ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 105 สิบเอ็ดศพ
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 105 สิบเอ็ดศพ
จวินฉีเซิ่งก้าวเท้าเข้าไปในท้องพระโรง ภายในท้องพระโรงมีเพียงอวี้ฉือกงกับอวี้ฉือจ้าน แล้วก็หลี่เฉิงเย่ที่เดินอยู่ข้างหน้าเท่านั้น หากจะบอกว่ายังมีใครอีก ก็เหลือเพียงท่านอ๋องรองอวี่เหวินเจี๋ยที่ไม่ค่อยคุ้นเคยเท่าไหร่แล้ว
อวี้ฉือกงย่อมไม่ต้องพูดถึงอยู่แล้ว อวี้ฉือจ้านกับอวี้เหวินเจี๋ยสามารถกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจที่สุดในทั่วทั้งต้าเยียนแห่งนี้ ทั้งสามคนล้วนปรากฏตัวอยู่ในตำหนักใหญ่แห่งนี้ สถานการณ์ถือได้ว่าอยู่ในสภาวะที่คับขันอย่างมาก
จวินฉีเซิ่งเคยเจอกับสถานการณ์น้อยใหญ่มาแล้วนับไม่ถ้วน มีเพียงตอนที่เห็นอวี้ฉือจ้านเท่านั้น ที่อดรู้สึกประหม่าขึ้นมาไม่ได้
อวี้ฉือจ้านคือคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดที่เขาเคยเจอมา ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะรู้จักกันและกันไม่มากนัก แต่หลังจากที่พบหน้ากันแล้ว จวินฉีเซิ่งถึงต้องยอมรับว่า ธรรมะสูงหนึ่งคืบมารร้ายสูงหนึ่งศอก และอวี้ฉือจ้านคือจ้าวแห่งใต้หล้าคนหนึ่ง ถ้าหากว่าเป็นฮ่องเต้ ไม่อาจไม่พูดว่าทั่วทั้งใต้หล้านี้จะไม่ใช่ของเขา
“ฮ่องเต้ฉี ที่เชิญท่านมาในครั้งนี้ เพราะต้องการจะถามท่านดูว่า ในพื้นที่ล่าสัตว์เมื่อวานนี้ ท่านรู้สถานการณ์ภายในอะไรหรือไม่?”
จวินฉีเซิ่งถึงได้ละสายตากลับมาจากอวี้ฉือจ้าน กล่าวถามด้วยท่าทางที่แสร้งทำเป็นไม่รู้: “เรื่องที่ฮ่องเต้เยียนกับเซ่อเจิ้งหวางถูกลอบสังหารพร้อมกัน ในพื้นที่ล่าสัตว์ใช่หรือไม่?”
อวี่เหวินเจี๋ยกล่าวว่า: “เมื่อวานฝ่าบาทถูกมือสังหารลอบโจมตีที่ด้านนอกพื้นที่ล่าสัตว์ แต่มือสังหารก็ฆ่าทหารที่อยู่นอกพื้นที่ล่าสัตว์ไปเพียงสิบกว่านายเท่านั้น จากนั้นก็ถอนกำลังออกจากด้านนอกพื้นที่ล่าสัตว์ แล้วหนีเข้าไปในพื้นที่ล่าสัตว์ ตอนที่ใต้เท้าหลี่ออกไปตรวจค้น ก็ไม่พบศพของมือสังหารพวกนั้น แสดงว่าพวกเขาหลบหนีไปแล้ว ทันทีหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นกับเซ่อเจิ้งหวางและคุณหนูรองของตระกูลกู้ นี่มันจะไม่บังเอิญไปหน่อยหรือ”
“แล้วนี่มันเกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วย? ข้ามิได้รู้เห็นในเรื่องนี้ ที่ข้ามาในครั้งนี้เพราะต้องการผูกสัมพันธ์กับต้าเยียนด้วยความจริงใจ แล้วจะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? หรือว่าจะมีผู้ไม่หวังดี ต้องการจะใช้โอกาสนี้ยุแหย่ความสัมพันธ์ของแคว้นฉีกับต้าเยียน ดังนั้นจึงมาใส่ร้ายข้า?”
จวินฉีเซิ่งพูดได้อย่างจริงใจมาก ราวกับกำลังบอกเป็นนัยๆว่าคนของซีจิ้งมีเจตนายุแหย่ความสัมพันธ์ของสองแคว้น ถ้าหากเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องราวภายในของเหตุการณ์ บางทีอาจจะถูกจวินฉีเซิ่งหลอกให้ผ่านพ้นไป คิดว่าซีจิ้งจงใจใส่ร้ายจริงๆ แต่ว่าอวี้ฉือจ้านรู้อยู่แล้วหน่วยกล้าตายพวกนี้ล้วนเป็นคนของจวินฉีเซิ่ง ดังนั้นไม่ว่าจวินฉีเซิ่งจะพูดอย่างคล่องแคล่วโน้มน้าวจิตใจเก่งแค่ไหน ก็ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย
อวี้ฉือจ้านเอ่ยปากกล่าวว่า: “ข้างกายของฮ่องเต้ฉีขาดใครไปใช่หรือไม่? องครักษ์ที่มักจะติดตามอยู่ข้างกายของฮ่องเต้ฉี ไม่ทราบว่าไปที่ไหนแล้ว?”
