ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 126 ทุ่งหญ้า
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 126 ทุ่งหญ้า
นับจากปฏิกิริยาของกู้ชิวเยว่ในวันนั้น กู้ชิวเหลิ่งก็มีความคิดที่จะผลักดันกู้ชิวเยว่ให้เป็นผู้ต้องสงสัย
ประการแรกคือเอี้ยนซานเหนียงจะได้หลุดจากการเป็นผู้ต้องสงสัย ประการที่สองคือสามารถเพิ่มความขัดแย้งระหว่างตระกูลฉินและตระกูลกู้ได้
อวี้ฉือจ้านเอ่ย “เรื่องก็ดำเนินมาถึงครึ่งทางแล้ว ไม่ทราบขั้นตอนต่อไปคุณหนูรองจะให้ข้าทำอะไรบ้าง?”
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้ว “ในเมื่อเซ่อเจิ้งหวางต้องการปลุกปั่นให้ทั้งสองตระกูลต่อสู้กัน แน่นอนว่าต้องราดเกลือบนบาดแผล เพิ่มความร้อนแรงจึงจะสนุก และเรื่องเดียวที่เพิ่มความเข้าใจผิดของทั้งสองตระกูลได้ ก็มิใช่เรื่องกู้ชิวเซียงและฉินเซียงเหลียนหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวได้ถูกต้องโดยแท้ แม้แต่อวี้ฉือจ้านก็ยังพึงพอใจพยักหน้า
ยามนี้กู้ชิวเหลิ่งกำลังสวมชุดคลุมสีรากบัวอยู่ ข้างในเป็นสีเขียวอ่อน เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงไฟงดงามยิ่ง แววตาของอวี้ฉือจ้านกลายเป็นอ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ เอ่ย “ดึกมากแล้ว ข้าจะให้จีเฟิงส่งเจ้ากลับไป”
“ขอบคุณเซ่อเจิ้งหวางมาก”
กู้ชิวเหลิ่งไม่ได้เกรงใจอวี้ฉือจ้าน นับแต่วันแรกที่พบกับอวี้ฉือจ้าน นางก็ทราบอุปนิสัยของคนผู้นี้ว่าเป็นคนพูดคำไหนเป็นคำนั้น แต่สถานการณ์ในเวลานี้ต่างจากอดีตแล้ว นางมิไม่ใช่บุตรีอนุที่ไม่สะดุดตาอีก ในฐานะที่เป็นหนิงจวิ้นจู่แห่งต้าเยียน หากออกนอกเคหสถานกลางดึกแล้วเจอกับคนร้ายจะต้องเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงแน่
หากได้จีเฟิงคุ้มครองอยู่ข้างกายก็จะปลอดภัยไร้กังวล
อวี้ฉือจ้านส่งกู้ชิวเหลิ่งออกจากห้องหนังสือ แหงนหน้ามองท้องฟ้าอันไร้เมฆหมื่นลี้ หลังจากครุ่นคิดอีกพักหนึ่งแล้ว ก็พลันเอ่ยขึ้น “ข้าจะส่งเจ้ากลับไป”
กู้ชิวเหลิ่งเม้มริมฝีปาก อย่างไรก็รู้สึกทะแม่งๆ ที่อวี้ฉือจ้านนั่งรถม้าคันเดียวกับนาง ดังนั้นจึงเอ่ย “เซ่อเจิ้งหวางมีงานมากมาย เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย ไม่รบกวนให้ท่านส่งด้วยตนเองหรอก”
“ข้าจัดการงานเรียบร้อยแล้ว จะส่งว่าที่ชายาสักหน่อยมีอะไรไม่เหมาะหรือ?”
จีเฟิงเหลือบมองฎีกาที่กองพะเนินเป็นภูเขาเลากาในห้องหนังสือแวบหนึ่ง ไอแห้งทีหนึ่ง นั่นยังเรียกว่าจัดการงานเรียบร้อยแล้วหรือ?
