ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 125 สันนิษฐานฆาตกร
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 125 สันนิษฐานฆาตกร
สาเหตุเพียงหนึ่งเดียว ก็เพราะตระกูลฉินทำเกินขอบเขต
กู้ชิวเหลิ่งนึกถึงงานเลี้ยงแห่งแคว้นในวันนั้น ฉินเจิ้งเป่าต้องการให้บุตรีของตนแสดงฝีมือต่อหน้าอวี้ฉือกง การทำเช่นนั้นส่อเจตนาที่อยากเป็นนางสนมของอวี้ฉือกง
ทว่าภายหลัง ฉินโม่เอ๋อร์กลับได้รับการแต่งตั้งเป็นองค์หญิงเหอชิน ออกเรือนไกลถึงแคว้นฉี มีนัยเป็นการตักเตือน
กู้ชิวเหลิ่งจึงกล่าว “เพราะฉินโม่เอ๋อร์หรือ?”
อวี้ฉือจ้านมองกู้ชิวเหลิ่งอย่างพอใจ เอ่ย “เจ้ามองออกได้อย่างไร?”
“จู่ๆ องค์หญิงเหอชินก็กลายเป็นฉินโม่เอ๋อร์ แค่จุดนี้ก็เพียงพอให้รู้สึกแปลกแล้ว”
ฉินโม่เอ๋อร์กลายเป็นองค์หญิงเหอชินอย่างกะทันหัน กระทั่งว่าไม่มีผู้ใดทราบว่าตระกูลฉินมีบุตรีคนหนึ่ง
แต่เพราะการเปิดตัวในงานเลี้ยงวังหลวง ถูกแต่งตั้งเป็นองค์หญิง ออกเรือนไปแคว้นฉี นี่สามารถถือได้ว่าเป็นเรื่องที่พบพานได้ยากโดยแท้
อวี้ฉือจ้านเอ่ย “ข้าตัดสินใจไม่ผิดเลยจริงๆ ที่เลือกเจ้าเป็นชายา”
รถม้าจอดแอบอยู่ตรงประตูข้างของจวนเซ่อเจิ้งหวาง อวี้ฉือจ้านประคองกู้ชิวเหลิ่งลงจากรถม้า จีเฟิงรออยู่ตรงทางเข้านานแล้ว เอ่ย “ใต้เท้าจางรออยู่ที่ห้องหนังสือพักหนึ่งแล้วขอรับ”
อวี้ฉือจ้านพยักหน้าแล้วเอ่ยกับกู้ชิวเหลิ่งที่อยู่ด้านข้าง “ในสวนของข้าอากาศเย็น ข้าจะให้จีเฟิงนำชุดคลุมมาให้เจ้าสักตัว”
กู้ชิวเหลิ่งอมยิ้ม เอ่ย “เซ่อเจิ้งหวางห่วงว่าข้าจะหนาวหรือไม่ มิสู้ห่วงใต้เท้าจางในห้องหนังสือดีกว่า ตอนนี้เขาน่าจะกำลังกลัดกลุ้มเรื่องการตายของฮูหยินใหญ่อยู่”
เป็นตามการคาดการณ์ของกู้ชิวเหลิ่ง ครั้นอวี้ฉือจ้านเข้าห้องหนังสือ จางหย่วนเต้าก็กำลังนั่งกระวนกระวายอยู่บนเก้าอี้ ดื่มชาจนหมด เมื่อเห็นอวี้ฉือจ้านมาจึงเอ่ยด้วยความเคารพนอบน้อม “กระหม่อมจางหย่วนเต้าเซ่าชิงแห่งศาลต้าหลี่ คารวะเซ่อเจิ้งหวาง”
“ไม่ต้องมากพิธี”
อวี้ฉือจ้านตัวสูงใหญ่กำยำ บังร่างของกู้ชิวเหลิ่งมิดชิด เมื่อกู้ชิวเหลิ่งเดินออกมาจากข้างหลังอวี้ฉือจ้าน จางหย่วนเต้าก็ผงะ “หนิงจวิ้นจู่? นี่…”
อวี้ฉือจ้านเอ่ย “วันนี้หนิงจวิ้นจู่มาหาข้า บอกว่าในบ้านเกิดเรื่อง มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับฆาตกรตัวจริงแล้ว แต่เพราะคนในครอบครัวอยู่ด้วยจึงไม่สะดวกเอ่ยปาก ดังนั้นจึงมาหาข้า หวังจะได้สนทนากับใต้เท้าจางสักหน่อย”
