ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 127 ตกจากม้า
อวี้ฉือจ้านจูงม้ามาสองตัว กู้ชิวเหลิ่งสำรวมตา ได้ยินเขาเอ่ย “คราวที่แล้วเจ้าพูดปดว่าเจ้าขี่ม้าไม่เป็น แต่จากที่ข้าดู เจ้าน่าจะชอบเรื่องเหล่านี้”
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ย “ที่เซ่อเจิ้งหวางครึ้มอกครึ้มใจพาข้ามาที่นี่ หรือแค่รู้สึกว่าข้าจะชอบ?”
อวี้ฉือจ้านยกยิ้มที่มุมปาก “คุณหนูรองไม่คิดว่าข้ากำลังเอาใจเจ้าหรือ?”
“เป็นถึงเซ่อเจิ้งหวางแต่กลับมาเอาใจอิสตรี มิกลัวจะเสียเกียรติของตัวเองหรือ?”
“ข้าจะเข้าหาสตรีที่ตัวเองชอบ ไฉนต้องสนใจการวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นด้วย?”
พวงแก้มของกู้ชิวเหลิ่งขับเน้นเป็นสีแดงระเรื่อยภายใต้แสงจันทร์ อวี้ฉือจ้านกล่าวด้วยถ้อยคำจริงใจ จึงทำให้กู้ชิวเหลิ่งเกิดความรู้สึกหวั่นไหวอย่างยากจะได้เห็น คงเพราะคุ้นเคยกับกลิ่นอายโดยรอบอยู่บ้าง จึงชวนให้นึกถึงเรื่องราวในอดีตอันอบอุ่น ส่งผลให้แสบปลายจมูกเล็กน้อย
กู้ชิวเหลิ่งเบือนหน้า เอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวานใส “ในเมื่อเซ่อเจิ้งหวางก็จูงม้ามาแล้ว หรือจะแค่พูดเรื่องพวกนี้กับข้า?”
ไม่รอให้อวี้ฉือจ้านเอ่ยปาก กู้ชิวเหลิ่งก็พลิกตัวขึ้นม้า เนื่องจากม้าที่อวี้ฉือจ้านเจาะจงจูงมาค่อนข้างเตี้ย ดังนั้นกู้ชิวเหลิ่งจึงขึ้นม้าได้สะดวก
“ยังไม่ขึ้นม้าอีก?”
อวี้ฉือจ้านทะยานตัวขึ้น เจือรอยยิ้มที่มุมปาก ขณะขึ้นม้ารวดเร็วฉับไว สูงกว่ากู้ชิวเหลิ่งมากกว่าคืบ แม้ไม่ได้อยู่ในชุดเกราะ แต่กลับสง่าจนชวนให้รู้สึกน่าเกรงขาม เป็นขุนศึกที่ออกรบในสมรภูมิ
“ในเมื่อคุณหนูรองนึกสนุก เช่นนั้นพวกเราก็มาแข่งม้ากัน คุณหนูรองคิดเห็นเป็นอย่างไร?”
กู้ชิวเหลิ่งสูดอากาศทีหนึ่ง รู้สึกปลอดโปร่งเป็นพิเศษ “ม้าของเซ่อเจิ้งหวางดูจะกำยำกว่าของข้ามาก หากข้าแพ้ก็สมแก่เหตุผลอยู่ ไม่ยุติธรรมกระมัง?”
“ถ้าเจ้าชนะ ข้าจะรับปากคำขอของเจ้าเรื่องหนึ่งอยากไม่มีเงื่อนไข ถ้าเจ้าแพ้ ข้าจะมอบทองคำให้เจ้าหมื่นตำลึง เจ้าเห็นเป็นอย่างไร?”
ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ สุดท้ายผู้ชนะก็ยังเป็นกู้ชิวเหลิ่ง
กู้ชิวเหลิ่งนึกสนใจอย่างที่คิด “ในเมื่อเซ่อเจิ้งหวางใจกว้าง เช่นนั้นเราก็มาแข่งกันสักรอบเถิด”
“เชิญ”
กู้ชิวเหลิ่งขี่ม้านำไปก่อน อวี้ฉือจ้านตามไปติดๆ อยู่ด้านหลัง เขาเห็นเงาร่างกู้ชิวเหลิ่งบนหลังม้างดงามเหลือล้ำ เส้นผมสยายปลิวไปตามสายลมวิกาล ชายกระโปรงพลิ้วไหวอยู่กลางอากาศ
อวี้ฉือจ้านเผยรอยยิ้ม จากนั้นก็เร่งความเร็วขึ้นไปอยู่ข้างกู้ชิวเหลิ่ง กู้ชิวเหลิ่งก็ไม่ยอมแพ้ ดึงระยะห่างออกจากอวี้ฉือจ้านอีกระยะหนึ่ง
กลิ่นหญ้าระคนดินเข้าโพรงจมูกของกู้ชิวเหลิ่ง ชวนให้รู้สึกผ่อนคลายสำเริงใจมากขึ้น
“กู้ชิวเหลิ่ง ข้าขอตัวไปก่อน!”