กู้ชิวเหลิ่งย่อมสังเกตเห็นฎีกาที่อยู่บนโต๊ะนั่นด้วย แต่กลับเลิกคิ้วยิ้มมุมปาก “ได้ ในเมื่อเซ่อเจิ้งหวางมีอารมณ์ผ่อนคลาย เช่นนั้นก็รบกวนแล้ว”
อย่างไรที่เสียก็มิใช่เวลาของนาง ในเมื่ออวี้ฉือจ้านยินดีที่จะเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์ เช่นนั้นก็ไม่มีอะไรที่จะไม่ได้
จีเฟิงกระแอมกระไออีกหน ฎีกาที่อยู่บนโต๊ะเหล่านั้นไม่ใช่ฎีกาธรรมดา วันพรุ่งยังต้องถวายให้ฝ่าบาททอดพระเนตรอีก ถึงตอนนั้นหากส่งฎีกาพวกนี้ไปไม่ทัน เรื่องบ้านเมืองต้องช้าไปอีกหลายวันแน่
อวี้ฉือจ้านไม่เพียงไม่ยี่หระ อีกทั้งยังรู้สึกน่าสนใจยิ่ง ดังนั้นจึงสั่งจีเฟิง “ไปเรียกฝู้ซื่อจื่อมา ให้เขามาที่ห้องหนังสือ สาเหตุรายละเอียดให้เขาขบคิดเอาเอง”
จีเฟิงขนลุกขนพองไปทั้งตัว เป็นที่ทราบกันดีว่าฝู้จื่อโม่ไม่ชอบอ่านหนังสือราชการ จำได้ว่าคราวก่อนนายของตนให้ฝู้จื่อโม่อ่านหนังสือราชการ สุดท้ายฝู้จื่อโม่เหม่อไปครึ่งเดือนก็ยังไม่มีชีวิตชีวา สำหรับฝู้จื่อโม่ช่วงเวลานั้นเรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความมืดมน ขอเพียงมีตัวหนังสือปรากฏอยู่ตรงหน้า เขาก็เป็นต้องกระวนกระวายอย่างอดกลั้นไม่อยู่
“แบบนี้…ไม่ดีกระมังขอรับ ดึกมากแล้ว เกรงว่าฝู้ซื่อจื่อจะพักผ่อนแล้ว…”
“เช่นนั้นก็หิ้วเขามาจากบนเตียง”
ใบหน้าจีเฟิงปรากฏอารมณ์หมดความอาลัยอาวรณ์แห่งชีวิตแล้ว เขาเป็นผู้ที่ต้องล่วงเกินคนดังคาด คราวที่แล้วล่วงเกินเซียนพิษเมิ่งจิ่วไป มาคราวนี้ยังต้องล่วงเกินฝู้จื่อโม่อีก
“ข้าน้อย…รับทราบ”
กู้ชิวเหลิ่งราวกับไม่เห็นความโศกเศร้าอาดูรที่มีอยู่เต็มใบหน้าจีเฟิง ใช้โอกาสนี้จัดการฝู้จื่อโม่สักหน่อยก็เหมือนว่าจะไม่เลว
หลังจากนั่งบนรถม้า อวี้ฉือจ้านและกู้ชิวเหลิ่งก็ปราศจากวาจาตอกัน ผู้ใดก็ไม่คิดจะปริปาก
กระทั่งรถม้าเคลื่อนตัวไปแล้วหนึ่งก้านธูป กู้ชิวเหลิ่งจึงเอ่ยปากขึ้นก่อน “ดึกมากแล้ว เซ่อเจิ้งหวางวางแผนจะพาข้าไปที่ใดหรือ?”
อวี้ฉือจ้านที่กำลังหลับตาอยู่ในทีแรกพลันลืมตาขึ้น เอ่ย “เจ้ารู้สึกผิดปกติตั้งแต่ขึ้นรถแล้ว?”
“ใช่”
“เช่นนั้นยังขึ้นรถม้ามากับข้าอีก ไม่กลัวว่าข้าจะทำมิดีมิร้ายกับเจ้าหรือ?”
“เซ่อเจิ้งหวางเคยกล่าวว่าไม่มีความสนใจใดๆ กับนังเด็กอายุสิบสี่ หนำซ้ำท่านกับข้ายังมีบทบัญญัติสามประการ เซ่อเจิ้งหวางน่าจะจำได้กระมัง?”
อวี้ฉือจ้านหัวเราะ แล้วเอ่ยเสียงหนัก “ข้าแค่จู่ๆ ก็เกิดความคิดแปลกๆ อยากพาเจ้าไปสถานที่น่าสนใจแห่งหนึ่ง”
“ความจริง ข้าเหนื่อยมากแล้ว ไม่อยากไปที่ใดอีก”
ที่กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยในเวลานี้ ก็เพราะอยากดูสิว่าอวี้ฉือจ้านจะมาไม้ไหนอีก แต่เวลานี้ดูแล้วน่าจะไม่เกี่ยวข้องกับแผนการของนาง
น้ำเสียงของอวี้ฉือจ้านน่าดึงดูดยิ่ง ทว่ายามนี้กลับพกพาความอ่อนโยนเล็กน้อย “ที่ข้าอยากพาเจ้าไปดู คือทุ่งหญ้า”
สายตากู้ชิวเหลิ่งพลันแปลกประหลาด คล้ายยิ้มเยาะ “เซ่อเจิ้งหวางกำลังล้อเล่นอยู่กระมัง? ถึงจะเป็นชานเมืองของเมืองหลวงก็ไม่มีทุ่มหญ้า ทุ่งหญ้ามีลักษณะเป็นพื้นที่โล่งกว้าง แม้แต่พื้นที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์ก็ไม่นับว่าใช่ ท่านบอกข้าว่าตอนนี้จะพาข้าไปทุ่งหญ้า? นั่นมิต้องใช้เวลาหนึ่งเดือนหรือ?”
