน้อยวรยุทธ์ขั้นหยวนจวินสามคนถูกลักพาตัวไปแล้ว ตั้งแต่จนจบไม่ได้รบกวนผู้ใดเลย…
ผ่านไปหนึ่งเค่อ เด็กน้อยสามคนนั้นก็ถูกโยนเข้าไปในรถม้าสีดำคันหนึ่ง จากนั้นอาชาเวหาสีดำจึงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
เห็นได้ชัดว่ารถม้าสีดำคันนี้สร้างขึ้นเป็นพิเศษ พอเหินทะยานขึ้นสู่ฟ้าก็กลืนไปกับรัตติกาลทันที มองไม่เห็นเงาแล้ว
….
ในเด็กสามคนนี้ เด็กหญิงคนนั้นนามว่าชิงหลัว เด็กชายหน้ากลมนามว่าเหิงชิง เด็กชายผู้เงียบขรึมนามว่าซือชิง
ในบรรดาเด็กสามคนนี้ วรยุทธ์ของซือชิงสูงส่งที่สุด เพียงแต่ขณะที่ถูกจับเขาก็ร้องออกมาได้เพียงครึ่งเสียงเท่านั้น…
ถึงแม้เขาจะถูกจี้จุดสลบแล้ว แต่ก็ไม่ได้สลบไปจริงๆ เขายังคงรักษาสติสัมปชัญญะเอาไว้ได้ เพียงแต่ขยับร่างกายไม่ได้เท่านั้น
และแบบนี้แหละที่ทำให้เขากลัว!
เขาถูกมัดไว้ในถุงกระสอบสีดำใบหนึ่ง เบื้องหน้ามืดมิดไปหมด ได้ยินเพียงเสียงสนทนาเบาๆ ของสองคนนั้น
ฟังจากบทสนทนาของสองคนนั้นแล้ว พวกเขาสามพี่น้องศิษย์ร่วมอาจารย์ล้วนถูกลักพาตัวมา ยามนี้จะจับตัวไปให้นายท่านอันใดของพวกนั้นใช้ฝึกวรยุทธ์ ซ้ำยังบอกว่าพลังวิญญาณของพวกเขาบริสุทธิ์ หลังจากนายท่านอะไรนั่นดูดกลืนแล้วจะวรยุทธ์จะก้าวหน้าเร็วขึ้น…
น้ำเสียงราวกับพวกเขาทั้งสามไม่ใช่คนแล้ว แต่เป็นอาหารอันโอชะจานหนึ่ง…
ซือชิงตกใจจนหน้าซีดเผือด!
ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าเด็กที่หายตัวไปเหล่านั้นไปอยู่ที่ไหน เห็นทีว่าจะประสบเคราะห์ร้ายมากกว่าดีเสียแล้ว!
เขาอยากจะตะโกนก็ตะโกนไม่ออก คิดจะดิ้นรนทั้งร่างก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง หัวใจอดรู้สึกสิ้นหวังขึ้นมาไม่ได้
พวกเขาสามคนฝึกวรยุทธ์อยู่บนเขาทุกวัน รู้สึกว่าจืดชืดไร้สีสัน และคิดว่าตนได้เรียนรู้อะไรมาบ้างแล้ว ดังนั้นถึงหนีลงจากเขามาเที่ยวเล่น กลับคาดไม่ถึงเลยว่าจะมาประสบเรื่องราวพิสดารเช่นนี้ ยามนี้เห็นทีว่าแม้แต่ชีวิตก็อาจรักษาไว้ไม่ได้แล้ว…
เขาตื่นตระหนกจนฝ่ามือเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อเย็นเฉียบ ทว่านึกวิธีเอาตัวรอดอันใดไม่ออกชั่วขณะ
———————————–