ลำนำบุปผาพิษ - บทที่ 2250+2251
บทที่ 2250 เขากลับดินแดนเบื้องบนไปแล้วจริงหรือ?
นางยังคงงดงามยิ่งนักเช่นเดิม รูปโฉมเช่นนี้ของนางไม่ว่าเดินไปที่ใดล้วนดึงดูดคนให้มามุงดูได้ ดังนั้นยามที่นางออกไปข้างนอกจึงสวมหน้ากากเอาไว้เสมอ มีเพียงเวลากินข้าวดื่มชาเท่านั้นถึงจะปลดออก
กล่าวอีกนัยคือ มีเพียงเขาที่มีวาสนาได้ยลโฉมนางอยู่บ่อยครั้ง
แน่นอน รูปโฉมของอวิ๋นเยียนหลีก็หล่อเหลายิ่งนักเช่นกัน หากเดินข้างนอกด้วยรูปโฉมดั้งเดิม ก็มักจะดึงดูดเหล่าสตรีให้เข้ามามุงดูอยู่เสมอ ถึงขั้นที่โยนบุปผาโยนผลไม้ให้เขาบนถนนด้วย
ดังนั้นยามที่อวิ๋นเยียนหลีออกไปด้านนอก จึงสวมหน้ากากไว้ตลอดเช่นกัน และหน้ากากที่เขาเลือกก็มีความคล้ายคลึงกับกู้ซีจิ่ว ราวกับหน้ากากคู่รักก็มิปาน
แต่เขาก็ได้รับสิทธิพิเศษแค่นี้เท่านั้น ถึงแม้เขาจะอยู่ข้างกายนางเสมอ ทว่าไม่เคยได้ก้าวเข้าไปในหัวใจของนางเลย นางเห็นเขาเป็นเพียงสหาย…
คล้ายว่านางมีสัญชาตญาณในการปฏิเสธบุรุษอยู่ ไม่ใกล้ชิดสนิทสนนกับบุรุษหน้าไหนทั้งสิ้น
ในช่วงที่ผ่านมานางก็ได้คบหากับสหายส่วนหนึ่งเช่นกัน สตรียังว่าดีหน่อย นางยังสามารถคุยกับอีกฝ่ายได้หลายประโยค ทว่าไม่สนใจบุรุษนัก
ต่อให้นางซ่อนเร้นใบหน้าไว้ แต่รูปร่างสะโอดสะองยิ่ง ซ้ำนางยังมีฝีมือ ด้วยเหตุนี้จึงดึงดูดเหล่าภมรมาไต่ตอมรอบตัวนางอยู่เสมอ ทำให้นางหน่ายแหนง ผ่านไปนานเข้า นางก็สวมชุดบุรุษเสียเลย รัดหน้าอกแล้วสวมชุดบุรุษตัวหลวมโคร่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงสงบสุขขึ้นมาก
“ซีจิ่ว เจ้าวางแผนอนาคตไว้อย่างไร?”
นี่เป็นเมืองสุดท้ายแล้ว ถ้ากู้ซีจิ่วยังจะหาอีกก็คงทำได้เพียงไปตามหาที่อาณาจักรมารอสุราแล้ว
แต่อาณาจักรมารอสุราไม่เหมาะที่นางจะเข้าไป และกล่าวได้ว่าไม่เหมาะให้ผู้บำเพ็ญเซียนคนใดเข้าไปทั้งนั้น
กู้ซีจิ่วหมุนจอกสุราในมือครู่หนึ่ง ส่ายหน้า
“ยังไม่ได้วางแผน บางทีอาจจะกลับไปที่เมืองลั่วฮวาสักเที่ยว”
หากว่าเขากลับไปที่โรงเตี๊ยมในเมืองลั่วฮวาแห่งนั้นเล่า?
