ลำนำพระเจ้าขวดโหล - ตอนที่ 1 สิบสามนาฬิกา
“เราคือพระเจ้า” เธอกล่าว
“ทำไมพระเจ้าถึงอยู่ในขวดโหล” เขาถาม
“เรามิได้อาศัยอยู่ในขวดโหล ขวดโหลต่างหากที่กักขังเราไว้” เธอตอบ
“ผู้ใดอาจกักขังพระเจ้าได้หากมิใช่ตัวท่านเอง” เขาแย้ง
“มันคือ—”
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปหลังจากที่ศาลเจ้าปิดทำการ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเป็นพิเศษ
ผมเก็บตัวอยู่ในบ้าน ทำอะไรไร้สาระไปวัน ๆ
ไม่มีตำรวจมาจับเพราะคิดว่าผมเป็นผู้เยาว์ที่ไม่รู้เห็นกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่านับเป็นเรื่องดีได้หรือเปล่า บางทีชีวิตในเรือนจำอาจจะดีกว่านี้ก็ได้
โชคดีที่ยังมีเงินเหลืออยู่บ้าง น่าจะพอสำหรับประทังชีวิตตัวเองได้อย่างน้อยสองปี แต่ถ้าต้องอยู่แต่ในบ้านอาจจะอยู่ไม่ถึงสองปีก็ได้
บางครั้งก็คิดอยากจะออกไปทำอะไรนอกบ้านอยู่บ้างเหมือนกัน แต่แค่ก้าวเท้าออกนอกบ้านก็ตกเป็นเป้าสายตาแล้ว บ้างก็โดนนินทา โดนนักข่าวตามมาสัมภาษณ์ หรือบางครั้งก็โดนทำร้าย
ทำไมไม่มีตำรวจมาจับคนพวกนั้นไปบ้างนะ
ช่างเถอะ คิดไปก็เครียดเปล่า
ว่าไปแล้ว ช่วงนี้ผมฝันถึงเรื่องแปลก ๆ อยู่ซ้ำ ๆ ไม่แน่ว่าอาจจะเพราะคิดฟุ้งซ่านถึงเรื่องเดิม ๆ ก็ได้
ในฝัน ผมกำลังคุยกับใครอีกสักคน เหมือนว่าจะเรียกตัวเองว่าพระเจ้าหรือเปล่านะ
ไม่รู้สิ จำเนื้อหาที่คุยไม่ได้ด้วย—
“พิซซ่าครับพิซซ่า พิซซ่ามาส่งครับ”
เสียงกดกริ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงคนตะโกนมาจากชั้นล่างของบ้าน สงสัยว่าอาหารที่สั่งจะมาส่งแล้ว
ผมลงไปเปิดประตูตามเสียงเรียกนั้นโดยที่ไม่ได้คิดอะไร คนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็เป็นคนส่งพิซซ่าปกติ ผมมองไปรอบ ๆ ก็ไม่เห็นว่ามีใครกำลังทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ
แล้วก็ไม่เห็นพิซซ่าด้วย
“เอ่อ…..คือว่า พิซซ่า…..?”
คนส่งพิซซ่ายิ้ม ผมจ้องหน้าเขาแบบกระอักกระอ่วน สักพัก เขาก็ทำท่ากวักมือเหมือนเรียกใครเข้ามา
มีคนเดินออกมาจากพุ่มไม้หน้าบ้านประมาณ……ห้าคน? หรือน่าจะมากกว่านั้น ทุกคนสวมสูทผูกไทใส่หมวกฟีดอรา แต่งตัวเหมือนมาเฟียอิตาลีที่เคยเห็นในหนัง แต่ละคนถือของที่เหมือนกับเตรียมไว้สำหรับลักพาตัวใครสักคน
และพวกคนที่ว่ากำลังเดินมาหาผม
ผมพยายามจะปิดประตู แต่คนส่งพิซซ่าจับแขนผมไว้ไม่ให้ทำแบบนั้น
คนที่แต่งตัวเหมือนมาเฟียเดินเข้ามาอย่างใจเย็นด้วยใบหน้าเรียบเฉย เหมือนกับผมเป็นเหยื่อที่ไม่น่าจะหนีรอดได้ตั้งแต่แรก ซึ่งก็น่าจะเป็นแบบนั้นแหละ แค่แรงดิ้นให้หลุดกับแรงตะโกนขอความช่วยเหลือยังไม่มีเลย จับกระต่ายป่ายังยากกว่านี้อีก
บทสรุปของเหตุการณ์นี้ก็เป็นไปตามที่คิด ผมถูกพวกนั้นมัดมือมัดเท้า ตากับปากถูกผ้าปิดไว้ หรือที่เรียกกันว่า “ถูกลักพาตัว” เป็นคำที่ไม่ค่อยได้ใช้ในชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่
ผมควรจะตื่นตระหนกกับเหตุการณ์นี้มากกว่านี้ แต่พูดตามตรง ผมไม่มีแรงเหลือพอสำหรับอะไรแบบนั้นแล้ว บางทีการถูกลักพาตัวไปอาจจะดีกว่าอยู่เฉย ๆ ที่บ้านก็ได้…..
