ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 129 อำพันอนงค์
อำพันอนงค์เป็นยาสูตรลับของวังหลวง แค่อวี้ฉือจ้านได้ยินชื่อก็หน้าตึงไปครึ่งหนึ่งแล้ว
ทว่ากู้ชิวเหลิ่งกลับไม่ได้หน้าแดง เอ่ย “เปิดยาอีกขวดให้ข้าดมหน่อย”
อวี้ฉือจ้านตอบเสียงหนัก “ได้”
อีกขวดหนึ่งมีกลิ่นขมปนหวาน น่าจะเป็นยาดีในการรักษาอาการบาดเจ็บภายใน
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ย “ขวดนี้น่าจะใช้ได้ ส่วนอีกขวด…ทิ้งไปเถอะ”
อวี้ฉือจ้านเทยาลงในน้ำ เมื่อนั้นบ่อน้ำแร่ก็มีกลิ่นยาฟุ้งตลบอบอวล
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกว่าผิวพรรณเย็นสดชื่น คล้ายขจัดความร้อนในกาย พาลให้รู้สึกสบายยิ่ง
มือของอวี้ฉือจ้านแตะอยู่ตรงไหล่ซ้ายของกู้ชิวเหลิ่ง แล้วส่งพลังกล้ามา คล้ายจะทะลวงเส้นเลือด จากนั้นก็รู้สึกความเจ็บนิดๆ แต่ความเจ็บนั้นกลับถูกฤทธิ์ยาในบ่อน้ำแร่ขจัดไป
เขาสัมผัสได้ถึงความเนียนละเอียดและเย็นเฉียบของกู้ชิวเหลิ่ง และชั่วขณะนั้นอวี้ฉือจ้านก็มีความคิดอยากรั้งตัวนางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดอย่างแน่น
อวี้ฉือจ้านสะบัดหน้ากำจัดความคิดฟุ้งซ่าน จากนั้นจึงเดินลมปราณต่อ
กระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม กู้ชิวเหลิ่งจึงยกแขนซ้ายขึ้นได้ ถึงยังปวดและเจ็บอยู่ แต่ก็ขยับได้แล้ว
อวี้ฉือจ้านเก็บฝ่ามือ ใบหน้าถูกความร้อนจากบ่อน้ำแร่รมจนแดงระเรื่อแล้ว “เจ้าขึ้นมาเองได้หรือไม่”
“ได้”
อวี้ฉือจ้านออกมาจากบ่อน้ำแร่ ยืนหันหลังแล้วแกะผ้าที่ปิดตาออก จากนั้นก็โยนเสื้อผ้าบนพื้นไปที่มือกู้ชิวเหลิ่ง
กู้ชิวเหลิ่งใส่เสื้อผ้าแล้วเกล้าผมขึ้น เอ่ย “ขอบคุณเซ่อเจิ้งหวางที่ช่วย ดึกมากแล้ว ข้าควรกลับไปเสียที”
อวี้ฉือจ้านหันกายกลับมา เห็นกระดูกไหปลาร้าของกู้ชิวเหลิ่งยังมีหยดน้ำอยู่ ยั่วยวนใจเป็นพิเศษ
อวี้ฉือจ้านเอ่ยเสียงหนัก “ข้าจะไปส่งเจ้า”
“ได้”
จีเฟิงยืนอยู่นอกบ่อน้ำแร่ ส่วนเมิ่งจิ่วก็นอนหาวอยู่บนหินเย็น
เมื่ออวี้ฉือจ้านและกู้ชิวเหลิ่งเดินออกมา ทั้งสองก็ตั้งสติ ดวงตาจับจ้องอยู่กับอวี้ฉือจ้านและกู้ชิวเหลิ่ง ราวกับต้องการเห็นอะไรจากทั้งสอง
อวี้ฉือจ้านคล้ายกับอารมณ์ดีมาก เอ่ยเสียงเข้ม “จีเฟิง เจ้าส่งเมิ่งจิ่วกลับไป คืนนี้ไม่ต้องกลับมาแล้ว”
ร่างกายจีเฟิงกระตุกทีหนึ่ง มักรู้สึกถึงลางสังหรณ์ร้ายอย่างหนึ่ง
“ท่านอ๋อง หากข้าน้อยไม่กลับมา…แล้วยังจะไปที่ใดได้อีกขอรับ?”