จางหย่วนเต้ามองกู้ชิวเหลิ่งและอวี้ฉือจ้านด้วยสีหน้าฉงนฉงาย ราวกับไม่เข้าใจว่ากู้ชิวเหลิ่งมีความเกี่ยวข้องอันใดกับอวี้ฉือจ้าน
อวี้ฉือจ้านมองออกถึงข้อสงสัยในใจจางหย่วนเต้า ดังนั้นจึงเอ่ยปาก “ใต้เท้าจางมิต้องสงสัย หนิงจวิ้นจู่เคยช่วยชีวิตข้าจากพื้นที่ล่าสัตว์ ข้าจะช่วยหนิงจวิ้นจู่ก็เป็นเรื่องสมควร”
อวี้ฉือจ้านมีบุญคุณที่สนับสนุนจางหย่วนเต้าจนได้เลื่อนตำแหน่ง ครั้นจางหย่วนเต้ามีท่าทีจะอธิบายก็ร้อนใจรีบเอ่ย “กระหม่อมไม่กล้าสงสัย เพียงแต่กระหม่อมกำลังกลัดกลุ้มกับคดีที่ฮูหยินก็ถูกสังหาร ยามนี้เมื่อหนิงจวิ้นจู่มีข้อสันนิษฐาน ย่อมเป็นประโยชน์กับกระหม่อม กระหม่อมต้องสืบคดีนี้อย่างสุดความสามารถแน่นอน”
กู้ชิวเหลิ่งสบตากับอวี้ฉือจ้านทีหนึ่ง อวี้ฉือจ้านจึงแสร้งเป็นไม่สนใจนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะหนังสือ หยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาตามอัธยาศัย เอ่ย “ฐานะของหนิงจวิ้นจู่ไม่ธรรมดา พวกเจ้าสามารถพูดความลับต่อหน้าข้าได้ จะไม่มีผู้ใดล่วงรู้ นี่ก็เพื่อชื่อเสียงของหนิงจวิ้นจู่ ใต้เท้าจางขัดข้องหรือไม่?”
“หนิงจวิ้นจู่เป็นอิสตรี ทั้งยังเป็นถึงจวิ้นจู่ ฐานะย่อมไม่ธรรมดา กระหม่อมไม่ขัดข้อง”
เมื่อนั้นกู้ชิวเหลิ่งจึงเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ทราบใต้เท้าจางมีบุคคลต้องสงสัยแล้วหรือยัง?”
จางหย่วนเต้าไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “วันนี้เจ้าหน้าที่ชันสูตรได้ชันสูตรศพแล้ว ฮูหยินกู้เสียชีวิตเพราะถูกรัดคอจากด้านหลังจนสิ้นลม แต่กลับมีเรื่องแปลกอย่างหนึ่ง”
“มีอะไรแปลกหรือ?”
“ตรงคอของฮูหยินกู้มีรอยแผลสองจุด จุดหนึ่งน้ำหนักค่อนข้างน้อย ไม่ถึงกับทำให้เสียชีวิต แต่บาดแผลอีกจุดกลับรัดหลอดลมฮูหยินกู้จนขาด ดังนั้นการสันนิษฐานเบื้องต้นคือฆาตกรมีสองคน”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ แต่นั่นก็เพียงชั่วเดี๋ยวเดียวก่อนจะเผยรอยยิ้ม เอ่ย “ที่ใต้เท้าจางกล่าวว่าฆาตกรมีสองคน ความเป็นไปได้นี้ย่อมเกิดขึ้นได้ แต่ยังมีการอธิบายที่ดีกว่า”
“เช่นนั้นหรือ? หนิงจวิ้นจู่มีความคิดแล้ว?”
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ย “ฆาตกรมีเพียงคนเดียว เพียงแต่คนผู้นั้นมีกำลังน้อย ครั้งแรกขณะลงมือเพียงแค่ทำให้ท่านแม่หมดสติ แต่ภายหลังพบว่าท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ จึงรัดคอสังหารท่านแม่อีกครั้ง การอธิบายอย่างนี้จะเหมาะสมกว่าหรือไม่?”
