ลำนำพระเจ้าขวดโหล - ตอนที่ 2 สิบสองนักบุญ
“เราคือพระเจ้า” เธอกล่าว
“พระเจ้าไม่ได้มีแค่ท่าน” เขาเอ่ย
“พระเจ้าหนึ่งเดียวมีแค่เรา” เธอแย้ง
“พระเจ้าหนึ่งเดียวมิได้มีเพียงหนึ่ง” เขาแย้งตอบ
“หากมิได้มีเพียงหนึ่ง ไยจึงเรียกพระเจ้าหนึ่งเดียว” เธอถาม
“หากท่านมิใช่พระเจ้าหนึ่งเดียวเพียงหนึ่ง หนึ่งในพระเจ้าหนึ่งเดียวก็มิใช่ท่าน” เขาตอบ
“เราคือ—”
โรงเรียนนานาชาติเซนต์เอลิยา เป็นโรงเรียนชื่อดังที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ว่ากันว่าคนที่เข้าเรียนที่นี่มีแต่พวกคนสำคัญของประเทศ ต้องอาศัยทั้งความรู้และเงินตรามหาศาลถึงจะเข้ามาเรียนได้ บุคลากรภายในโรงเรียนก็ล้วนเป็นคนระดับหัวกะทิ เช่นเดียวกับเหล่านักเรียนที่เป็นลูกศิษย์
คนที่อยากจะเข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งนี้ต้องเตรียมตัวอย่างหนักเพื่อสอบแข่งขันกับคนอื่น มีเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้นที่จะได้สิทธิ์เข้าเรียนที่นี่ ทำให้ค่อนข้างการันตีว่านักเรียนทุกคนจะมีประสิทธิภาพสูงระดับชั้นนำของประเทศหรืออาจจะระดับภูมิภาค
ผมเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่เคยเข้าเรียนในระบบด้วยซ้ำ ดูยังไงก็ไม่มีทางเข้าเรียนที่นี่ได้
แต่ว่า…..
“คุณหนูครับ รบกวนอย่าเดินออกนอกเส้นทางนะครับ”
ไม่รู้ว่าทำไม แต่ตอนนี้ผมกำลังเดินตามคนที่เพิ่งจะลักพาตัวผมมาเพื่อสมัครเข้าเรียนที่นี่
“ไม่ได้สมัครนะครับ เรากำลังไปหาผู้อำนวยการคนปัจจุบันเพื่อยืนยันตัวการเป็นนักเรียนของคุณหนูต่างหาก”
และคนคนนี้กำลังทำเหมือนกับอ่านใจผมอยู่ตลอดเวลา
หลังจากคุยกับคนที่น่าจะเป็นคุณอาของผมจบ เขาก็ให้คนคนนี้นำทางผมไปหาผู้อำนวยการคนปัจจุบันของโรงเรียน
ตอนที่ออกจากห้องถูกปิดตาไว้เหมือนกับตอนเข้ามา เหมือนจะมีอะไรบางอย่างที่ผมไม่ควรเห็น
อันที่จริงก็ไม่แน่ใจนักหรอกว่าเขาจะเป็นคุณอาของผมจริง ๆ หรือเป็นแค่คนแอบอ้าง แต่เขาไม่ได้ดูอันตรายอย่างที่คิดไว้ตอนแรก ทำตามน้ำไปหน่อยก็คงไม่เป็นไร
อย่างน้อยก็คงดีกว่าอยู่บ้านเฉย ๆ
รู้ตัวอีกที ผมก็มาโผล่ตรงที่ที่น่าจะเป็นโถงทางเดินไปยังห้องผู้อำนวยการ ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นแบบโกธิคดูมีมนต์ขลัง มีภาพแขวนของผู้อำนวยการแต่ละรุ่นอยู่ตามกำแพง เรียงจากผู้อำนวยการรุ่นแรกสุดที่หน้าโถงไปยังผู้อำนวยการรุ่นปัจจุบันที่หน้าห้อง
แน่นอนว่าผู้อำนวยการรุ่นแรกคือผู้ก่อตั้ง ในภาพเป็นคนหนุ่มแต่งตัวสุภาพ เค้าโครงคล้ายกับคนที่บอกว่าเป็นคุณอา โดยเฉพาะตาข้างซ้ายที่เหมือนจะบอด ชื่อข้างล่างก็เขียนไว้ว่า นอคต์ ซันดรา ผู้ก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติเซนต์เอลิยา ตามที่เขาคนนั้นอ้างถึงจริง ๆ
