ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 132 เสียสติชนกำแพงตาย
ในวันนี้ กู้หนานเฉิงได้ถวายฎีกาว่าภรรยาที่ล่วงลับและลูกสาวที่รักได้เสียชีวิตไปทีละคนๆ อวี้ฉือกงปลอบโยนไปสองสามคำ ส่วนตระกูลฉินได้ถวายฎีกาขอให้อวี้ฉือกงทรงอนุญาตให้มีพิธีศพท่ามกลางการแต่งงานของทั้งสองแคว้น
เดิมทีก็ขัดต่อกฎระเบียบ แต่อวี้ฉือกงกลับทรงรับปาก
ในคุกศาลต้าหลี่ กู้ชิวเยว่ถูกขังไว้ในห้องขังหญิง ซึ่งด้านในมืดมิดและอับชื้น ไม่มีแสงสว่างเลยสักนิด ผู้คุมนำชามอาหารที่ถือว่ายังสามารถกลืนกินลงไปได้ชามหนึ่งมา
“กินเถอะ อีกไม่นานก็จะเป็นข้าวก่อนตายแล้ว”
กู้ชิวเยว่จับประตูคุกเอาไว้แน่น โดยที่ผมเผ้านั้นหลุดลุ่ยและร่างกายก็สกปรก มองไม่ออกเลยแม้แต่น้อยว่าเป็นบุตรสาวตระกูลใหญ่โต “ปล่อยข้าออกไปนะ! ข้าเป็นคุณหนูสามตระกูลกู้! ท่านพ่อของข้าคือท่านโหวเย๋! เขาจะต้องช่วยข้า! เจ้าช่วยส่งจดหมายถึงท่านพ่อของข้าหน่อย……ได้โปรดช่วยข้าด้วย……”
“ห๊ะ–!”
ผู้คุมแสดงชัดว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ เท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนมือของกู้ชิวเยว่ที่จับประตูห้องขังอยู่ แล้วพูดอย่างดูแคลนว่า “คุณหนูตกทุกข์ได้ยากเช่นเจ้านี้ ข้าเคยเห็นมาไม่น้อย ฆ่าคนไปแล้วยังคิดจะหนีอีกหรือ เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?”
ผู้คุมถ่มน้ำลายลงบนพื้นคำหนึ่ง แล้วจากไปโดยที่ไม่หันกลับมามองเลย
กู้ชิวเยว่ล้มตัวลงบนพื้น มือถูกผู้คุมเหยียบจนแดงก่ำ อาหารที่เย็นชืดได้หกลงบนพื้นกว่าครึ่ง รอบตากู้ชิวเยว่แดงก่ำ หิวมาเป็นเวลาสองมื้อแล้ว อาหารที่เย็นชืดตรงหน้าก็ได้กลายเป็นอาหารอันโอชะไปเสียแล้ว
กู้ชิวเยว่หยิบชามขึ้นมาแล้วป้อนข้าวเข้าปากทีละคำๆ กลิ่นคาวของอาหารอันเย็นเดิมดูน่าขยะแขยง แต่ตอนนี้กลับทานลงไปได้อย่างเป็นปกติ
ก็อย่างที่ผู้คุมคนนั้นบอก คราวหน้าต้องเป็นข้าวก่อนตายแล้ว
เกรงเสียแต่ว่าไม่รอจนถึงอาหารมื้อสุดท้าย นางก็จะหิวตายไปซะแล้ว
จางหย่วนเต้าทานมื้อเที่ยงแล้ว และกำลังหาข้อกังขาในคดีของฮูหยินใหญ่อยู่ในห้องตำรา ขณะที่กำลังจะคิดอะไรออก จู่ๆก็มีคนมารายงานตรงหน้าประตูว่า คุณหนูสามตระกูลกู้ในคุกศาลต้าหลี่เสียสติไปแล้วขอรับ
จางหย่วนเต้าวางพู่กันในมือลงและขมวดคิ้ว “ตามข้าไปดู!”
กู้ชิวเยว่อยู่ในคุกของศาลต้าหลี่เพียงแค่วันเดียวก็เสียสติไปแล้ว ถ้าจะบอกว่ากู้ชิวเยว่ถูกขังอยู่ในคุกหลวงก็ยังจะอธิบายได้ เพราะในคุกหลวงมีเครื่องทรมานอยู่มากมาย เสียงกรีดร้องก็มากมายด้วย กู้ชิวเยว่เป็นเด็กสาวอายุสิบสามปีคนหนึ่ง ก็อาจจะตกใจกลัวเป็นธรรมดา แต่คุกของศาลต้าหลี่ใช้เครื่องมือทรมานที่โหดร้ายน้อยนัก แม้ว่าสภาพแวดล้อมจะเลวร้ายไปบ้าง แต่ก็ดีกว่าคุกหลวงมากมาย เหตุใดอยู่แค่วันเดียวก็เสียสติไปแล้วเสียล่ะ?
