ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2037+2038
บทที่ 2037 คำที่เธอต้องจดจำสมควรเป็นหวงถูมิใช่หรือ?
ไม่น่าเชื่อว่าเขาจะ…
หัวใจเธอสั่นไหว ค่อนข้างทึ่มทื่อไปชั่วขณะ
เขาช่วยเหลือเธอไม่นับว่าแปลกประหลาด แต่ยอมแตกหักกับเหล่าอาจารย์ด้วยเหตุนี้…
นี่เปรียบเสมือนการประกาศสงครามกับใต้หล้าเลยทีเดียว!
ถึงอย่างไรปรมาจารย์สิบท่านนี้ก็เป็นผู้แข็งแกร่งของแผ่นดินนี้ แต่ละท่านล้วนมีอิทธิพลยิ่ง มีคณะอาจารย์สิบท่านนี้คอยหนุนหลังเขา ต่อให้วรยุทธ์ของเขาไม่นับว่าแข็งแกร่งเท่าใด ก็ยังท่องไปทั่วแผ่นดินนี้ได้!
การตัดขาดอาจารย์ไม่ว่าจะเป็นที่โลกใดล้วนเป็นโทษหนักมหันต์ ถูกคนทั้งโลกเหยียดหยามทั้งสิ้น จะกลายเป็นตราบาปที่ลบล้างไม่ออกไปชั่วชีวิต
ยามนี้เขากลับยอมตัดขาดกับเหล่าอาจารย์อย่างไม่ลังเลเพื่อ ‘นางมาร’ อย่างเธอ นี่ต้องใช้ความกล้ามหาศาลปานใดกัน?
เจ้าเด็กโง่คนนี้!
เขารู้จักเธอแค่ไหนกันเชียว? เขาถึงขั้นที่ไม่รู้รายละเอียดของเธอเลยด้วยซ้ำ ก็ทำเพื่อเธอมากขนาดนี้แล้ว!
ระลอกคลื่นในใจกู้ซีจิ่วผันผวนยิ่งนัก อีกทั้งรู้สึกหนักอึ้งอยู่บ้าง
ความรู้สึกนี้ของเขาหนักหนาเกินไป เธอเกรงว่าเธอจะรับไว้ไม่ไหว…
หลังจากพวกก่วนจิ่นหวาสนทนาพาทีกันอยู่ด้านล่างพักหนึ่ง ในที่สุดก็จากไป ตั้งแต่ต้นจนจบไม่พบเห็นกู้ซีจิ่วที่ยืนอยู่บนยอดเขาเลย
กู้ซีจิ่วร่อนลงมา เธอมองเห็นบทกลอนที่ตี้ฝูอีสลักไว้ตรงนั้น
ลายมือของเขายอดเยี่ยม ดุจหงส์ร่อนมังกรรำ เข้มแข็งทรงพลัง แฝงความเสรีและทระนงจำพวก ‘ข้าหมายจะขึ้นสู่นภาไขว่คว้าจันทรา’ เอาไว้ด้วย
กู้ซีจิ่วอ่านบทกลอนนั้นสองรอบ ทราบว่าบทกลอนนี้ของเขาเป็นกลอนแปลง สองประโยคท่อนหลังสุดของบทกลอนแปลงมาจากประโยคของหลี่ไป๋ใน ‘จริยะมือกระบี่’ ประโยคดั้งเดิมคือ
‘เรื่องจบสะบัดแขนเสื้อจาก ซ่อนเร้นนามและกายา’
เมื่อสายตาของเธอร่อนลงบนสองประโยคสุดท้ายนั้น หัวใจก็ราวกับถูกอะไรบางอย่างกระแทกเข้าอย่างจัง!