แถมพอดูจากภาพนี้ก็แอบมีเค้าโครงคล้ายพ่อผมอยู่บ้าง อาจจะพอยืนยันความน่าเชื่อถือได้สักนิดล่ะมั้ง
ส่วนผู้อำนวยการคนปัจจุบันเป็นรุ่นที่สี่สิบแปด ในภาพเป็นหญิงชราท่าทางใจดี แต่งตัวดูมีภูมิฐาน ใต้ภาพเขียนว่า อัมบรา ลูน็อกซา ผู้อำนวยการโรงเรียนนานาชาติเซนต์เอลิยา ลำดับที่ 48
“ถึงแล้วครับ ห้องของมาดามอัมบรา หน้าที่ของผมหมดแค่นี้ รบกวนคุณหนูยื่นจดหมายฉบับนี้ให้มาดามด้วยตัวเองนะครับ” คนที่นำทางผมมายื่นจดหมายฉบับหนึ่งมาให้ หน้าจดหมายมีประทับตรารูปดวงจันทร์ไว้
ทันทีที่รับจดหมาย เพียงชั่วพริบตาคนคนนั้นก็หายลับไปเลย ทิ้งผมไว้หน้าห้องผู้อำนวยการเพียงคนเดียว
แม้ว่าจะรู้สึกประหม่าอยู่บ้าง แต่ก็ต้องพยายามใจเย็นเข้าไว้ จะได้ไม่ทำตัวแปลก ๆ ตอนเจอกับผู้อำนวยการ
ผมเคาะประตูเบา ๆ ก่อนที่มันจะแง้มออกทันทีหลังจากนั้น เผยให้เห็นห้องทำงานที่ตกแต่งจนโอ่อ่า มีสายตาสองคู่จับจ้องมาจากในห้อง เจ้าของสายตาหนึ่งเป็นหญิงชราที่โต๊ะทำงาน ส่วนอีกสายตาเป็นของหญิงสาววัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่ยืนอยู่ใกล้กับหญิงชรา
ผมยื่นจดหมายให้กับหญิงชราที่น่าจะเป็นมาดามอัมบรา ทันทีที่เธอสังเกตเห็นตราบนจดหมายก็แสดงท่าทีตื่นตกใจออกมาอย่างงเห็นได้ชัด
มาดามอัมบรากระซิบอะไรสักอย่างกับหญิงสาวที่อยู่ข้าง ๆ ก่อนที่เธอคนนั้นจะทำท่าตกใจแบบเดียวกัน แม้ว่าจะพยายามเก็บอาการแล้วแต่ก็ยังเห็นได้ชัดอยู่
“ยินดีต้อนรับสู่เซนต์เอลิยา ขออนุญาตแนะนำตัวกันก่อน ดิฉันคือมาดามอัมบรา เป็นผู้อำนวยการของสถานศึกษาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ส่วนทางนี้คือคนที่จะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาประจำชั้นเรียนของเธอ หัวหน้าภาควิชาฟิสิกส์ อาจารย์เอสมา เอสเมอรัลดา อิสคาริโอท”
“ยะ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
คนที่ชื่อเอสมาอะไรสักอย่างทำท่าทางลุกลี้ลุกลน เหมือนว่าจะประหม่า
“ยะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
แน่นอนว่าผมก็ประหม่าไม่ต่างกันเท่าไหร่
“ดิฉันทราบถึงเนื้อความในจดหมายแล้ว เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รู้จัก คุณลัวร์ ลัวร์ ซันดรา เป็นครั้งแรกในรอบหลายร้อยปีที่มีคนได้รับเชิญเข้าโรงเรียนผ่านทางจดหมายนกฮูกเที่ยงวัน แต่น่าเสียดายที่เราคงจะคุยเรื่องนี้กันในเวลาทำการของโรงเรียนไม่ได้ ตอนนี้ก็ใกล้หมดเวลาพักกลางวันแล้ว ดิฉันมีธุระที่ต้องไปสะสาง ต่อจากนี้รบกวนอาจารย์เอสมาดูแลนักเรียนประจำชั้นคนใหม่ด้วยนะ”
“ค-ค่ะ!”