ถึงอย่างไรชุดเครื่องนอนของเขาก็ยังอยู่ที่นั่นมาตลอด ไม่มีผู้ใดมาเคลื่อนย้าย
ในหนึ่งปีมานี้ทุกสองสามเดือนเธอจะกลับไปที่เมืองลั่วฮวาเที่ยวหนึ่ง ประการแรกคือไปเยี่ยมชาวเผ่า ประการที่สองคือไปดูที่โรงเตี๊ยมแห่งนั้นสักหน่อย นอนที่ห้องด้านข้างสักงีบ
เมื่อผิดหวังบ่อยครั้งเข้า ตัวคนจึงแปรเปลี่ยนเป็นด้านชาแล้ว
ดังนั้นความสามารถในการต้านรับต่อความกระทบกระเทือนของเธอจึงแปรเปลี่ยนแข็งแกร่งยิ่งนัก
คนผู้นั้นหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยจริงๆ!
เขากลับดินแดนเบื้องบนไปแล้วจริงหรือ?
หรือว่ายังซ่อนตัวอยู่?
หรือจะประสบเหตุถึงฆาตไปแล้ว?
หากว่ากลับไปยังดินแดนเบื้องบนแล้ว เช่นนั้นเขาก็ตัดรักตัดอาลัยได้เด็ดขาดยิ่ง
หากว่าซ่อนตัวอยู่ เช่นนั้นเขาซ่อนตัวจากอะไรล่ะ?
หลบซ่อนจากเธอหรือ?
แต่เธอก็ไม่ใช่หายนะร้ายแรงเสียหน่อย ไม่เข้ากับนิสัยของเขาเลย…
ประสบเหตุถึงฆาตรึ?
เป็นไปไม่ได้! สัมผัสที่หกของเธอบอกว่าเขายังมีชีวิตอยู่! และสัมผัสที่หกของเธอก็แม่นยำยิ่งนักเสมอมา…
ดังนั้น มีความเป็นไปได้มากที่จะกลับดินแดนเบื้องบนไปแล้ว
อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็อยากขึ้นไปดูที่ดินแดนเบื้องบนมาก แต่เธอหาวิธีไปไม่ได้ และอาจกล่าวได้ว่าไม่มีลู่ทางขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบน
เธอย่อมขอคำชี้แนะจากอวิ๋นเยียนหลีมาแล้ว แต่อวิ๋นเยียนหลีบอกเธอว่า ถ้าต้องการจะขึ้นสู่ดินแดนเบื้องบนก็ต้องใช้วิธีโบยบินขึ้นไป ฝึกฝนพลังวิญญาณจนบรรลุขั้นสิบฝ่าด่านเคราะห์โบยบินขึ้นไป วิธีอื่นเขาก็ยังหาไม่พบเช่นกัน
วิธีนี้ยากเหลือเกิน กู้ซีจิ่วถามตัวเองดูแล้วว่ายากจะบรรลุได้ในระยะสั้นๆ ดังนั้นจึงปล่อยไปก่อนชั่วคราว
เพียงแต่เธอก็ฉงนอยู่เช่นกัน เธอและอวิ๋นเยียนหลีล้วนมาจากดินแดนเบื้องบน ถ้าจะกลับขึ้นไปทำได้เพียงบรรลุขั้นโบยบิน เช่นนั้นหากตี้ฝูอีจะกลับไป มิใช่ต้องบรรลุขั้นโบยบินเช่นกันหรือ?
ถึงแม้ยามที่ตี้ฝูอีลงมายังโลกเบื้องล่างจะสูญเสียพลังวิญญาณไปมากโข แต่เขาก็ฟื้นฟูได้รวดเร็วมากเช่นกัน ตอนที่เธอเพิ่งเจอเขาพลังวิญญาณของเขามากสุดคือขั้นหก แต่หลังจากเขาดูดซับผลึกวิญญาณระดับหนึ่งเข้าไปแล้ว พลังวิญญาณก็พุ่งพรวดขึ้นมาถึงขั้นเก้าแล้ว…
หากว่าเขาคิดจะกลับไปสู่ขั้นสิบก็น่าจะไม่ยากกระมัง?
