ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 145 ข้าใส่ใจ
อวี้ฉือจ้านวางจอกชาในมือแล้วเอ่ยเสียงหนัก “ข้ามาส่งยาให้เจ้า”
“ส่งยา?”
กู้ชิวเหลิ่งตะลึง นางไม่ยักทราบว่าตัวเองได้รับบาดเจ็บอะไร
อวี้ฉือจ้านล้วงแผ่นยาในอกออกมา เอ่ย “ถึงวันนี้เจ้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก่อนหน้านี้เมิ่งจิ่วเคยกำชับเจ้า ว่าช่วงที่รักษาอาการอย่าได้เคลื่อนไหวและใช้กำลังมาก มิเช่นนั้นจะเป็นผลร้ายกับกระดูกและเอ็นเจ้า เจ้าลืมไปแล้วหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งไม่ได้ตอบ แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่มีนิสัยทำตามคำสั่งหมอ
“จำไม่ได้แล้ว หรือว่าไม่ได้ฟังกันแน่?”
กู้ชิวเหลิ่งตอบอย่างซื่อตรง “ข้าไม่ได้ฟัง”
ทันใดนั้นอวี้ฉือจ้านก็หัวเราะ “ข้าก็เดาว่าเป็นเช่นนี้”
เพราะเขาก็ไม่มีนิสัยเชื่อฟังคำสั่งหมอเหมือนกัน
“ถึงเจ้าจะไม่พูด แต่ไหล่ซ้ายเจ้าไม่มีแรง ยาที่ข้าสั่งให้คนส่งมาคราวก่อน เจ้าก็จวนจะใช้หมดแล้ว นี่เป็นยาแปะที่เมิ่งจิ่วเตรียมขึ้นใหม่ ไร้กลิ่น เปลี่ยนทุกวัน”
อวี้ฉือจ้านนำยาวางบนโต๊ะ
กู้ชิวเหลิ่งหยิบขึ้นมาสูดดม ไม่มีกลิ่นจริงๆ ทั้งยังมีกลิ่นหอมหวานของสมุนไพรด้วย
กู้ชิวเหลิ่งวางยาลงแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด “ข้านึกว่าท่านจะมาคุยเรื่องหอชุนเฟิงเต๋ออี้กับเป่ยไห่เฟิงกับข้าเสียอีก”
อวี้ฉือจ้านมองกู้ชิวเหลิ่ง เอ่ยเสียงเข้ม “เกี่ยวกับเป่ยไห่เฟิง เจ้าก็รู้ไม่น้อยไปกว่าข้า”
แม้ว่าชนเผ่าแห่งน่านน้ำจะไม่ได้ลึกลับเท่ากับชาวต้าโม่ แต่อิทธิพลของชนเผ่าก็ยังไม่เป็นที่รู้จักของมวลชน มีแต่คนที่อยู่แถบชายฝั่งจึงจะพอทราบ และการที่กู้ชิวเหลิ่งทราบความเป็นมาของดวงตาคู่นั้นก็ทำให้อวี้ฉือจ้านประหลาดใจเล็กน้อย
“เจ้าปรารถนาหอชุนเฟิงเต๋ออี้ เช่นนี้ข้าก็จะช่วยเจ้าเอามา”
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ย “ข้าอยากให้หอชุนเฟิงเต๋ออี้เป็นสถานเริงรมย์อันดับสองของเมืองหลวง ไม่ทราบเซ่อเจิ้งหวางมีความเห็นเป็นอย่างไร?”
อวี้ฉือจ้านเอ่ย “ข้าเข้าใจในความหมายของเจ้า ในเมืองหลวงมีสถานที่รสนิยมต่ำประเภทหอชุนเฟิงเต๋ออี้อยู่ไม่มาก ทั่วไปแล้วดูไม่มีอะไร แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อไปต้องสร้างความเสื่อมโทรมให้กับบรรดาขุนนางในราชสำนักต้าเยียนแน่ โบราณว่าไว้สุรารสเลิศนารีงามครอบงำจิตใจคนที่สุด มิสู้ตั้งสถานเริงรมย์เพิ่มอีกสองสามแห่งเพื่อขจัดสิ่งโสมมของเมืองหลวงต้าเยียนสักหน่อย”
“มิผิด ถ้าเทียบกับของเล่นที่ขายเรือนร่างของตัวเอง ย่อมมีหญิงจำนวนมากที่ปรารถนาบริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นที่ยกย่องของผู้คน”
เมื่อนั้นอวี้ฉือจ้านก็เลิกคิ้ว “ข้าจำได้ เจ้าเคยพูดว่าเจ้าไม่สนใจร่างนี้”
กู้ชิวเหลิ่งปรายตา “ข้าไม่สนใจ นั่นเป็นเพราะข้าไม่ใส่ใจกับเรื่องบริสุทธิ์ แต่ถ้าความบริสุทธิ์สามารถแลกกับสิ่งที่ข้าต้องการได้ เช่นนั้นละทิ้งจะเป็นอย่างไร?”