เธอจำได้ว่าในตำหนักแก้วผลึก ณ โลกเบื้องล่างเธอก็สลักกลอนเอาไว้มากมาย ในบารดานั้นสิ่งที่สลักไว้มากที่สุดก็คือสองประโยคนี้
เนื่องจากเธอเสียความทรงจำส่วนหนึ่งไป ตัวเธอจึงไม่เข้าใจเช่นกันว่าเหตุใดถึงหมกมุ่นในบทกลอนสองประโยคนี้ถึงเพียงนั้น สลักไว้เต็มพื้น เต็มผนังกำแพงไปหมด แต่กลอนสองประโยคนี้สลักลึกอยู่ในความทรงจำของเธอยิ่งนัก คล้ายว่าเธอสลักกลอนสองประโยคนนี้เพื่อพยายามจะจดจำสิ่งใดเอาไว้
เธอจำได้ว่าในบทกลอนสองประโยคที่ตนสลักไว้ คำว่าฝูอีมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ สะดุดตาเป็นพิเศษ หรือว่าสิ่งที่ตนต้องการจะจดจำไว้ก็คือ ‘ฝูอี’ ?
แต่ว่า คำที่เธอต้องจดจำสมควรเป็นหวงถูมิใช่หรือ?
ความทรงจำที่ถูกลบทิ้งไปของเธอมิใช่ว่าเกี่ยวข้องกับหวงถูหรอกหรือ?
นับตั้งแต่เธอทราบว่าตนมีความสัมพันธ์ชิดเชื้อกับหวงถู มีความเป็นได้เกือบสิบส่วนว่าจะเป็นสามีภรรยากัน ก็นึกอยู่ตลอดว่าตนสลักบทกลอนสองประโยคนนั้นเพื่อพรรณนาถึงชีวิตของหวงถู ไม่มีความหมายอื่นใด
แต่ยามนี้พอได้เห็นบทกลอนที่ตี้ฝูอีจารึกไว้ที่นี่ ความคิดหนึ่งก็ผุดวาบขึ้นมาในใจ
ฝูอีสองคำนี้ก็เป็นนามของหวงถูเช่นกันใช่หรือไม่?!
โดยทั่วไปแล้วบุรุษที่มีศักดิ์ฐานะมักจะมีนามแฝงกัน เช่นนั้นนามแฝงของหวงถูจะเรียกว่าหวงฝูอีหรือเปล่า?
หวงฝูอี…
เธอค่อยๆ กลั่นกรองสามคำนี้ รู้สึกอยู่เสมอว่าหวงฝูอีไม่รื่นตาเท่าตี้ฝูอี…
หัวใจเธอเต้นกระหน่ำขึ้นมา ดวงตามองดูกลอนสองประโยคนนั้นอย่างใจลอย สองประโยคนั้นที่เธอสลักไว้เหมือนบทกลอนสองประโยคนี้ทุกประการ และมีการปรับเปลี่ยนสองคำนี้เช่นเดียวกัน นี่เป็นความบังเอิญหรือ? หรือว่าเป็นชะตาที่ฟ้าลิขิต?
บางที อาจเป็นไปได้ว่าตี้ฝูอีในปัจจุบันก็คือหวงถูกลับชาติมาเกิด…
หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นระรัวขึ้นมา เธออดไม่ได้ที่จะตบกำไลหยกนภาบนข้อมือเบาๆ เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“เสี่ยวชาง เสินเนี่ยนโม่ใช่หวงถูกลับชาติมาเกิดหรือไม่?”
หยกนภาที่ระยะนี้สงบปากสงวนท่าทีเสมอมา พยายามลดความมีตัวตนของตนให้หดเล็กลงอย่างขมขื่นยิ่ง อึกอักอยู่เนิ่นนานในที่สุดก็พ่นวาจาที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์ออกมา
‘ลิขิตสวรรค์ไม่อาจแพร่งพรายได้!’