ในใจของจวินฉีเซิ่งมีความมั่นใจอยู่แล้ว คิดว่าฮุยเยาถูกพบเข้าแล้ว แต่นั่นก็ไม่เป็นอะไร ถึงแม้ฮุยเยาจะถูกจับแล้ว ร่างกายของเขาก็มีพิษกู่อยู่นานแล้ว ไม่มีความเป็นได้ที่จะมีชีวิตรอดเด็ดขาด ถึงเวลานั้นพิษกู่จะกัดกร่อนรูปร่างหน้าตา ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถระบุตัวตนที่แท้จริงของศพได้
จวินฉีเซิ่งกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล: “องครักษ์ที่ติดตามอยู่ข้างกายข้าหายตัวไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ใดแล้ว”
“ฮ่องเต้ฉีไม่รู้ว่าองครักษ์ที่อยู่ข้างกายของท่านอยู่ที่ไหน ข้ากลับรู้ดีอย่างชัดเจน!”
ฝู้จื่อโม่ก้าวเท้าเข้ามาจากด้านนอกประตูตำหนัก บนใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
จวินฉีเซิ่งมองพิจารณาขึ้นลงฝู้จื่อโม่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะมาที่ต้าเยียนก็จดจำรูปร่างหน้าตาขุนนางสำคัญของต้าเยียนจากภาพวาดอย่างชัดเจนแล้ว เวลานี้กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก: “ท่านผู้นี้คือ?”
“ข้าขอแนะนำตัวเองก็แล้วกัน! ข้าชื่อฝู้จื่อโม่ ขุนนางระดับสอง”
จวินฉีเซิ่งพยักหน้า ในใจไม่รู้ว่าฝู้จื่อโม่หาหลักฐานอะไรมาได้กันแน่ ถึงกับสามารถพาตัวฮุยเยามาที่ตำหนักใหญ่ได้
นึกถึงพิษกู่ที่อยู่ในร่างกายของฮุยเยา หัวใจที่กำลังเต้นโครมครามของจวินฉีเซิ่งก็ค่อยๆผ่อนคลายลงมา มีพิษกู่ขององค์หญิงหลัวซู่แห่งเหมียวเจียง ทันทีที่ฮุยเยาถูกจับ พิษกู่จะต้องกำเริบ ใบหน้าเน่าเปื่อยจนตายไป จะไม่ทิ้งจุดอ่อนใดๆให้คนจับได้อย่างแน่นอน
อวี้ฉือกงเลิกคิ้ว กระแอมไอเสียงหนึ่ง กล่าวว่า: “ฝู้ซื่อจื่อ เมื่อครู่นี้เจ้าบอกว่ารู้ว่าองครักษ์ที่อยู่ข้างกายของฮ่องเต้ฉีอยู่ที่ไหน เป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
ฝู้จื่อโม่กล่าวว่า: “กราบทูลฝ่าบาท เมื่อวานตอนที่เซ่อเจิ้งหวางถูกลอบสังหารได้เก็บพยานปากที่รอดชีวิตจากการถูกสังหารเอาไว้คนหนึ่ง ฝากฝังเอาไว้ให้กระหม่อม ตอนนี้กระหม่อมส่งตัวกลับมา หวังให้ฮ่องเต้ฉีได้เห็น”
ฝู้จื่อโม่โบกไม้โบกมือ กล่าวว่า: “ทหารๆ ยกตัวคนขึ้นมา!”
เห็นเพียงองครักษ์ที่อยู่หน้าประตูสี่คนยกเก้าอี้อ่อนนุ่มเอาไว้ เดินเข้ามาในประตูตำหนัก ผู้ชายคนหนึ่งที่แขนขาที่ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ เอียงศีรษะและนอนหลับตาอยู่ด้านบน แต่อาศัยเพียงรูปร่างหน้าตานั่น คือฮุยเยาอย่างไม่ต้องสงสัยจริงๆ
จวินฉีเซิ่งมองดูฮุยเยาที่อยู่บนเก้าอี้อ่อนนุ่มนั่นอย่างไม่อยากจะเชื่อ พิษกู่อยู่ในตัวของฮุยเยาตลอดแท้ๆ แต่ว่าเพราะเหตุใดมันถึงไม่กำเริบ? !