อวี้ฉือจ้านเย็นชานิดๆ “ก็พักอยู่กับเมิ่งจิ่ว”
สีหน้าจีเฟิงแข็งทื่อจนถึงที่สุด ภายในห้องมืดสนิทของเมิ่งจิ่วเลี้ยงแมงป่องพิษ งูพิษแล้วยังถึงกับมีแมงมุมพิษด้วย ทุกครั้งที่เขาไปยังอดหวาดหวั่นพรั่นพรึงจากส่วนลึกของหัวใจไม่ได้ อวี้ฉือจ้านจะให้เขานอนกับเมิ่งจิ่ว นี่แทบเป็นการทดสอบคุณสมบัติทางจิตใจของเขาเลยทีเดียว
เขาจึงตัดสินใจว่าคืนนี้จะไม่นอนแล้ว
ทว่าเป็นตายอย่างไรเมิ่งจิ่วก็ไม่ยอม จึงแย้งขึ้น “ทำไมต้องให้เขาไปพักบ้านข้าด้วย! เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าผู้นี้ไม่ชอบอยู่ร่วมห้องกับคนอื่น? เสียแรงที่ข้าช่วยเจ้า…”
“ข้าน้อยรับทราบ! เมิ่งเซียนเซิง ข้าน้อยจะส่งท่านกลับไปเดี๋ยวนี้!”
เป็นที่รู้กันว่าหากให้เมิ่งจิ่วกล่าวต่อ เขาคงต้องเสียคืนวันอันสงบสุขโดยสิ้นเชิงแน่
“ไม่…หมายความว่าอะไร? ข้ายังพูดไม่จบ…”
เมิ่งจิ่วขัดขืนสุดกำลัง แต่สุดท้ายก็ยังถูกจีเฟิงลากออกไปไกลลิบ
อวี้ฉือจ้านโอบกู้ชิวเหลิ่งไว้ในอ้อมแขน กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยขึ้นอย่างขัดขืนเล็กน้อย “ข้ากลับเองได้”
“ฟ้าจะสางแล้ว นั่งรถม้ากลับไป อยากให้คนอื่นเห็นหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งเงียบ เมื่อนั้นอวี้ฉือจ้านก็ทะยานตัวขึ้น แม้จะพากู้ชิวเหลิ่งไปด้วย แต่วิชาตัวเบาก็ใช้ได้พอดีถึงที่สุด
ศศิธรลอยเด่นบนฟากฟ้า ดาราพร่างพราวห้วงราตรี
กู้ชิวเหลิ่งแนบกับอยู่กับทรวงอกของอวี้ฉือจ้าน ด้วยแสงจันทร์ในชั่ววูบหนึ่งกลับทำให้หัวใจนางสั่นคลอน
ขณะนี้ล่วงเลยมาถึงช่วงกลางวันของวันถัดมาแล้ว น้อยครั้งที่กู้ชิวเหลิ่งจะนอนเป็นเวลานานขนาดนี้ จูเอ๋อร์จึงไม่กล้ารบกวน
เมื่อคืนตอนที่อวี้ฉือจ้านมาส่งกู้ชิวเหลิ่ง จูเอ๋อร์ก็ผล็อยหลับไปเพราะทนต่อความง่วงไม่ไหว ดังนั้นพอเช้าวันนี้เห็นคุณหนูของตนหลับสนิทจึงไม่ได้ปลุกกู้ชิวเหลิ่งให้ตื่น
นี่ยังเป็นครั้งหนึ่งอันหาได้ยาก ที่นางเห็นคุณหนูของตนไม่ฝันร้าย ทั้งยังหลับลึก
กู้ชิวเหลิ่งฝืนยันตัวเองลุกขึ้นนั่ง ไหล่ซ้ายที่ดีขึ้นจากเมื่อคืน วันนี้จึงกลายเป็นปวดเมื่อยชานิดๆ
จูเอ๋อร์เดินเข้ามาหา เอ่ย “คุณหนู เมื่อกี้มีคนหนึ่งมาจากปากประตู เหมือนว่าจะเป็นคนข้างกายของเซ่อเจิ้งหวาง เอาหีบใบใหญ่มาวางไว้ที่ห้องด้านข้างของพวกเราด้วยล่ะเจ้าค่ะ”
“หีบใบใหญ่?”
กู้ชิวเหลิ่งเพิ่งตื่นนอน คนข้ากายของเซ่อเจิ้งหวางที่จูเอ๋อร์กล่าว น่าจะเป็นจีเฟิง
แต่มันเป็นอะไรกันแน่ ถึงกับต้องใช้หีบหามมา?