ต่อให้คนขับรถม้าและม้าต่างเหนื่อยตาย ก็ไม่แน่ว่านางกับอวี้ฉือจ้านจะสามารถถึงชายแดนแคว้นฉีได้
อวี้ฉือจ้านหัวเราะขึ้น “เจ้าจะดูแคลนข้าเกินไปแล้ว ถึงจะไม่ใช่ทุ่งหญ้าจริงๆ แต่ก็พอให้เจ้าเที่ยวสำราญได้ครึ่งวัน”
ในใจกู้ชิวเหลิ่งมีความสงสัยหนึ่ง ที่จริงนางชอบมองดูทุ่งหญ้าสุดลูกหูลูกตามาก ครั้นแหงนหน้าก็เป็นท้องฟ้าสีครามเมฆสีขาว ทอดสายตาไกลออกไปก็เป็นทุ่มหญ้าเขียวขจี ขี่ม้าร้องเพลง เลี้ยงแพะขี่ม้าทุกวัน นิสัยก็พลอยร่าเริงไปด้วย
ครั้งยังเด็ก ท่านพ่อเคยพาท่านพี่และนางไปพบกับท่านอาชนเผ่าหนึ่งที่ทุ่งหญ้า อาศัยระยะสั้นหนึ่งเดือน นั่นเป็นวันเวลาที่นางอิสระที่สุด
อวี้ฉือจ้านเห็นความคาดหวังเสี้ยวหนึ่งในดวงตาที่ราวกับน้ำในทะเลสาบน้ำแข็ง
นับว่าเขาไม่ได้เสียแรงเปล่า
กู้ชิวเหลิ่งถูกอวี้ฉือจ้านพยุงลงมาจากรถม้า หากคำนวณจากเวลา อย่างมากพวกเขาก็เพิ่งออกจากประตูเมืองหลวง แต่ล่วงเลยมาถึงยามนี้แล้ว ประตูเมืองหลวงมีองครักษ์เฝ้าประจำอยู่ พวกเขานั่งรถม้าธรรมดา หากออกเมืองหลวงต้องถูกซักถามแน่ แต่ในช่วงที่กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่บนรถม้ากลับไม่ได้ยินเสียงคนซักถามว่าบนรถม้าคือผู้ใดหรือเสียงเปิดประตูเมืองเลย
ขณะลืมตาขั้น สีหน้ากู้ชิวเหลิ่งก็หยุดชะงัก ถึงแม้ว่านี่จะนับไม่ได้ว่าเป็นทุ่งหญ้าจริงๆ แต่สถานที่กว้างขวางเพียงพอ ครั้นมองไปจนสุดสายตาก็สามารถเห็นเนินเขาได้รางๆ ทว่าด้านหน้ากลับเป็นพื้นที่เขียวขจีขนาดราวๆ สี่เท่าของจวนเซ่อเจิ้งหวาง
อากาศทั้งบริเวณสดชื่นบางเบา สายลมโชยหนาวเล็กน้อย กลับเหมือนกับที่กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกได้จากทุ่งหญ้า หากไม่ใช่เพราะเห็นเนินเขาที่อยู่สุดทาง นางก็รู้สึกเหมือนได้มาทุ่งหญ้าอย่างไรอย่างนั้น
กู้ชิวเหลิ่งดึงสติกลับมาจากความตะลึง ถาม “ท่านทำได้อย่างไร?”
นางกลับไม่ทราบว่าในเมืองหลวงยังมีสถานที่เช่นนี้
“นี่คือห้องเก็บสมบัติของอดีตฮ่องเต้”
ห้องเก็บสมบัติย่อมเป็นศัพท์บรรยาย กู้ชิวเหลิ่งสามารถเห็นความไพศาลได้จากดวงตาของอวี้ฉือจ้าน ไม่เพียงทุ่งหญ้าเทียมผืนนี้ แต่ที่นางเห็นนั้นราวกับจะเป็นอนาคตของต้าเยียนด้วย