ไม่เหมือนเธอ หนึ่งปีมานี้ดูดซับผลึกวิญญาณไปมากมาย พลังวิญญาณกลับเพิ่มขึ้นเชื่องช้ายิ่ง ทำให้ตัวเธอก็พูดไม่ออกยิ่งนักเช่นกัน
————————————————————————————-
บทที่ 2251 เจ้าปฏิบัติต่อสหายเยี่ยงนี้หรือ?
นึกถึงเมื่อก่อนตอนเธออยู่ที่ดินแดนเบื้องบน พลังวิญญาณของเธอสูงส่งที่สุดในกลุ่มสามคนนี้ ไม่นึกเลยว่าหลังจากถูกซัดลงมายังแดนอสุราแห่งนี้แล้ว พลังวิญญาณของเธอจะถดถอยตกต่ำลง! ช่างเป็นเรื่องที่ทำให้คนหมดคำบรรยายยิ่งโดยแท้
หรือสวรรค์จะเห็นว่าตอนอยู่ดินแดนเบื้องบนเธอแข็งแกร่งเกินไป ดังนั้นจึงโยนเธอลงมาลิ้มรสชาติการเป็นไก่อ่อนอับจนหนทางที่นี่?
นิ้วเธอเคาะหน้าโต๊ะเบาๆ ค่อนข้างเหม่อลอยไปชั่วขณะ
“ซีจิ่ว หากว่าตามหาคุณชายฝูอีพบแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร?”
อวิ๋นเยียนหลีเลือกเอ่ยหัวข้อสนทนาที่นางจะอาจจะสนใจ
กู้ซีจิ่วได้สติกลับมา ยกสุราขึ้นดื่มอึกหนึ่ง
“ไม่ทำอย่างไร ให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยก็พอ”
แววตาอวิ๋นเยียนหลีวูบไหวเล็กน้อย ยิ้มมิเชิงยิ้ม
“เจ้าหมกมุ่นกับเขามากขนาดนี้ ข้าหลงนึกว่าพอเจ้าหาเขาเจอก็จะแต่งกับเขาเสียอีก”
“เจ้าคิดมากแล้ว”
กู้ซีจิ่วตอบเพียงสี่คำ แล้วเบี่ยงหัวข้อไปเสีย
เธอแค่อยากแน่ใจว่าเขายังปลอดภัยดีจริงๆ
ส่วนอย่างอื่น ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเวลาเถอะ
เธอจะไม่ครุ่นคิดชั่วคราว
กู้ซีจิ่วหมุนกำไลบนข้อมือ กำไลวงนี้ดำทะมึนน่าเกลียด ไม่สะดุดตาเลยสักนิด อันที่จริงเธอก็สงสัยมากเช่นกันว่าทำไมตัวเองถึงชอบกำไลเช่นนี้ แต่กำไลวงนี้ติดตัวเธอมาโดยตลอด ตอนที่เธอลืมตาขึ้นมาบนโลกนี้สิ่งแรกที่เห็นก็คือมัน…
เธอจำได้ว่าตอนที่เธอเพิ่งเห็นมัน มันยังส่องแสงกะพริบอย่างขะมักเขม้นอยู่เลย แต่ก็มาก็มืดทึบอับแสงไปอย่างสมบูรณ์
เธอรับรู้ได้ตามสัญชาตญาณว่ากำไลวงนี้คล้ายจะมีความสามารถที่เลิศล้ำยิ่งอย่างอื่นอยู่ แต่เธอนึกไม่ออกชั่วขณะ
สายตาของอวิ๋นเยียนหลีก็ร่อนลงบนกำไลอัปลักษณ์วงนี้ของนางด้วย แววตาลุ่มลึกเล็กน้อย ยิ้มนิดๆ
“ซีจิ่ว กำไลวงนี้ใส่จนเก่าแล้ว หลายวันก่อนข้าเห็นกำไลวงหนึ่งที่เมืองปิงรุ่ย เหมาะกับเจ้ามาก จึงซื้อมาด้วย ขอมอบให้เจ้าแล้วกัน”