หยกนภารู้สึกว่า ยามนี้เจ้านายของตนกับเสินเนี่ยนโม่เข้ากันได้ไม่เลวเลย ค่อยๆ พัฒนาไปจากจุดนี้จะดีกว่า
และเสียงลึกลับนั้นก็เคยย้ำเตือนมันไว้อย่างเคร่งครัด ไม่ให้มันแพร่งพรายออกไปเลยสักนิด มิเช่นนั้นจะเป็นการชักภัยมาสู่เจ้านายได้ง่ายๆ
————————————————————————–
บทที่ 2038 ตามหา
และเป็นการเพิ่มตัวแปรเลวร้ายในอนาคตให้เจ้านายอีกด้วย…
เนื่องด้วยสาเหตุเหล่านี้ หยกนภาจึงปิดปากเงียบเสมอมา ในช่วงที่ผ่านมาทำตัวเสมือนเป็นใบ้ก็มิปาน ด้วยเกรงว่าจะหลุดปากพูดไป
มันกลัวว่ากู้ซีจิ่วจะถามต่ออีก
‘เจ้านาย ข้าต้องกักตนฝึกวรยุทธ์แล้ว’
เพียงแต่ก่อนที่มันจะกักตนก็ยังคงเอ่ยแนะนำกู้ซีจิ่วประโยคหนึ่ง
“เจ้านาย ทำตามหัวใจของท่านซะ!”
กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย
เธอสูดหายใจเบาๆ พักนี้เธอเป็นกังวลมากเกินไปจริงๆ เธอไม่อยากผิดต่อหวงถู อยากรอให้หวงถูหวนคืนมา ดังนั้นเธอจึงปฏิเสธเสินเนี่ยนโม่ไปตามสัญชาตญาณ เห็นเขาเป็นเพียงเป้าหมายภารกิจ…
ความรู้สึกของเธอที่มีต่อเสินเนี่ยนโม่ค่อนข้างประหลาดจริงๆ อาทรในตัวเด็กคนนี้เป็นพิเศษ ถึงขั้นที่ไม่ปฏิเสธการกระทำอันคลุมเครือบางอย่างของเขา
หากว่าเขาคือหวงถูกลับชาติมาเกิด นั่นจะเป็นเรื่องดีโดยแท้ เธอจะชอบเขาได้โดยไม่รู้สึกกดดัน
แต่ถ้าหากเขาไม่ใช่ล่ะ?!
เช่นนั้นเธอก็จะผิดต่อหวงถู และสุดท้ายก็จะเป็นการทำร้ายเสินเนี่ยนโม่อย่างสิ้นเชิง…
และสองกรณีนี้เธอล้วนไม่อยากให้พบเจอทั้งสิ้น ดังนั้นก่อนที่เธอจะแน่ใจ จึงไม่อยากให้ความหวังเสินเนี่ยนโม่มากจนเกินไป เลี่ยงไม่ให้ทำร้ายเขาล้ำลึกเกินไป
ไม่กี่วันมานี้ความคิดของเธอรวนเรอยู่บ่อยครั้ง ยามนี้จู่ๆ เธอก็คิดตกแล้ว
แล้วไปเถอะ! ไม่ว่าเขาจะใช่หรือไม่ใช่เมื่อถึงวันนั้นก็คงเผยออกมาเอง!
ภารกิจที่เธอควรทำก็ยังคงต้องทำ ทุกอย่างย่อมต้องดำเนินไปตามครรลอง อย่างมากก่อนที่เรื่องราวจะเปิดเผยออกมา เธอก็อย่าให้ความหวังในด้านนี้กับเขาก็พอ
อีกอย่างเขายังเด็กถึงเพียงนั้น มาแก่แดดในเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เหล่านี้ก็ไม่ดี มิสู้ละปัญหาด้านความรักไปเสีย ให้เขาตั้งใจฝึกวรยุทธ์…
ทุกอย่างรอให้เขาฝึกฝนจนบรรลุขั้นซ่างเซียนแล้วค่อยว่ากัน!
“เจ้านาย ข้าได้กลิ่นอายที่เจ้าหอยยักษ์เคยหลงเหลือเอาไว้แล้ว! เป็นกลิ่นอายที่ทิ้งไว้เมื่อสี่วันก่อน…”
ลู่อู๋วิ่งเข้ามา สีหน้าดูตื่นเต้น
จิตใจของกู้ซีจิ่วพลันสั่นไหว เหินกายทะยานขึ้นสู่หลังมัน
“ดี เช่นนั้นพวกเราตามกลิ่นของมันไปเถอะ!”