อวี้ฉือจ้านกล่าวต่อเนื่อง “ถ้าหากมีคนใส่ใจกับความบริสุทธิ์ของเจ้า ไม่อนุญาตให้เจ้าละทิ้งเล่า?”
กู้ชิวเหลิ่งสบตากับอวี้ฉือจ้านทีหนึ่ง ราวกับสามารถเข้าใจถ้อยคำที่เขาต้องการสื่อจากดวงตา นับจากมู่หรงอี๋ร่วมมือกับจวินฉีเซิ่งทรยศนางแล้ว นางก็มักถือความคิดของตัวเองเป็นใหญ่ ไม่มีผู้ใดใส่ใจกับความเป็นความตายของนาง ยิ่งไม่พูดถึงความบริสุทธิ์นี้ด้วย
แม้แต่อวี่เหวินหวายยังสามารถเตะต่อยกับนางได้ ฐานที่เป็นบุตรสาวของอนุภรรยาคนหนึ่ง เบื้องบนต้องเคารพบิดาและแม่ใหญ่ เชื่อฟังพี่สาวอันเป็นบุตรแห่งภรรยาเอก เบื้องล่างต้องรับความกดขี่สารพัด นี่เป็นสิ่งที่กู้ชิวเหลิ่งไม่เคยประสบพบเจอมาก่อน ทว่าร่างนี้กลับมีประสบการณ์มาหมดแล้ว
ความหมายที่สื่อออกมาจากดวงตาของอวี้ฉือจ้าน ทำให้สีหน้ากู้ชิวเหลิ่งชะงักโดยสมบูรณ์ ใส่ใจคำนี้ พกพาไมตรีและการยอมรับสักเท่าใด
กู้ชิวเหลิ่งเคลื่อนสายตาออก “เซ่อเจิ้งหวางคงมิใช่อยากบอกว่าท่านใส่ใจกระมัง?”
เสียงของเซ่อเจิ้งหวางไม่อาจมุ่งมั่นได้อีก “ใช่ ข้าใส่ใจ”
“แต่ข้าไม่…”
“ในเมื่อมีคนใส่ใจ ถึงจะเพื่อข้อแลกเปลี่ยนระหว่างเรากับฐานะ หรือจะเพื่ออำนาจของข้า ทางที่ดีเจ้าก็ถอยเสียดีกว่า ข้าไม่เคยให้ตัวเองอยู่ในภาวะถูกผูกมัด ฉะนั้น กู้ชิวเหลิ่ง ไม่ว่าเรื่องอะไรเจ้าต้องเรียนรู้ที่จะถอย”
กู้ชิวเหลิ่งสำรวมกิริยา เป็นเช่นนั้นจริง ถึงจะเพื่อฐานะและตำแหน่งทางสังคมของอวี้ฉือจ้าน หรือจะเพื่อข้อแลกเปลี่ยนระหว่างพวกเขาล้วนต้องทำเพื่อให้ผ่านไปได้ ทำตามทุกเรื่อง เมื่อครู่การที่ตนรีบร้อนค้านอวี้ฉือจ้าน เห็นชัดว่าเป็นพฤติกรรมที่ไร้สติ แต่นางกลับอยากได้รับการโต้แย้งจากปากของอวี้ฉือจ้านเพิ่ม คล้ายกับอยากเกลี้ยกล่อมตัวเอง ว่าโลกนี้ยังมีคนหนึ่งที่ทุ่มเทใจกับนาง
จู่ๆ อวี้ฉือจ้านก็เอ่ย “ถึงเจ้าจะไม่ใส่ใจ แต่ข้าใส่ใจ จะไม่ให้เจ้าทำเรื่องทำร้ายตัวเองเด็ดขาด เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
หัวใจราวกับมีสายลมเย็นพัดโบกมาสายหนึ่ง พัดพาความกังวลทั้งหมดออกไป
อวี้ฉือจ้านตระหนักว่าเมื่อครู่นางกำลังคิดอะไร มิเช่นนั้นจะไม่กล่าวถ้อยคำเช่นนี้