จางหย่วนเต้าเดินไปพลาง ฟังหัวหน้าผู้คุมที่อยู่ข้างๆพูดว่า “น่าจะเป็นเวลาเที่ยงวันนี้ ได้ลากตัวนักโทษหญิงผู้หนึ่งไป ขณะที่เฆี่ยนตีสอบสวน นักโทษหญิงคนนั้นได้สิ้นลมไป บังเอิญถูกคุณหนูสามตระกูลกู้เห็นเข้า นี่ไม่ใช่ว่า……คงจะตกใจจนหวาดผวาไปแล้วเลยหน่ะสิ”
จางหย่วนเต้าเดินเข้าไปในห้องขังหญิง เห็นเพียงแค่กู้ชิวเยว่ที่ท่าทางราวกับสติฟั่นเฟือง กำลังกินหญ้าบนพื้นอย่างบ้าๆบอๆโดยที่น้ำลายนั้นได้ไหลลงพื้น แววตาล่องลอย และพูดจาไร้สาระว่า “วิญญาณ””ผี” เหล่านั้นอยู่เป็นครั้งคราว
“นักโทษหญิงที่ถูกเฆี่ยนตีจนตายในวันนี้ทำความผิดอันใด?”
“ฆ่าคนๆหนึ่งที่หอคณิกา ถูกจับเข้ามาเมื่อเช้านี้ขอรับ”
“เมื่อเช้านี้?”
“ศพถูกโยนลงไปที่หลุมฝังศพไปแล้วขอรับ”
จางหย่วนเต้ามีข้อสงสัยในใจ เพียงแต่คิดว่าเรื่องนี้ได้เบาะแสจากอวี้ฉือจ้านกับกู้ชิวเหลิ่ง รวมทั้งกู้ชิวเยว่รับสารภาพแล้ว และสิ่งที่พูดก็สมเหตุสมผลกับวิธีการลงมือ ดังนั้นจึงโบกมือและกล่าวว่า “ยังไงก็เป็นถึงคุณหนูสามตระกูลกู้ พวกเจ้าคิดหาวิธีการ เนรเทศซะ”
“ข้าน้อยรับคำสั่งขอรับ”
หัวหน้าผู้คุมส่งจางหย่วนเต้าจากไป แววตาสุดท้ายหันมองไปยังกู้ชิวเยว่ในคุก ร่างที่เดิมทีก้มหัวโค้งคำนับอยู่ได้ยืดตัวตรงในทันใด
“หัวหน้าผู้คุม”
หัวหน้าผู้คุมทำท่าทางหนึ่งแล้วพูดว่า “วันนี้ที่นี่ไม่มีอะไรทำแล้ว ไปเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตูกันให้หมด”
ผู้คุมสองคนที่อยู่ใต้บัญชาโน้มตัวลง “ข้าน้อยทราบแล้วขอรับ”
หัวหน้าผู้คุมหยิบกุญแจออกมาจากเอว เดินไปถึงตรงด้านข้างประตูห้องขัง แล้วเปิดประตูห้องขังออกพร้อมหัวเราะเยาะ “คุณหนูสามกู้?”
กู้ชิวเยว่กล่าวอย่างเหม่อลอยว่า “หืม?”
“อย่าโทษข้าที่ลงมือโหดเหี้ยมเลย”
จู่ๆมือหนึ่งของหัวหน้าผู้คุมก็คว้าคอเสื้อด้านหลังของกู้ชิวเยว่ แล้วมือข้างหนึ่งก็ปิดปากของกู้ชิวเยว่เอาไว้ ใบหน้าของกู้ชิวเยว่ปรากฏสีหน้าที่ตื่นตระหนก ราวกับว่าอยากจะตะโกน แต่กลับมีเพียงแค่เสียง “อู้อี้”เปล่งออกมาเท่านั้น
หัวหน้าผู้คุมดึงหัวของกู้ชิวเยว่ออกมา แล้วกระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรง ครู่เดียวเลือดได้กระเซ็นกระดอนไปทั่ว กู้ชิวเยว่ได้ล้มลงกับพื้นราวกับตุ๊กตาที่แตกหักโดยที่ไร้ซึ่งเสียงลมหายใจ
หัวหน้าผู้คุมตบๆมือ เปลี่ยนสีหน้าไปแล้วเดินออกจากประตูคุก ลงกลอนประตูคุกใหม่และจากไปราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
อี๋เหนียงรองคุกเข่าอยู่ที่ห้องโถง ร้องห่มร้องไห้เจียนขาดใจ
“นายท่าน! ท่านช่วยเยว่เอ๋อร์ด้วย! เยว่เอ๋อร์ทำอะไรผิดกันแน่! เหตุใดถึงได้ถูกนำตัวไปโดยที่ไร้สาเหตุ! นายท่าน! เยว่เอ๋อร์เป็นชีวิตจิตใจของข้า! ข้ามีนางเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ท่านช่วยนางด้วยนะเจ้าคะ ท่านช่วยนางด้วย……”
“หากมิใช่ว่าเจ้าได้ให้กำเนิดลูกสาวที่ดีแบบนี้! อายุสิบสามปีก็เรียนรู้ที่จะฆ่าคน ถูกจับตัวไปก็สมควรแล้ว! ข้าเลี้ยงคนอกตัญญูมานานขนาดนี้ได้อย่างไร!”