หญิงสาว—อาจารย์เอสมาตอบรับอย่างหนักแน่น ดูเหมือนว่าคนคนนี้จะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาประจำชั้นเรียนของผมต่อจากนี้ ถึงจะดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่ แต่นั่นก็ทำให้ผมคลายความประหม่าของตัวเองลงไปได้บ้าง อย่างน้อยก็ไม่ใช่อาจารย์ทุกคนที่นี่ที่จะดูเข้มงวดอย่างที่จินตนาการไว้
อาจารย์เอสมาพาผมออกมาจากห้องอาจารย์ใหญ่ เธอบอกว่าวันนี้ไม่มีสอน ก็เลยจะพาไปทำความรู้จักกับโรงเรียนก่อนที่จะเข้าเรียนในวันพรุ่งนี้
เมื่อเดินออกมาจากโถงทางเดินห้องผู้อำนวยการจะได้พบกับห้องโถงใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในโบสถ์ ทั้งแสงที่สาดเข้ามาจากเพดานที่เป็นเหมือนกระจกครึ่งวงกลมครอบ การตกแต่งผนังด้วยศิลปะกระจกโมเสค หรือแม้กระทั่งจิตรกรรมฝาผนังที่เหมือนจะถ่ายทอดเรื่องราวอะไรสักอย่าง
“ที่นี่คือโถงใหญ่นักบุญเอลียาค่ะ เป็นโถงสำหรับงานพิธีหรืองานประชุมที่นักเรียนทุกคนต้องมารวมตัวกัน แต่ถ้าไม่มีงานอะไร ส่วนใหญ่ก็จะใช้เป็นที่พบปะกันระหว่างนักเรียนแต่ละชั้นปี เพราะว่านักเรียนแต่ละชั้นปีอาศัยอยู่คนละอาคารกัน โถงนี้เป็นจุดศูนย์กลางของอาคารทั้งหมด ก็เลยถือเป็นจุดนับพบที่ดีจุดหนึ่งเลย จะเรียกสั้น ๆ ว่าโถงใหญ่ก็ได้นะคะ”
อาจารย์เอสมาอธิบายเกี่ยวกับโถงใหญ่ด้วยน้ำเสียงที่แตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง แบบนี้ค่อยดูเป็นอาจารย์มากขึ้นหน่อย
“แล้วก็…..ถ้ามาที่นี่ตอนเที่ยงคืน อาจจะมีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นก็ได้นะคะ ว่าไปนั่น เราไปดูข้างนอกอาคารกันต่อดีกว่าค่ะ”
อาจารย์แอบกระซิบข้อมูลน่าสงสัยแล้วยิ้มกลบเกลื่อน จากนั้นจึงเดินนำหน้าผมไปยังประตูบานใหญ่ที่เหมือนจะเป็นทางออกจากโถง
“นักเรียนเข้ามาโรงเรียนตอนกลางคืนได้ด้วยเหรอครับ” ผมถามระหว่างที่กำลังเดินไปยังประตูทางออก
อาจารย์หัวเราะเบา ๆ พลางตอบคำถามด้วยคำตอบที่แฝงนัยอะไรบางอย่าง “สิทธิพิเศษของนักเรียนชมรมดาราศาสตร์เท่านั้นค่ะ” เหมือนกับเป็นการบอกกลาย ๆ ให้ผมไปเข้าชมรมดาราศาสตร์
คาดว่าอาจารย์น่าจะมีส่วนได้ส่วนเสียกับชมรมนั้นล่ะมั้ง ก็เลยต้องหานักเรียนเข้าชมรม
ใช้เวลาเดินสักพัก ในที่สุดผมก็ได้เห็นโลกภายนอก
สิ่งที่อยู่อีกฝั่งของประตูเป็นสวนพฤกษศาสตร์ที่เต็มไปด้วยพืชกลางแจ้งหลากชนิด เมื่อเดินต่อไปอีกหน่อยก็จะเห็นกับลานกลางแจ้งที่ให้ความรู้สึกคล้ายสวนสาธารณะ
“ถ้ามองจากตรงนี้ เราจะสามารถเห็นอาคารหลักทั้งหมดของโรงเรียนได้ค่ะ”
อาจารย์หยุดเดินแล้วหันไปมองทางฝั่งโถง