หากไม่มีจวินฉีเซิ่ง ไม่มีอดีตชาติที่ฝังลึกถึงกระดูก ไม่มีการลบหลู่ทรมานจากมู่หรงอี๋ บางทีนางในร่างกู้ชิวเหลิ่งหรือมู่หรงชิวอาจอยู่กับอวี้ฉือจ้านไปตลอดก็เป็นได้ แต่โลกนี้กลับไม่มีสิ่งที่เรียกว่า “หาก”
“ไฉนข้าจึงไม่เคยดูออกว่าเซ่อเจิ้งหวางเป็นผู้รักบุปผาถนอมหยก”
อวี้ฉือจ้านจับจดอยู่แต่กับสายตาของกู้ชิวเหลิ่ง เห็นการหลบหลีกและความแค้นที่ให้คนไม่กระจ่างจากดวงตานางชัดเจน
“ข้าไม่เคยรักบุปผาถนอมหยก”
อวี้ฉือจ้านลุกขึ้นยืน น้ำเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย “เรื่องของหอชุนเฟิงเต๋ออี้ ข้าจะให้ฝู้จื่อโม่ไปเตรียม ช่วงนี้ยังไม่เหมาะสม เรื่องโรงบ่อนเจ้าก็ไม่ต้องคิดมาก ฝู้จื่อโม่เตรียมเลือกคนแล้ว ตอนนี้เจ้ามุ่งแต่เรื่องโรงน้ำชาก็พอ เพียงแต่มีข้อหนึ่ง อย่าทำเซียวอวิ๋นเซิงให้มากเกินไป”
กู้ชิวเหลิ่งพลันหัวเราะ เอ่ย “ข้ารู้ เซียวอวิ๋นเซิงคือถุงเงินของท่านกับฝ่าบาท แต่ท่านวางใจเถอะ ข้าแค่สั่งสอนเขาเล็กน้อยเท่านั้น เขาเป็นคนปราดเปรื่อง แต่เกียจคร้านเกินไป หลังจากเรื่องนี้แล้วก็น่าจะทำให้เขาหูตาสว่างได้บ้าง ถึงตอนนั้นภูเขาทองคำของพวกท่านก็ไม่แน่ว่าอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว”
“เช่นนั้นข้าจะรอดูฝีมือเจ้า”
อวี้ฉือจ้านเดินไปถึงปากประตู แต่แล้วก็เอ่ย “ประคบยา พักผ่อนเช้าหน่อย”
เมื่อกล่าวจบ อวี้ฉือจ้านก็ปิดประตูห้องมิดชิด
กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ มักกระวนกระวายใจ แต่ความกระวนกระวายนั้นมิใช่เพราะกำลังจะเผชิญกับวิกฤต แต่เป็นความรู้สึกชาๆ ราวกับกำลังแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจ พาลให้รู้สึกว่าไม่ใช่ความเป็นจริง
จูเอ๋อร์ผลักประตูเข้ามา ขยับเข้าหากู้ชิวเหลิ่งอย่างระมัดระวัง ถาม “คุณหนู ท่านคงไม่ได้ชอบเซ่อเจิ้งหวางจริงๆ หรอกนะเจ้าคะ?”
กู้ชิวเหลิ่งดึงสติกลับมา แล้วจู่ๆ ก็ติดใจกับคำถามนี้ของจูเอ๋อร์นิดๆ “ทำไมเจ้าจึงพูดเช่นนี้?”
จูเอ๋อร์ตอบ “บ่าวแค่รู้สึก คุณหนูไม่เคยสนิทกับเซียวโหวเย๋น้อยหรือท่านอ๋องรองขนาดนี้มาก่อน มีแต่เวลาที่เซ่อเจิ้งหวางอยู่ด้วย คุณหนูถึงจะไม่ขมวดคิ้ว แม้ว่าเซ่อเจิ้งหวางจะเป็นบุรุษชั้นยอด กุมอำนาจส่วนมาก แต่บ่าวกลับรู้สึกว่าท่านอ๋องรองดีกว่าเจ้าค่ะ”