จู่ๆ อวี้ฉือจ้านก็ห้อม้าเร็วขึ้น ส่วนกู้ชิวเหลิ่งกลับชะงักงัน ปรากฏถ้อยคำหนึ่งในสมอง “พระชายา!ข้าน้อยขอตัวไปรายงานท่านอ๋องก่อน! แล้วจะส่งทหารมาช่วยพระชายาทีหลัง!”
กู้ชิวเหลิ่งดึงสายบังเหียนแน่นขึ้น เจ็บในหัวใจจี๊ด ลูกของนางต้องเสียไปเพราะแผนการชั่วร้ายของจวินฉีเซิ่ง นางโคลงอยู่บนหลังม้าจนตาย ส่วนลูกก็แท้งไปด้วยเหตุนี้…
ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้ กู้ชิวเหลิ่งก็จะรู้สึกว่ามีความแค้นพลุ่งพล่านขึ้นมา
อวี้ฉือจ้านรู้สึกผิดปกติทันที ขณะควบม้าย้อนกลับมา เขากลับเห็นสีหน้ากู้ชิวเหลิ่งเย็นเยียบ จู่ๆ ก็ควบม้าเร็วขึ้น ขี่มาถึงข้างตัวอวี้ฉือจ้านแล้ว แววตานั้นเต็มไปด้วยความเคียดแค้น เมื่อนั้นอวี้ฉือจ้านจึงตะโกนเสียงหนัก “กู้ชิวเหลิ่ง!”
กู้ชิวเหลิ่งราวกับไม่ได้ยิน เพิ่มความเร็วม้ายิ่งขึ้น อวี้ฉือจ้านที่ทิ้งอยู่ข้างหลังได้แต่ตามไปติดๆ พยายามจะตามอีกฝ่ายให้ทัน ทว่าทุกครั้งที่จะตามทันกู้ชิวเหลิ่งก็ลงแส้ม้าหนัก แรงนั้นราวกับจะเฆี่ยนม้าให้ตาย
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ม้าที่กู้ชิวเหลิ่งขี่อยู่ต้องคลั่งแน่
“หยุด! กู้ชิวเหลิ่ง! หยุด!”
ทันใดนั้นม้าเด็กก็แผดเสียงร้องทีหนึ่ง ยกเท้าหน้าขึ้นสูง จังหวะนั้นความเคียดแค้นของกู้ชิวเหลิ่งจึงลดลงประมาณหนึ่ง จำได้ว่าตอนที่นางอยู่ในค่ายทหารของหนานชางโหวก็ควบม้าห้อหนึ่งวันหนึ่งคืน จนกระทั่งทำม้าชั้นยอดเหนื่อยตายไปตัวหนึ่ง นางตกลงมาจากหลังม้าสูง ขณะนั้นนางปวดท้องน้อยจนไร้ความรู้สึกไปแล้ว นอนอยู่บนพื้นราวกับคนตาย เลือดแดงฉานนองอยู่เต็มพื้น
อวี้ฉือจ้านโพล่งปาก “กู้ชิวเหลิ่ง!”
เขาเห็นกู้ชิวเหลิ่งกลิ้งลงมาจากหลังม้า ม้าเด็กล้มลงกับพื้น ส่วนนางกลับกระเด็นออกไปประหนึ่งว่าวสายขาด แน่นิ่งอยู่บนพื้นราวกับไม่มีชีวิต
อวี้ฉือจ้านดึงสายบังเหียนแล้วพลิกตัวลงจากม้า วิ่งไปถึงตรงหน้ากู้ชิวเหลิ่งแล้วประคองตัวนางขึ้นมา
กู้ชิวเหลิ่งลืมตาอยู่ ครั้นเห็นเนื้อตัวไม่มีบาดแผลภายนอก อวี้ฉือจ้านจึงโล่งอก เพียงแต่เห็นมือของกู้ชิวเหลิ่งถูกสายบังเหียนรัดจนมีเลือดออกเป็นรอย และรอยแผลนั้นช่างชวนให้ตกใจเมื่อพบเห็น
“ยังเจ็บตรงไหนอีก? ไม่ขยับเขยื้อนจนข้ายังนึกว่าเจ้า…”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วน้อยๆ เอ่ย “เหมือนว่าจะกระเทือนถูกบาดแผลที่ไหล่ซ้าย ตัวก็เลยขยับไม่ได้ครึ่งซีก”
หากไม่ใช่เพราะกระเทือนกับแผลที่ไหล่ซ้าย เมื่อครู่นางก็คงไม่ถึงกับตกลงมาจากหลังม้าได้ไม่น่าดูขนาดนั้น
อวี้ฉือจ้านอุ้มกู้ชิวเหลิ่งขึ้น เอ่ยเสียงหนัก “ก็แค่การแข่งขันธรรมดา ไยเจ้าต้องจริงจังเช่นนี้ด้วย?”