กู้ชิวเหลิ่งเลิกผ้าห่มแล้วลงจากเตียง “ไป ไปดูกัน”
จูเอ๋อร์รีบเข้าประคองกู้ชิวเหลิ่ง เอ่ย “บ่าวก็ไม่รู้ว่าในข้างเป็นอะไรเจ้าค่ะ รู้แต่เพียงหนักมาก”
ครั้นกู้ชิวเหลิ่งเดินไปถึงห้องด้านข้างก็เห็นหีบเหล็กใบหนึ่ง บนนั้นยังห้อยแม่กุญแจไว้
“กุญแจ”
จูเอ๋อร์ล้วงกุญแจจากแขนเสื้อแล้ววางในเมืองกู้ชิวเหลิ่ง เอ่ย “นี้เจ้าค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งเปิดหีบออก เป็นทองคำห่อด้วยกระดาษน้ำมันเป็นแท่งๆ แค่เห็นแวบเดียวก็ทำให้ดวงตาเบิกโตได้แล้ว
จูเอ๋อร์สูดลมเย็นเข้าเฮือกหนึ่ง นางยังไม่เคยเห็นทองคำมากขนาดนี้มาก่อน
สมองกู้ชิวเหลิ่งพลันปรากฏภาพที่อวี้ฉือจ้านนั่งอยู่บนหลังม้า ขณะนั้นยังไม่รู้แพ้ชนะ แต่อวี้ฉือจ้านจะรับปากนางเรื่องหนึ่ง ทว่าแม้แต่ทองคำหมื่นตำลึงก็ยังส่งมาด้วย
จูเอ๋อร์ไม่อยากจะเชื่อ เอ่ย “คุณหนู ทำไมเซ่อเจิ้งหวางถึงมอบทองคำมากมายขนาดนี้มาล่ะเจ้าคะ!”
กู้ชิวเหลิ่งส่ายหน้าหัวเราะเสียงเบา เอ่ย “คล้องกุญแจเอาไว้ ต่อไปหากข้าไม่อนุญาตก็ห้ามผู้ใดเข้าห้องด้านข้างอีก”
“เจ้าค่ะ!”
กู้ชิวเหลิ่งลูบไหล่ซ้ายเบาๆ อุณหภูมิที่อวี้ฉือจ้านเดินลมปราณให้นางเมื่อคืนยังคงหลงเหลืออยู่
ตกบ่ายจางหย่วนเต้าก็มาเป็นแขกตามคาด ขณะที่กู้ชิวเหลิ่งเดินเข้าไปในห้องโถง จางหย่วนเต้าก็กำลังดื่มชากับกู้หนานเฉิงอยู่ โดยมีอี๋เหนียงรองและกู้ชิวเยว่อยู่ด้านข้าง กู้ชิวถางน่าจะติดพันเรื่องในกองทัพ ดังนั้นจึงไม่อาจมาได้
“ใต้เท้าจาง”
สายตาที่จางหย่วนเต้ามองกู้ชิวเหลิ่งคาดเดาได้ยากเล็กน้อย จากนั้นจึงเอ่ยอย่างเป็นมารยาท “หนิงจวิ้นจู่”
กู้ชิวเยว่ไม่ชอบท่าทางของกู้ชิวเหลิ่งอยู่บ้าง จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร “ใต้เท้าจางไม่จำเป็นต้องเรียกหนิงจวิ้นจู่ทุกคราไปหรอก ตอนนี้อยู่ในจวนโหว พี่รองก็เป็นแค่บุตรสาวของพวกเราตระกูลกู้เท่านั้น เรียกว่าคุณหนูรองก็พอ หนิงจวิ้นจู่ชื่อนี้ก็เป็นเพียงชื่อจอมปลอมที่อุปโลกน์ขึ้นมาเท่านั้น พี่รองคงไม่ถือกระมัง?”
จางหย่วนเต้าหัวเราะเย็น เอ่ย “วาจานี้ผิดถนัด หนิงจวิ้นจู่ยังคงเป็นจวิ้นจู่ที่ฝ่าบาททรงแต่งตั้งด้วยพระองค์เอง พระนามบัญญัติอยู่ในหนังสือลำดับราชวงศ์แล้ว มีอิสริยยศขั้นสอง ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ต้องขนานนามว่าจวิ้นจู่ นั่นจึงจะควรแก่มารยาท แต่คุณหนูสามต่างออกไป คุณหนูสามเป็นเพียงบุตรสาวของจวนโหว ไม่ว่าไปที่ใดก็เรียกได้เพียงคุณหนูสามกู้”
“เจ้า!”
กู้หนานเฉิงตวาด “กู้ชิวเยว่! เจ้ายังมีลักษณะของคุณหนูตระกูลใหญ่หรือไม่! ช่วงนี้ข้าตามใจเจ้ามากไปจริงๆ! ยังไม่ถอยไปข้างๆ อีก!”