เส้นทางของเจ้าหอยยักษ์ตรงไปตรงมายิ่งนัก เดินตรงไปตามทางสายหนึ่งที่มุ่งตรงสู่ด้านใน ชัดเจนยิ่งนัก หลังจากมันมาถึงที่นี่ ก็ทราบแล้วว่าต้องไปตามล่ากวางชะมดจากที่ไหน…
กู้ซีจิ่วกับลู่อู๋ติดตามกลิ่นอายที่เจ้าหอยยักษ์หลงเหลือไว้อยู่หนึ่งเค่อ มาถึงในหุบเขาแห่งหนึ่ง
ในหุบเขาแห่งนี้มีหญ้ากล้วยไม้หอมชนิดหนึ่งเจริญเติบโตอยู่ เป็นอาหารที่กวางชะมดโปรดปรานที่สุด หุบเขาแห่งนี้ก็มีชื่อเรียกว่าหุบกวางชะมด มักจะมีกวางชะมดปรากฏตัวขึ้นเป็นฝูงอยู่เสมอ
กู้ซีจิ่วมองสำรวจที่นี่รอบหนึ่ง พบร่องรอยของเจ้าหอยยักษ์อีกครั้ง เจ้านี่ย่างกวางชะมดอยู่ที่นี่ถึงสามสี่ตัว บนพื้นมีร่องรอยการก่อไฟย่าง
นับตั้งแต่เจ้าหอยยักษ์ฝึกฝนจนบรรลุขั้นแปด มันก็ไม่ชอบกินสัตว์เหล่านั้นแบบเป็นๆ แล้ว มันชอบย่างแล้วกิน
การย่างของมันมีลักษณะพิเศษอยู่ประการหนึ่ง ฟืนที่มันนำมาสุมจะเรียงตัวคล้ายเปลือกหอยของมัน! บนพื้นมีร่องรอยทำนองนี้อยู่สามจุด ชัดเจนยิ่งนัก เจ้านี่เคยสวาปามอยู่ที่นี่
ร่องรอยนี้หลงเหลืออยู่เมื่อสามวันก่อน และแสดงให้เห็นว่ามันได้รับเนื้อกวางมากมายแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มันก็สมควรจะนำสัตว์ที่ล่าได้กลับไปยังจวนแม่ทัพแล้วสิ ทำไมมันถึงหายไปล่ะ?
ลู่อู๋เดินสำรวจบริเวณรอบๆ ดูรอบหนึ่ง ค้นพบเบาะแสใหม่
“เจ้านาย บริเวณนี้มีร่องรอยคนเคยดักซุ่มอยู่!”
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง ตรวจสอบร่องรอยบริเวณนั้นดูเล็กน้อย น่าจะมีคนดักซุ่มอยู่สามคน วรยุท์สมควรเป็นขั้นเสินจวินขึ้นไป
ดูจากร่องรอยแล้ว เป้าหมายที่สามคนนั้นดักซุ่มรอก็คือเจ้าหอยยักษ์ที่ย่างอาหารกิน!
เพียงแต่ ที่นี่ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ เนื่องจากมองจากรูปการณ์แล้วเจ้าหอยยักษ์พบว่ามีคนสะกดรอยตาม คะเนแล้วว่าตนต่อกรไม่ได้ จึงหนีไปทันที มองจากร่องรอยแล้วคล้ายจะตระหนกลนลานอยู่บ้าง จึ่งมุ่งหน้าสู่ส่วนลึกของป่า
กู้ซีจิ่วมุ่นคิ้วนิดๆ เจ้าหอยยักษ์เป็นตัวไม่เกรงฟ้าไม่กลัวดิน ยามที่ประสบอันตรายมันกล้าประจันหน้ายิ่ง หากว่าเสินจวินสามคนนี้แค่ซุ่มโจมตีมัน มันน่าจะไม่เผ่นหนีไปทันที คงสู้กันสักยกก่อนแล้วค่อยว่ากัน สู้ไม่ได้ก็ค่อยหนี
ยามนี้กลับหนีไปทันทีเลย ชัดเจนยิ่งนัก สิ่งที่ซุ่มโจมตีมันยังมีสิ่งที่ร้ายกาจอย่างอื่นอยู่ด้วย!
….