“เออ…”
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยต่อ “ใต้เท้าจางลองพิจารณาดูให้ดี ถ้าฆาตกรมีสองคน ครั้งแรกท่านแม่แค่ถูกรัดคอ แต่ยังไม่เสียชีวิต ในเมื่อถูกทำร้าย ก็น่าจะร้องตะโกนสิ แต่นางกลับไม่ หากสองคนลงมือสังหารท่านแม่ก่อนหลังเป็นลำดับ เช่นนั้นก็น่าแปลกเกินไป คนเดียวก็สามารถสังหารได้แล้ว ไยต้องมีสองคนด้วย?”
ครั้นกู้ชิวเหลิ่งเห็นจางหย่วนเต้ากำลังใคร่ครวญจึงเอ่ยปาก “ความจริงข้ารู้แล้วว่าฆาตกรคือใคร และสามารถอธิบายได้ด้วยว่าเหตุใดคอของท่านแม่จึงมีสองรอย รอยหนึ่งเบา รอยหนึ่งหนัก”
ดวงตาจางหย่วนเต้าพลันเป็นประกาย เอ่ย “จวิ้นจู่ทราบ?”
“ถูกต้อง วันนี้ตอนที่อยู่ในจวน ใต้เท้าจางสังเกตน้องสามผู้นั้นของข้าหรือไม่?”
เมื่อกู้ชิวเหลิ่งเอ่ยขึ้น จางหย่วนเต้าก็มีภาพจำทันที วันนี้อากัปกิริยาของกู้ชิวเยว่มีพิรุธจริงๆ ต่างจากเมื่อก่อนมาก จางหย่วนเต้าจำได้ดี ดังนั้นจึงเอ่ย “หนิงจวิ้นจู่หมายถึง แม่นางน้อยอายุสิบสามผู้นั้น? เป็นไปไม่ได้กระมัง?”
กู้ชิวเหลิ่งหัวเราะเบาๆ เอ่ย “ความจริงวันนี้ตอนที่ใต้เท้าจางยังไม่มา ข้าก็สังเกตเห็นปฏิกิริยาแปลกๆ ของน้องสามแล้ว ดังนั้นจึงใช้เรื่องผีสางทำให้นางกลัว หากใต้เท้าจางอยากทราบว่าฆาตกรใช่นางหรือไม่ เราก็ใช้เรื่องผีสางเทวดามาหลอกสักหน่อย การหลอกให้สารภาพเช่นนี้น่าจะเป็นลูกไม้ที่ศาลต้าหลี่ทำเป็นประจำกระมัง?”
เมื่ออวี้ฉือจ้านเห็นจางหย่วนเต้าถูกเกลี้ยกล่อมจนเชื่อแล้วจึงไม่ออกโรง สายตาทอดตกอยู่บนร่างเย็นชาของกู้ชิวเหลิ่งอีกครั้ง ฉายรอยยิ้มบนใบหน้า
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยต่อ “พรุ่งนี้ยามจื่อ ใต้เท้าจางแค่ส่งคนสักสองสามคนมาเล่นละครสักหน่อย เรื่องทั้งหมดก็จะกระจ่าง”
จางหย่วนเต้าพิจารณาครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะกลับไปเตรียมของที่จำเป็นเดี๋ยวนี้”
“มีแค่ยมทูตขาวดำ การริบวิญญาณจากนรก กับ…ดวงวิญญาณของท่านแม่ก็พอ”
เมื่อได้ฟังจางหย่วนเต้าก็พลันเข้าใจความหมายที่กู้ชิวเหลิ่งกล่าว จึงเอ่ยกับอวี้ฉือจ้านที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะหนังสือ “กระหม่อมจะกลับไปเตรียมการ ขอตัวก่อน”
อวี้ฉือจ้านพยักหน้าลอยๆ รอจนจางหย่วนเต้าจากไปแล้วจึงวางหนังสือในมือ เอ่ย “เจ้าน่าจะรู้ว่าฆาตกรคือเอี้ยนซานเหนียง ด้วยกำลังของแม่นางน้อยอายุสิบสามไม่สามารถแขวนฉินเซียงเหลียนขึ้นกับขื่อได้”
กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ดื่มน้ำชาอึกหนึ่งแล้วจึงตอบ “ความจริงไม่ใช่เรื่องสำคัญ ที่สำคัญคือเอี้ยนซานเหนียงเป็นคนของท่าน มือสังหารฆ่าคนจะทิ้งหลักฐานได้อย่างไร? แต่กู้ชิวเยว่ก็ไม่ได้ถูกปรักปรำ โดยรวมคงอยากฆ่าฮูหยินใหญ่แต่กระทำการไม่สำเร็จเท่านั้น”