“อาคารที่เราเพิ่งเดินออกมาเป็นอาคารหลักที่ใหญ่ที่สุดค่ะ มีทั้งหมดห้าชั้น โถงใหญ่อยู่ชั้นล่างสุดก็จริง แต่มีแสงผ่านมาได้เพราะความสูงของโถงใหญ่กินพื้นที่ทั้งห้าชั้น ส่วนชั้นอื่น ๆ จะอยู่รอบ ๆ โถงใหญ่ ส่วนใหญ่จะใช้เป็นห้องชมรมหรืออาคารเรียนรวมค่ะ ส่วนอาคารรอบ ๆ ที่เชื่อมอยู่กับอาคารหลักจะเป็นอาคารเรียนของแต่ละชั้นปี ลักษณะของการเชื่อมอาคารจะคล้ายกับจันทร์เสี้ยวที่มีอาคารหลักอยู่ตรงกลาง ส่วนฝั่งซ้ายและขวาจะมีอาคารย่อยฝั่งละสี่อาคาร ฝั่งซ้ายจะเป็นแผนกมัธยมต้น ส่วนฝั่งขวาจะเป็นแผนกมัธยมปลาย อาคารที่อยู่ขอบสุดและมีเพียงชั้นเดียวจะเป็นหอพักนักเรียนประจำค่ะ จะมีชั้นใต้ดินสำหรับรองรับนักเรียน ทำให้ไม่จำเป็นต้องสร้างให้สูงเหมือนกับอาคารอื่น ๆ ส่วนอาคารเรียนของมัธยมปลายปีหนึ่งจะอยู่ติดกับหอพักฝั่งขวา แล้วก็—”
อาจารย์ใช้เวลาประมาณสิบนาทีในการอธิบายโครงสร้างอาคารที่มองด้วยตาเปล่าก็เห็น ถ้าตัดรายละเอียดที่ไม่จำเป็นออกไปเห็นทีจะเหลือแค่สิบวินาที
เมื่ออธิบายจบ อาจารย์ก็พาผมเดินต่อ
ถัดจากบริเวณที่เป็นสนามหญ้า จะเห็นอาคารใหญ่รูปทรงสามเหลี่ยมตั้งตระหง่านอยู่ อาคารนั้นถูกล้อมรอบไปด้วยบ่อน้ำและป่าของต้นอะไรสักอย่าง แตกต่างจากบริเวณที่โล่งเตียนก่อนหน้านี้
“ที่นี่คือหอสมุดนักบุญมัวร์เต เป็นหอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนี้ มีทั้งหมดเจ็ดชั้น ชั้นแรกเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ แต่ผู้มีสิทธิ์เข้าถึงหอสมุดชั้นสองเป็นต้นไปจะต้องเป็นนักเรียนของเซนต์เอลิยาเท่านั้น โดยสิทธิ์เข้าถึงก็จะมากขึ้นตามชั้นปี สำหรับมัธยมปลายปีหนึ่งก็จะมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลในหอสมุดได้ถึงชั้นห้า เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับเลือกเป็นผู้ดูแลหอสมุดซึ่งมีแค่คนเดียวในแต่ละชั้นปี ถ้านับในตอนนี้ก็มีผู้ดูแลชั้นละคนจากแต่ละชั้นปี ทั้งหมดก็หกคน รวมกับบรรณารักษ์ใหญ่ก็เป็นเจ็ด—”
อาจารย์ใช้เวลาไปอีกเกือบยี่สิบนาทีสำหรับสาธยายเนื้อหาเกี่ยวกับหอสมุด ส่วนใหญ่จะเป็นกฎเกี่ยวกับการเข้าใช้หอสมุดกับวิธีการเข้าหอสมุด
ในเวลาปกติจะมีสะพานทอดจากแผ่นดินข้ามบ่อน้ำไปยังหอสมุด แต่ถ้าเป็นเวลาเรียนจะต้องนั่งเรือไปด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เห็นว่าบรรณารักษ์ใหญ่เป็นคนขอให้ทำแบบนี้ ตอนนี้เราก็เลยไม่ได้เข้าไปในหอสมุด
อาจารย์เอสมาบอกว่าส่วนสำคัญที่ควรรู้เกี่ยวกับโรงเรียนมีแค่นี้ ที่เหลือจะเป็นพวกรายละเอียดยิบย่อย ค่อยไปเดินดูเอาเองได้ จากนั้นจึงพาผมไปส่งที่หอพัก
“สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน ขอให้โชคดีกับชีวิตนักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้นะคะ ส่วนเรื่องหอพักทางโรงเรียนจัดการให้เรียบร้อยแล้ว เข้าพักได้ตามสะดวกเลยค่ะ”
เมื่อสิ้นสุดคำพูด อาจารย์เอสมาก็เดินจากไป
[มุมมองเอสเมอรัลดา อิสคาริโอท]
วันอังคารที่ไม่สดใสเท่าไหร่มาเยือน ยัยป้านั่นใช้งานฉันอีกแล้ว
คิดว่าเป็นพี่สาวแล้วจะจิกหัวใช้น้องสาวตอนไหนก็ได้งั้นเหรอ!
“มาสายไปสามสิบวินาทีนะ เอสเมอรัลดา”
“นี่มันยังไม่ถึงเวลานัดเลยนะพี่! มาสงมาสายอะไร น้องก็มีสอนนะ!”