ร่างกายไม่ได้เน่าเปื่อย บนใบหน้ายังมีชีวิตชีวา สามารถมองเห็นทุกอนูรูขุมขนได้อย่างชัดเจน แขนขาดูแล้วก็ไม่แข็งทื่อเลยแม้แต่น้อย ดูไม่เหมือนคนตายคนหนึ่งจริงๆ
จวินฉีเซิ่งฝืนบังคับจิตใจให้สงบนิ่ง กล่าวถาม: “เขาคือคนของข้าไม่ผิด เพียงแต่ว่าหลังจากพื้นที่ล่าสัตว์เมื่อวานนี้เขาก็หายตัวไป ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาไปที่ไหน ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส กลับบอกว่าเขาลอบสังหารเซ่อเจิ้งหวางแล้วถูกจับเป็น? บางทีพวกเจ้าอาจจะจับตัวองครักษ์ข้างกายของข้าเอาไว้ จากนั้นก็มาโยนความผิดให้ข้า!”
“เอ๋? ฮ่องเต้ฉีกล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูกต้องแล้ว ที่นี่เรายังมีศพอีกหลายศพ ถ้าอย่างไรมาดูพร้อมกันเลยดีไหม?”
ฝู้จื่อโม่ปรบมือ เห็นเพียงคนสองสามคนยกศพเข้ามาวางไว้ในตำหนักใหญ่ทีละศพ มีทั้งหมดสิบเอ็ดศพ ถ้าหากรวมกับฮุยเยาแล้ว เช่นนั้นก็จะมีศพสิบสองศพพอดี
ฝู้จื่อโม่กล่าวว่า: “ยกตัวคนร้ายออกไป เฝ้าเอาไว้ให้ดี”
“ขอรับ”
“ช้าก่อน!”
จวินฉีเซิ่งจ้องมองไปที่ฮุยเยาอย่างไม่ละสายตา กล่าวว่า: “นี่คือองครักษ์ของข้า ในเมื่อยังไม่ตาย ข้าย่อมต้องพากลับไปดูแลรักษาเป็นอย่างดี ไม่รบกวนฝู่ซื่อจื่อดูแลแทนแล้ว”
“ทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก นี่คือคนร้ายคนสำคัญที่ลอบสังหารเซ่อเจิ้งหวาง ถ้าหากเป็นคนที่ฮ่องเต้ฉีส่งมาลอบสังหารเซ่อเจิ้งหวางจริงๆล่ะ? ฮ่องเต้ฉีรีบร้อนขอตัวกลับไปขนาดนี้ หรือว่าต้องการจะฆ่าคนเพื่อปิดปาก?”
จู่ๆจวินฉีเซิ่งก็ก้าวเข้ามาข้างหน้าก้าวหนึ่ง ต้องการจะชิงตัวฮุยเยากลับมา แต่ว่าฝู้จื่อโม่ชิงยืนอยู่ข้างหน้าของจวินฉีเซิ่งก่อนก้าวหนึ่ง กล่าวถามด้วยใบหน้ายิ้มระรื่น: “หรือว่าฮ่องเต้ฉีจะใช้กำลังแย่งชิงต่อหน้าฮ่องเต้ของเรา?”
จวินฉีเซิ่งปั้นหน้าเย็นชา กล่าวว่า: “ฝู้ซื่อจื่อพูดเรื่องอะไรกัน? ข้าก็แค่อยากจะดูอาการบาดเจ็บของเขาเสียหน่อย ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่อยู่ข้างกายของข้า หรือแค่จะดูอาการบาดเจ็บของเขาหน่อยก็ไม่ได้?”
ฝู้จื่อโม่กล่าวปฏิเสธอย่างเด็ดขาด: “ไม่ได้ ฮุยเยาคนนี้เป็นคนร้ายคนสำคัญ ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าฮ่องเต้ฉีจะไม่มีการกระทำอะไรที่เป็นอันตรายต่อคนร้ายได้”
ฝู้จื่อโม่มองดูจวินฉีเซิ่งที่หน้าเขียวหน้าดำด้วยความสนใจอย่างมาก จากนั้นก็โบกมือให้กับคนที่อยู่ด้านหลัง คนที่อยู่ด้านหลังก็ยกตัวฮุยเยาออกไป
“รอให้เขาตื่นขึ้นมาแล้ว ข้าย่อมจะซักถามให้ชัดเจน ใครกันแน่ที่เป็นคนสั่งการให้ลอบสังหารเซ่อเจิ้งหวางแห่งแคว้นข้า ถ้าหากสืบออกมาได้ ไม่ว่าจะเป็นการทำสงคราม หรือว่าอะไรอย่างอื่น ต้าเยียนเราก็จะทุ่มสุดกำลังความสามารถ ทำลายล้างศัตรู ไม่มีการปรานีแม้แต่น้อยอย่างแน่นอน”
จวินฉีเซิ่งหรี่ตาลงอย่างคุกคาม กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร: “คำพูดนี้ของฝู้ซื่อจื่อ ก็คือกำลังสงสัยว่าการลอบสังหารเซ่อเจิ้งหวางเป็นฝีมือของข้าเช่นนั้นหรือ?”
ฝู้จื่อโม่กล่าวออกมาอย่างไม่หลีกเลี่ยงเลยแม้แต่น้อย: “ถูกต้อง!”
“เจ้า!”