ว่าไปแล้ว บ้านผมไม่มีกริ่งให้กด ก่อนจะเข้ามาถึงหน้าประตูบ้านได้ก็มีประตูรั้วที่ล็อกอยู่ ลานหน้าบ้านก็ไม่ได้ปลูกพืชอะไรไว้ แล้วก็ไม่ได้สั่งพิซซ่าด้วย…..ทำไมถึงหลงกลง่าย ๆ แบบนี้ได้ล่ะเนี่ย หรือว่าสมองจะเน่าไปแล้วกันนะ? ผลจากการอยู่คนเดียวเหรอ? หรือจะเป็นผลจากการเรียนที่บ้าน…..?
ช่างเถอะ…..คิดไปก็เครียดเปล่า
“เธอคือลัวร์คนนั้นสินะ?”
เสียงที่น่าเกรงขามปลุกผมขึ้นจากภวังค์
หน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาบ่ายโมงตรง
ผมนั่งอยู่บนเก้าอี้กลางห้องที่เหมือนห้องทำงานของผู้มีอำนาจ ตรงหน้ามีชายรุ่นลุงท่าทางน่ากลัวกำลังนั่งจ้องหน้าผมอยู่ ผมพยายามหลบสายตาพลางสังเกตหาทางหนีหากเกิดเหตุฉุกเฉิน แต่กลับมีพวกคนที่แต่งตัวเหมือนมาเฟียอยู่เต็มไปหมด
“ได้อ่านจดหมายที่ฉันส่งไปแล้วยัง?”
ชายคนนั้นทักทันทีที่เห็นผมว่อกแว่ก
“จะ จดหมายไหนครับ?”
“จดหมายที่ฉันส่งไปให้ไง ฉันเขียนชื่อผู้ส่งไว้ชัดอยู่นะ”
ชีวิตนี้ผมไม่เคยได้รับจดหมายเลยสักฉบับ คนคนนี้พูดเรื่องอะไรอยู่ล่ะเนี่ย
“เหงื่อออกแล้วนะ ห้องร้อนขนาดนั้นเลยเหรอ ขอโทษด้วย เป็นแขกแท้ ๆ แต่ต้องให้ทนอยู่ในห้องแบบนี้ พอดีช่วงนี้ค่าไฟแพงน่ะ ก็เลยต้องประหยัดหน่อย เรารีบคุยกันให้เสร็จเถอะ”
ไม่รู้ตัวเลยว่าเหงื่อออก เพราะประหม่าเหรอ? หรือเพราะกลัว? แย่แล้วสิ เริ่มคิดอะไรไม่ออกแล้ว
“พวกนกที่มีจดหมายติดมาอะไรพวกนี้ ได้เจอบ้างไหม”
“มะ ไม่…..นะครับ”
เมื่อสองวันก่อนมีนกฮูกมาขโมยอาหารเที่ยงผมไป แต่ก็แค่นั้น ไม่เห็นได้จดหมายอะไรมาเลย
แล้วทำไมถึงยังใช้นกส่งจดหมายกันอยู่อีกล่ะ วิถีมาเฟียอะไรแบบนั้นเหรอ?
“พวกนกฮูกอะไรแบบนั้น ไม่เคยเจอเลยเหรอ นกฮูกแปลก ๆ ที่ใช้ชีวิตตอนกลางวันน่ะ”
เอ๊ะ
“คะ เคยเจอมั้งครับ”
“นั่นไง! นกฮูกตัวนั้นแหละ นกฮูกที่ฉันเอาไว้ส่งจดหมาย แล้วเป็นไง ได้อ่านแล้วยัง”
“มันบินมาขโมยอาหารเที่ยงผมแล้วก็หายไปเลย…..ไม่มีจดหมายอะไรนั่นนะครับ”
ชายคนนั้นถอนหายใจช้า ๆ พลางทำหน้าเหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
“เฮ้อ…..เจ้านกเวรนั่น ก็ว่าทำไมไม่เคยเชิญใครมาเข้าโรงเรียนได้เลย” เขาพึมพำอยู่กับตัวเอง
“ช่างเถอะ เห็นทีฉันคงต้องแนะนำตัวเองอีกครั้ง”
เขายืนขึ้น ผายมือออกให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่หรืออะไรสักอย่าง พลางพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ฉัน นอคต์ ซันดรา ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติเซนต์เอลิยา น้องชายทางสายเลือดของเชนจ์ ซันดรา พ่อของเธอ และนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เธอจะต้องเข้าเรียนที่นี่ และฉันจะเป็นผู้ปกครองของเธอเอง!”
เขาพูดด้วยความภาคภูมิใจ
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าผมมีคุณอาด้วย
แต่ที่สำคัญกว่านั้น…..
“โรงเรียนนานาชาติเซนต์เอลิยานี่…..ก่อตั้งตั้งแต่เกือบห้าร้อยปีที่แล้วไม่ใช่เหรอครับ”
ชายคนนั้นไม่ตอบอะไร เพียงแต่ยิ้มอย่างมีเลศนัยให้กับคำถามของผม
…..ควรจะหมายความว่ายังไงกันนะ?