ยัยป้านี่เรียกตัวเองว่ามาดามอัมบรา เป็นพี่สาวฉันเอง
อัมบรา ลูน็อกซา เป็นชื่อปลอม ชื่อจริงคือเพเนโลปี เพเนโลปี อิสคาริโอท
และแน่นอน เพราะว่าขนาดผู้อำนวยการยังใช้ชื่อปลอม ทั้งบุคลากรทั้งนักเรียนก็เลยแอบใช้บ้าง ไม่คิดว่าการทำแบบนี้มันจะทำให้งานเอกสารมีปัญหาบ้างเลยเหรอ
“แล้วเรียกน้องมาด่วนขนาดนี้ มีเรื่องอะไรอีกล่ะ”
“งานเอกสารน่ะ นักเรียนใหม่จะเข้ามาเรียนวันนี้วันแรก”
“นักเรียนใหม่?! พูดบ้าอะไรของพี่เนี่ย โรงเรียนเปิดเทอมมาเกือบเดือนแล้วนะ”
“อ่านจดหมายนี่สิ”
“พวกหัวโบราณที่ไหนยังใช้จดหมายกันอยู่อีก! ส่งเมลมาไม่ได้เหรอ”
“อ่านก่อนเถอะน่า”
พี่ยื่นจดหมายมาให้ฉัน ข้างหน้าประทับครั่งเป็นตราโรงเรียน
“ลัวร์ ซันดรา? คนใหญ่คนโตที่ไหนอีกล่ะเนี่ย แล้วนี่จดหมายจากใคร ทำไมถึงมีตราโรงเรียนได้”
“ถ้าสมองเธอยังดีอยู่ก็จะรู้ว่าซันดราเป็นตระกูลผู้ก่อตั้งโรงเรียน ส่วนตราประทับแบบนี้ก็ไม่ใช่ตราโรงเรียน แต่เป็นตราประจำตัวของผู้ก่อตั้ง หมายความว่าคนที่ส่งจดหมายฉบับนี้เป็นของผู้ก่อตั้ง—”
“แก่แล้วเลอะเลือนเหรอพี่ ผู้ก่อตั้งตายเกิดใหม่ไปสามรอบแล้วมั้ง จะมาส่งจดหมายอยู่ได้ยังไง”
“พูดอะไรระวังปากหน่อย เอาเป็นว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่รู้กันแค่หมู่ผู้อำนวยการก็แล้วกัน เชื่อฉันเถอะน่า แล้วก็ ถ้าจดหมายไม่ได้โกหก อีกประเดี๋ยวก็จะมีคนมาเคาะประตูห้องแล้วล่ะ”
เห็นที่พี่ฉันคงจะแก่แล้วเลอะเลือนจริง ๆ ถึงคิดว่าจะเกิดอะไรแบบนั้นขึ้นได้
ห้องผู้อำนวยการไม่ได้เข้ามาง่าย ๆ สักหน่อย ขนาดในหมู่อาจารย์ยังไม่ใช่ทุกคนเลยที่จะรู้วิธีเข้ามาที่นี่
แล้วกับคนแปลกหน้าที่ไหนไม่รู้จะเข้ามาได้—
“นั่นไง เห็นไหมล่ะ ไปเปิดประตูซะสิ”
มีเสียงเคาะประตู? ได้ยังไงกัน
ฉันจ้องไปตามเสียงนั้น กำลังจะเดินไปเปิดประตามที่พี่บอก แต่แล้ว ประตูก็เปิดเอง
ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ประตูห้องล็อกอยู่ด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่มีระบบเปิดอัตโนมัติด้วย
ฉันกับพี่จ้องตาเขม็งไปที่อีกฝั่งของประตู เห็นเป็นเด็กผู้ชายผมสีน้ำเงินเข้มถือจดหมายมาด้วยท่าทีมึนงง
เด็กคนนั้นยื่นจดหมายมาให้ยัยป้า เป็นจดหมายที่มีตราประทับเหมือนกับฉบับก่อนหน้านี้เปี๊ยบ พอเปิดอ่าน เธอก็ดูตกใจกับอะไรสักอย่าง
“ผู้ก่อตั้งบอกว่ายังไม่ตายแน่ะ ในจดหมายนี่น่ะ” ยัยป้ากระซิบให้ฉันได้ยินแล้วยื่นจดหมายให้ดู
…..โรงเรียนนี้มันบ้าอะไรเนี่ย
“ยินดีต้อนรับสู่เซนต์เอลิยา ขออนุญาตแนะนำตัวกันก่อน ดิฉันคือมาดามอัมบรา เป็นผู้อำนวยการของสถานศึกษาอันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ส่วนทางนี้คือคนที่จะเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาประจำชั้นเรียนของเธอ หัวหน้าภาควิชาฟิสิกส์ อาจารย์เอสมา เอสเมอรัลดา อิสคาริโอท”
ยัยป้าเริ่มวางมาดแล้วแนะนำตัวเองตามสูตรสำเร็จ ฉันตอบยินดีที่ได้รู้จักไปตามมารยาท แอบรู้สึกว่าเสียงสั่นนิดหน่อย แต่เด็กนั่นไม่ทันสังเกตหรอก “ยะ ยินดีที่ได้รู้จักครับ” เด็กนั่นตอบกลับมาแบบนี้ คงจะประหม่าเหมือนกันสิท่า