กู้หนานเฉิงหงุดหงิดเนื่องด้วยจะจัดพิธีศพมานานแล้ว เมื่อกลับมาจากราชการก็ได้ยินอี๋เหนียงรองร้องห่มร้องไห้เช่นนี้ ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดเหลือคณาซะแล้ว
อี๋เหนียงรองมองไปยังกู้หนานเฉิงด้วยความประหลาดใจและพร่ำบ่นว่า “ฆ่าคน……นางฆ่าผู้ใด? เยว่เอ๋อร์อายุเพียงแค่สิบสามปี นางจะฆ่าคนได้อย่างไร! นี่จะต้องมีคนใส่ร้ายป้ายสีเป็นแน่เจ้าค่ะ!”
“ใส่ร้ายป้ายสี? นี่เจ้ายังจะพูดออกมาได้นะ! จางหย่วนเต้าจากศาลต้าหลี่เป็นผู้ตัดสินคดีเอง และข้าก็ได้ยินนางสารภาพว่าฆ่าฉินเซียงเหลียน เป็นไปได้หรือว่าจะถูกใส่ร้ายป้ายสีหน่ะ?! ข้าไม่รู้เลยว่าสิบสามปีมานี้เยว่เอ๋อร์มาเรียนวิธีการสกปรกๆอะไรจากเจ้า! อายุน้อยๆก็กล้าฆ่าท่านแม่ใหญ่ ช่างเป็นลูกสาวที่เจ้าเลี้ยงได้ดีจริงๆ!”
“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้แน่นอนเจ้าค่ะ……เยว่เอ๋อร์ เยว่เอ๋อร์……”
“เอาล่ะ! อย่าได้เอ่ยถึงเจ้าลูกเวรคนนั้นอีก! ข้าว่าเจ้าก็ไม่เหมาะที่จะดูแลจัดการจวนอีกต่อไป นับจากวันนี้ไปให้ซานเหนียงทำแทนเจ้า เจ้าจัดการตามสมควรเองเถอะ”
“นายท่าน! นายท่านโปรดช่วยเยว่เอ๋อร์ด้วย……ท่าน……”
“รายงานขอรับ! นายท่าน ด้านนอกประตูมีคนจากศาลต้าหลี่มา บอกว่าเวลาเที่ยงวันนี้คุณหนูสามได้ชนกำแพงฆ่าตัวตายแล้วขอรับ!”
อี๋เหนียงรองนั่งลงบนพื้นในทันใด ดวงตาที่ร้องไห้จนแดงก่ำมาตั้งนานแล้วก็ยิ่งไหลรินไม่หยุด “เยว่เอ๋อร์……เยว่เอ๋อร์ของข้า!”
กู้หนานเฉิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “เจ้าลูกเวรแบบนี้ตายไปก็ตายไป! กู้ชิวเยว่ไม่ใช่ลูกสาวตระกูลกู้ของข้ามานานแล้ว ไม่จำเป็นต้องลงชื่อเข้าไปในลำดับวงศ์ตระกูล
ข้าก็จะไม่สนใจเรื่องพิธีศพของนาง! ”
อี๋เหนียงรองคุกเข่าโขกศีรษะกับพื้นและกล่าวว่า “นายท่าน ท่านโหดร้ายเช่นนี้ไม่ได้นะเจ้าคะ! เช่นไรท่านก็เลี้ยงดูนางมาตั้งสิบสามปี ถือว่าข้าขอร้องท่านแล้ว……”
ใบหน้าของกู้หนานเฉิงไม่มีอารมณ์แม้แต่น้อย “หากข้ารู้ว่านางเติบใหญ่มาแล้วเป็นเช่นนี้ ก็น่าจะบีบนางให้ตายไปตั้งแต่ตอนที่นางเกิดมา!”
กู้หนานเฉิงสะบัดแขนเสื้อจากไปอย่างไร้เยื่อใย เหลืออี๋เหนียงรองคุกเข่าอยู่บนพื้นไว้เพียงคนเดียว
“นายท่าน……นายท่าน!”
ไม่รู้ว่าเอี้ยนซานเหนียงเดินมาจากที่ใด ช่วยประคองอี๋เหนียงรองขึ้นด้วยท่าทางที่งดงาม แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนมีเมตตาว่า “นี่เป็นทองคำยี่สิบตำลึง อี๋เหนียงรองสามารถนำไปฝังคุณหนูสามได้”