กู้ชิวเหลิ่งหรี่ม่านตาลง ดีที่อวี้ฉือจ้านไม่ได้สงสัยมาก นึกว่านางแค่อยากเอาชนะจึงทุ่มเทสุดกำลัง เมื่อนั้นจึงโล่งอกเอ่ย “วาจาของเซ่อเจิ้งหวางหรือจะมีค่าเพียงทองคำหมื่นตำลึง? ข้าก็ต้องจริงจังอยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะเสียไปเปล่าๆ ต้องเสียใจภายหลังแน่”
อวี้ฉือจ้านอุ้มกู้ชิวเหลิ่งขึ้นม้า ก่อนจะควบม้าก็เอ่ยเสียงต่ำขึ้นว่า “ข้าจะรับปากเจ้าเรื่องหนึ่ง”
กู้ชิวเหลิ่งช้อนตาขึ้น เห็นเค้าโครงแบ่งสัดส่วนชัด คิ้วดุจดาบคม ท่วงท่าสง่างามชวนชม มีความเฉียบแฝงอยู่ในนัยน์ตาดำลึก รูปร่างสูงโปร่งแข็งแกร่ง เผยกลิ่นอายหยิ่งทะนงและไม่แยแสสรรพสิ่ง
อวี้ฉือจ้านอุ้มกู้ชิวเหลิ่งกระชับมากขึ้นอีกหน่อย กู้ชิวเหลิ่งแนบอยู่กับทรวงอกของอวี้ฉือจ้าน รู้สึกได้ถึงการเต้นของหัวในที่ราวกับกลอง พาลให้รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก
“ข้าจะส่งเจ้ากลับจวน ให้เมิ่งจิ่วตรวจอาการบาดเจ็บของเจ้า”
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ย “แต่ฟ้าใกล้จะสางแล้ว ถึงตอนกลับจวนโหวจะไม่สะดวกหลายๆ อย่าง”
อวี้ฉือจ้านเลิกคิ้วนิดๆ “ข้าส่งเจ้ากลับไปด้วยตัวเอง จะไม่ให้ผู้ใดพบเห็น อีกอย่าง เจ้ากลัวหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งหลับตาและไม่ได้เอ่ยวาจาอีก ตอนนี้ฮูหยินใหญ่ของจวนโหวก็เสียชีวิตแล้ว ปราศจากภัยคุกคามตัวฉกาจ ยังมีอะไรให้กลัวอีก? ส่วนกู้หนานเฉิงและกู้ชิวถางก็เข้าวังไปประชุมเช้าแต่เช้ามืด ไม่มีเวลาสนใจนาง สวนเฉินเซียงก็มีจูเอ๋อร์อยู่ ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่สงสัยว่านางไม่อยู่ในสวน
อวี้ฉือจ้านควบม้าเร็วแต่มั่นคง ดังนั้นบาดแผลที่ไหล่ซ้ายจึงไม่ได้รับความกระทบกระเทือน ครั้นถึงจวนเซ่อเจิ้งหวาง จีเฟิงก็รออยู่ที่ประตูข้างนานแล้ว เมื่อเห็นกู้ชิวเหลิ่งกลับมาอีก สีหน้าก็เคร่งเครียดเล็กน้อย เอ่ยอย่างเคารพนอบน้อม “เรียนท่านอ๋อง ฝู้ซื่อจื่อกำลังสะสางงานราชการแล้วขอรับ”
สายตาจีเฟิงเหลือบไปมองร่างของกู้ชิวเหลิ่ง หากให้ฝู้ซื่อจื่อเห็นนายของตนอุ้มคุณหนูรองตระกูลกู้เข้า ไม่แน่ว่าจะก่นด่าอะไรออกมาอีก
อวี้ฉือจ้านอุ้มกู้ชิวเหลิ่งเข้าประตูข้างแล้วจึงสั่ง “ไปตามเมิ่งจิ่วมา”