“ดิฉันทราบถึงเนื้อความในจดหมายแล้ว เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้—จากนี้รบกวนอาจารย์เอสมาดูแลนักเรียนประจำชั้นคนใหม่ด้วยนะ”
“ค-ค่ะ”
ฉันเหม่อไปสักพักระหว่างที่ยัยป้าพูด ก่อนที่จะได้ยินว่าฉันจะต้องเป็นอาจารย์ประจำชั้นหรืออะไรสักอย่าง ก็เลยเผลอตอบตกลงไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ
หมายความว่าต่อจากนี้ฉันต้องพาเด็กนี่เดินดูโรงเรียนเหรอ แล้วคาบเรียนล่ะ? คาบเรียนแสนรักของฉัน? จะไม่ได้สอนอีกแล้วเหรอ
ฉันเหลือบไปมองที่ยัยป้า แต่เธอยิ้มเหมือนแอบหัวเราะในใจ
‘ไม่นะ หมายความว่าจะให้บรรณารักษ์คนนั้นไปสอนแทนฉันอีกแล้วเหรอ นักเรียนแทบจะลืมว่าฉันเป็นครูกันแล้วนะ’ เป็นความคิดหนึ่งที่แวบเข้ามาในหัวตอนที่เห็นรอยยิ้มนั้น แต่ฉันยังมีความเป็นครูมากพอที่จะพานักเรียนใหม่เข้าสู่ระบบการศึกษา
แต่นักเรียนคนนั้นชื่อ…..จำไม่ได้ ฉันลืมชื่อนักเรียนไม่ได้อีกแล้ว
ความเป็นครูของฉันลดลงอีกแล้ว
“ที่นี่คือโถงใหญ่นักบุญเอลียาค่ะ เป็นโถงสำหรับงานพิธีหรืองานประชุมที่นักเรียนทุกคนต้องมารวมตัวกัน แต่ถ้าไม่มีงานอะไร ส่วนใหญ่ก็จะใช้เป็นที่พบปะกันระหว่างนักเรียนแต่ละชั้นปี เพราะว่านักเรียนแต่ละชั้นปีอาศัยอยู่คนละอาคารกัน โถงนี้เป็นจุดศูนย์กลางของอาคารทั้งหมด ก็เลยถือเป็นจุดนับพบที่ดีจุดหนึ่งเลย จะเรียกสั้น ๆ ว่าโถงใหญ่ก็ได้นะคะ” ฉันอธิบายไปตามที่จำได้ แต่เด็กคนนั้นดูจะสนใจอย่างอื่นมากกว่า ฉันก็เลยบอกไปว่า “แล้วก็…..ถ้ามาที่นี่ตอนเที่ยงคืน อาจจะมีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นก็ได้นะคะ” เพื่อสร้างจุดน่าสนใจขึ้นมา
ถามว่าถ้ามาที่นี่ตอนกลางคืนแล้วจะเกิดอะไรขึ้น
นั่นสินะ…..ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะอย่างนั้นถึงได้ยิ้มกลบเกลื่อนโดยหวังว่าจะไม่โดนถามอะไรอีก
“นักเรียนเข้ามาโรงเรียนตอนกลางคืนได้ด้วยเหรอครับ”
จริงสิ…..ลืมเรื่องนี้ไปสนิท นักเรียนปกติเข้ามาในโรงเรียนตอนกลางคืนไม่ได้นี่นา เป็นครูที่ปรึกษาชมรมดาราศาสตร์นานจนลืมเรื่องนี้ไปแล้ว
ไม่น่าโกหกหน้าตายกับเรื่องอะไรแบบนี้เลย ทำอะไรของฉันเนี่ย
“สิทธิพิเศษของนักเรียนชมรมดาราศาสตร์เท่านั้นค่ะ” ฉันตอบกลบเกลื่อน อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ไม่ได้โกหก แต่หวังว่าเด็กคนนี้จะไม่เข้าชมรมดาราศาสตร์เพราะเรื่องอะไรแบบนี้หรอกนะ
“ถ้ามองจากตรงนี้ เราจะสามารถเห็นอาคารหลักทั้งหมดของโรงเรียนได้ค่ะ”
มาถึงส่วนต่อไป ฉันต้องอธิบายเกี่ยวกับโรงเรียนโดยภาพรวมให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เพื่อให้เด็กคนนี้ลืมเรื่องโกหกที่พูดไปก่อนหน้านี้