พลันตวัดฝ่ามือ กำไลกระจ่างแวววาววงหนึ่งปรากฏขึ้นมา
กำไลวงนี้ใสกระจ่างดั่งวารี เป็นสีม่วงดอกหลัวหลาน (ดอกไวโอเลต) พบเห็นได้น้อยยิ่ง ราวกับมีวารีสีม่วงแอ่งหนึ่งอยู่ในฝ่ามือเขา งดงามอย่างยิ่ง ดูจากขนาดแล้วก็เหมาะจะให้กู้ซีจิ่วสวมใส่ยิ่งนัก
“ซีจิ่ว กำไลวงนี้มีคุณสมบัติอีกอย่างด้วยนะ มีผลในการป้องกันพลังวิญญาณ สามารถชะลอการสูญสิ้นของพลังวิญญาณในร่างเจ้าได้”
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง ต้องทราบก่อนว่าแดนอสุราแห่งนี้ไม่มีไอวิญญาณ การฝึกฝนบำเพ็ญทำได้เพียงอาศัยการดูดซับผลึกวิญญาณ แถมโลกผุพังใบนี้ยังดูดกลืนไอวิญญาณในร่างคนไปด้วย ต่อให้ไม่ใช้พลังวิญญาณต่อสู้ ก็ยังสูญเสียพลังวิญญาณในแต่ละวันไปไม่น้อยเลย
ดังนั้นผู้บำเพ็ญของที่นี่พอผ่านไปกว่าสิบวันก็จะดูดซับผลึกวิญญาณระดับสามหนึ่งก้อนเพื่อเป็นการชดเชย
ตอนนี้กู้ซีจิ่วไม่ขาดแคลนผลึกวิญญาณ แต่สิ้นเปลืองน้อยลงหน่อยก็เป็นเรื่องดี ว่ากันตามเหตุผลแล้วไม่ว่าอย่างไรเธอก็ควรจะรับไว้
แต่เธอกลับปฏิเสธ
“ขอบใจมาก เพียงแต่ข้าไม่ชอบสวมใส่สิ่งของจำพวกเครื่องประดับเหล่านี้เสมอมา เจ้าเอาไว้มอบให้ผู้อื่นเถอะ”
แววตาอวิ๋นเยียนหลีพลันหม่นลง นางยังไม่ยอมรับสิ่งของจากเขาเหมือนเดิม หนึ่งปีมานี้เขาทดลองส่งมอบข้าวของให้นางมากมาย ล้วนถูกปฏิเสธอย่างตรงไปตรงมา
เห็นได้ชัดว่านางไม่อยากติดหนี้น้ำใจเขามากนัก
หากมิใช่เพราะวิชาผีเสื้อโลหิตเสาะคนของเขา เกรงว่านางคงไม่ปล่อยให้เขาติดตามอยู่ข้างกายเป็นแน่
ต่อให้เป็นเช่นนี้ นางก็ไม่ต้องการติดหนี้น้ำใจเขา ภาระหน้าที่ในการตามล่าผลึกวิญญาณนางก็เหมาไปทำหมด
ในแต่ละครั้งที่เขาใช้ผีเสื้อโลหิตให้นาง นางก็จะมอบผลึกวิญญาณระดับสองให้เขาหนึ่งก้อน หากว่าเขาไม่รับไว้นางก็จะไม่ยอมให้เขาติดตามไปด้วย…
‘ซีจิ่ว ข้าเป็นสหายเจ้านะ เจ้าปฏิบัติต่อสหายเยี่ยงนี้หรือ?’
อันที่จริงอวิ๋นเยียนหลีอยากถามนางเช่นนี้ยิ่งนัก!
แต่เขาไม่กล้า…
เกรงว่าพอถามไปแล้ว แม้แต่ความสัมพันธ์ในยามนี้ก็จะถูกทำลายไปด้วย
ที่ดินแดนเบื้องบนเขารักอย่างเก็บกดอดกลั้น ที่แดนอสุราแห่งนี้เขารักอย่างระมัดระวังยิ่งยวด
เขาเก็บกำไลข้อมือ ยกมุมปากขึ้นนิดๆ ไม่ทราบเช่นกันว่าสิ่งที่เผยออกมาคือยิ้มแย้มหรือยิ้มหยัน…