“อาคารที่เราเพิ่งเดินออกมาเป็นอาคารหลักที่ใหญ่ที่สุดค่ะ มีทั้งหมดห้าชั้น โถงใหญ่อยู่ชั้นล่างสุดก็จริง แต่มีแสงผ่านมาได้เพราะความสูงของโถงใหญ่กินพื้นที่ทั้งห้าชั้น ส่วนชั้นอื่น ๆ จะอยู่รอบ ๆ โถงใหญ่ ส่วนใหญ่จะใช้เป็นห้องชมรมหรืออาคารเรียนรวมค่ะ ส่วนอาคารรอบ ๆ ที่เชื่อมอยู่กับอาคารหลักจะเป็นอาคารเรียนของแต่ละชั้นปี ลักษณะของการเชื่อมอาคารจะคล้ายกับจันทร์เสี้ยวที่มีอาคารหลักอยู่ตรงกลาง ส่วนฝั่งซ้ายและขวาจะมีอาคารย่อยฝั่งละสี่อาคาร ฝั่งซ้ายจะเป็นแผนกมัธยมต้น ส่วนฝั่งขวาจะเป็นแผนกมัธยมปลาย อาคารที่อยู่ขอบสุดและมีเพียงชั้นเดียวจะเป็นหอพักนักเรียนประจำค่ะ จะมีชั้นใต้ดินสำหรับรองรับนักเรียน ทำให้ไม่จำเป็นต้องสร้างให้สูงเหมือนกับอาคารอื่น ๆ ส่วนอาคารเรียนของมัธยมปลายปีหนึ่งจะอยู่ติดกับหอพักฝั่งขวา แล้วก็จะมีโรงอาหารอยู่ก่อนชั้นบนสุดของอาคารแต่ละชั้น ส่วนห้องเรียนโดยส่วนใหญ่จะอยู่ชั้นล่างสุด อาคารแต่ละอาคารจะมีทั้งทางเชื่อมบนพื้นและสะพานเชื่อมที่อยู่เหนือพื้น สามารถเดินไปมาหาสู่กันได้อิสระ แต่ลักษณะภายในอาจจะซับซ้อนสักหน่อย ต้องใช้เวลาสักพักเพื่อให้ชิน ส่วนชื่อของแต่ละอาคาร…..นั่นสินะ อาคารตรงกลางเรียกตามชื่อโถง อาคารของพวกปีสามฝั่งซ้ายคืออาคารนักบุญแพนดอรา ฝั่งขวาคืออาคารนักบุญเอ็ดมุนด์ ของพวกปีสองคือนักบุญลูนาร์กับนักบุญน็อกเทิร์น ส่วนของปีหนึ่งคือนักบุญคลอสกับนักบุญกาเรีย สำหรับหอพักจะแบ่งเป็นฝั่งมัธยมต้นปลายกับชายหญิง รวม ๆ ก็จะเป็นสี่อาคารย่อย ชื่อของหอพักฝั่งหญิงคือเซเลนาผู้แสวงบุญกับอาเธนส์ผู้สนองบุญ ส่วนหอพักฝั่งชายจะใช้ชื่อชาร์ลีผู้แสวงบุญกับปีเตอร์สเบิร์กผู้สนองบุญ แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีใครเรียกชื่อพวกนี้กันหรอก มันยาวเกินไปน่ะ แล้วก็—” ฉันพล่ามทุกอย่างที่นึกออกออกมาจนกระทั่งตัวฉันเองก็จำไม่ได้ว่าพูดอะไรไปบ้าง
ดูจากปฏิกิริยาของเด็กคนนี้แล้ว น่าจะลืมเรื่องที่ฉันพูดไปก่อนหน้านี้แล้วล่ะ
ต่อจากอาคารหลักก็เป็นหอสมุด หนึ่งในสถานที่ที่ฉันทั้งชอบและเกลียดในเวลาเดียวกัน
ฉันชอบปริมาณหนังสือและคลังความรู้ของที่นั่น แต่เกลียดหัวหน้าบรรณารักษ์
อันที่จริงก็ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก เธอก็แค่ทำตามหน้าที่ ฉันเองต่างหากที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันควรจะไปเกลียดยัยป้านั่นมากกว่าด้วยซ้ำ
“ที่นี่คือหอสมุดนักบุญมัวร์เต เป็นหอสมุดที่ใหญ่ที่สุดในประเทศนี้ มีทั้งหมดเจ็ดชั้น ชั้นแรกเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมได้ แต่ผู้มีสิทธิ์เข้าถึงหอสมุดชั้นสองเป็นต้นไปจะต้องเป็นนักเรียนของเซนต์เอลิยาเท่านั้น โดยสิทธิ์เข้าถึงก็จะมากขี้นตามชั้นปี สำหรับมัธยมปลายปีหนึ่งก็จะมีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลในหอสมุดได้ถึงชั้นห้า เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับเลือกเป็นผู้ดูแลหอสมุดซึ่งมีแค่คนเดียวในแต่ละชั้นปี ถ้านับในตอนนี้ก็มีผู้ดูแลชั้นละคนจากแต่ละชั้นปี ทั้งหมดก็หกคน รวมกับบรรณารักษ์ใหญ่ก็เป็นเจ็ด บรรณารักษ์ใหญ่ จิอากุ ไซโนะ เป็นคนแปลก ๆ ที่ชอบสวมกิโมโนสีดำลายดอกไม้แดงเดินไปมา ค่อนข้างเป็นคนน่ากลัวแต่มีความสามารถมาก ส่วนผู้ดูแลแต่ละชั้นเรียงตามชั้นปีจะถูกเรียกด้วยโค้ดเนม ได้แก่ มัธยมต้นปีหนึ่ง ห้อง F โอเทลโล มัธยมต้นปีสอง ห้อง D อันโตนิโย มัธยมต้นปีสาม ห้อง E โรเมโอ มัธยมปลายปีหนึ่ง ห้อง A แฮมเลต มัธยมปลายปีสอง ห้อง D แม็คเบ็ธ และมัธยมปลายปีสาม ห้อง B เลียร์ โดบที่ชื่อจริงของผู้ดูแลทุกคนจะไม่ถูกเปิดเผยจนกว่าจะจบการศึกษา และแน่นอนว่าผู้ที่ถูกคัดเลือกเป็นผู้ดูแลห้องสมุดได้จะต้องมีความสามารถพิเศษบางอย่างที่บรรณารักษ์ใหญ่มองเห็น แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่าความสามารถนั้นคืออะไรกันแน่ ต่อมาจะเป็นกฎการใช้ห้องสมุด—”
เป็นการพูดที่ใช้เวลานานกว่าที่คิด เนื้อหาส่วนใหญ่เป็นประเด็นยิบย่อยก็จริง แต่ก็ไม่ควรมองข้าม ใครจะไปรู้ว่าถ้าทำอะไรผิดจะโดนบรรณารักษ์คนนั้นจับไปต้มยำทำแกงอะไรบ้าง
น่าเสียดายที่วันนี้สะพานทอดไปหอสมุดไม่เปิดใช้เพราะบรรณารักษ์ไม่อยู่…..ด้วยสาเหตุที่ฉันไม่อยากพูดถึง จะนั่งเรือไปก็กระไรอยู่ แต่ฉันจะให้เด็กคนนี้รู้เรื่องที่ฉันไม่เข้าสอนไม่ได้ ก็เลยบอกไปว่าหอสมุดจะเปิดใช้สะพานแค่เวลาที่ไม่มีการเรียนการสอนเท่านั้น
ดูเหมือนจะเชื่อด้วย ถ้าแบบนั้นก็ดีไป
“สำหรับวันนี้พอแค่นี้ก่อน ขอให้โชคดีกับชีวิตนักเรียนในโรงเรียนแห่งนี้นะคะ ส่วนเรื่องหอพักทางโรงเรียนจัดการให้เรียบร้อยแล้ว เข้าพักได้ตามสะดวกเลยค่ะ”
และแล้วหน้าที่ของฉันในวันนี้ก็จบลง…..ควรจะเป็นแบบนั้น
“ไม่ได้เจอกันนานนะคะ คุณเอสเมอรัลดา วันนี้ลืมแต่งชุดคอสเพลย์เหรอคะ”
คนที่ฉันไม่อยากเจอที่สุด บรรณารักษ์ใหญ่ แถมยังพูดจี้จุดน่าอายของฉันด้วย เธอพูดแบบนั้นแล้วเดินออกจากห้องไป ฉันแค่มารายงานกับทำเอกสารที่ห้องผู้อำนวยการแท้ ๆ ทำไมต้องเจอเธอด้วยล่ะเนี่ย
“คุณไซโนะมารายงานเรื่องผู้ดูแลห้องสมุดน่ะ ผู้ดูแลคนใหม่เป็นนักเรียนห้องเธอใช่ไหมล่ะ คุณแฮมเลต ฮาเมโลเทีย แอนเดอร์สัน ได้ยินมาว่าเป็นอัจฉริยะสุด ๆ เลยนี่”
“ชื่อจริงของผู้ดูแลห้องสมุดจะต้องถูกเก็บเป็นความลับ พี่พูดอะไรของพี่เนี่ย”
ยัยป้านั่นพูดเรื่องที่ควรจะเก็บเป็นความลับหน้าตาเฉย ทำไมคนแบบนี้ถึงมาเป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนระดับนี้ได้กัน
“เอาเถอะ ช่างเรื่องนั้นไปก่อน แล้วก็ไม่ต้องรายงานอะไรเกี่ยวกับนักเรียนใหม่ด้วย ฉันรู้หมดแล้ว ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่า”
อยู่ดี ๆ ยัยป้าก็เปลี่ยนจากน้ำเสียงขี้เล่นเมื่อกี้ไปเป็นโทนซีเรียส
“ทำไมถึงมีคนใช้ตัวตนปลอมเข้าไปแฝงตัวอยู่ในหมู่นักเรียนได้ล่ะ”
“……ใครนะคะ?”
โรงเรียนเซนต์เอลียามีนักเรียนอยู่ประมาณห้าร้อยสี่สิบคน มีบุคลากรอีกไม่รู้กี่ร้อยคน และประมาณยี่สิบเปอร์เซนต์ในนั้นใช้ชื่อปลอมเพราะทางผู้อำนวยการอนุญาตให้ใช้ได้
แต่ตอนนี้กำลังเจอปัญหาคนใช้ตัวตนปลอมแฝงตัวอยู่กับนักเรียนเนี่ยนะ
คำถามคือ ทำไมถึงเพิ่งรู้กันล่ะ? เป็นถึงผู้อำนวยการเชียวนะ
นี่ฉันเป็นน้องสาวของคนคนนี้จริง ๆ เหรอเนี่ย…..?