ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 148 ชายโฉดที่พบโดยบังเอิญ
“ที่แท้ก็คือเซียวโหวเย๋น้อยนี่เอง ตอนอยู่ไกลๆ ยังนึกว่าเป็นเซ่อเจิ้งหวาง”
เซียวอวิ๋นเซิงหรี่ดวงตาอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ “มีแต่เซ่อเจิ้งหวางถึงเข้าใกล้นางได้หรือ? ข้าก็มีสัมพันธ์อันดีกับกู้ชิวเหลิ่ง! หรือว่าพวกท่านชาวแคว้นฉีดูแค่เพียงภายนอก?”
อวี่เหวินเจี๋ยตวาดพลัน “เซียวอวิ๋นเซิง!”
เซียวอวิ๋นเซิงปัดมือ เอ่ย “ข้าผู้นี้รักการพูดขำขัน ไร้มันสมอง พวกท่านอย่าได้ถือสา”
อวี่เหวินเจี๋ยเอ่ยด้วยเสียงหนัก “คุณหนูรองกำลังบาดเจ็บ วันนี้แดดร้อนจัด กลับไปพักผ่อนเสียจะดีกว่า”
กู้ชิวเหลิ่งย่อตัวเล็กน้อย เอ่ย “หม่อมฉันไม่เป็นไร ท่านอ๋องรองโปรดวางใจเพคะ”
“นั่นสิ! ข้าพาเจ้ามารับลม นี่ยังมิได้รับลมเลยก็ถูกท่านไล่ไปเสียแล้ว พื้นที่ล่าสัตว์ชานเมืองตะวันออกก็ไม่ใช่ของจวนอ๋องรองของพวกท่านสักหน่อย”
จวินฉีเซิ่งหัวเราะเสียงดัง “ดูท่าความสัมพันธ์ของท่านอ๋องรองต้าเยียนกับโหวเย๋น้อยจะไม่ค่อยลงรอยกันนะ?”
อวี่เหวินเจี๋ยยังไม่ทันเปิดปาก เซียวอวิ๋นเซิงก็กล่าว “วาจานี้ผิดถนัดพ่ะย่ะค่ะ! ความสัมพันธ์ของข้ากับท่านอ๋องรองมีหรือที่คนธรรมดาจะเข้าใจ? ในราชวงศ์นอกจากอวี่เหวินหวายที่ไม่ค่อยได้พบปะกันแล้ว ส่วนมากก็ไปมาหาสู่ตั้งแต่ยังไม่ได้สวมกางเกงเลยด้วยซ้ำ”
กู้ชิวเหลิ่งไม่ใส่ใจกับคำพูดของเซียวอวิ๋นเซิง ในทางกลับกันยังรู้สึกว่าเซียวอวิ๋นเซิงจงใจเปลี่ยนเรื่อง ประเดี๋ยวก็เบนไปทางอวี้ฉือจ้าน ประเดี๋ยวก็เป็นอวี่เหวินเจี๋ย ตอนนี้ยังเริ่มพุ่งเป้าไปหาจวินฉีเซิ่งอีก แปลกประหลาดจริงแท้ หากเป็นแต่ก่อน เซียวอวิ๋นเซิงจะไม่พูดมากเช่นนี้เป็นอันขาด
อวี่เหวินเจี๋ยเลิกคิ้ว “ยังมีสตรีอยู่ เจ้าสมควรที่ไหนกัน?”
เซียวอวิ๋นเซิงไม่มองอวี่เหวินเจี๋ยเสียเลย ผิวปากตามลำพัง จากนั้นก็พยักพเยิดกับกู้ชิวเหลิ่งไม่หยุด แต่สุดท้ายกลับเสียเปล่า
อวี่เหวินเจี๋ยมองปฏิกิริยาของกู้ชิวเหลิ่งด้วยความตื่นตระหนก ทว่ากู้ชิวเหลิ่งกลับเมินเฉย จิตใจอันตุ้มๆ ต่อมๆ ของอวี่เหวินเจี๋ยจึงสงบลง
จวินฉีเซิ่งก็เหลือบมองกู้ชิวเหลิ่งอยู่บ่อยครั้งเช่นกัน หากเทียบกับการพบหน้าเมื่อคราวที่แล้ว กู้ชิวเหลิ่งคราวนี้อยู่ในชุดขี่ม้า แลดูสงบนิ่ง แผ่กลิ่นอายไม่ให้คนเข้าหา ต่างกับมู่หรงชิวมาก มู่หรงชิวร่าเริงสดใส แต่กู้ชิวเหลิ่งกลับไม่มีชีวิตชีวาราวกับคนตาย อีกทั้งยามเอ่ยปากยังพกพาความเย็นชาและยั่วยุอีกบางส่วน
“นี่? นี่ฝ่าบาทกำลังทอดพระเนตรของดีอะไรอยู่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ให้ข้าดูบ้างสิ?”
เซียวอวิ๋นเซิงชะโงกหน้าไปอยู่ตรงหน้ากู้ชิวเหลิ่ง เข้าไปใกล้มาก จากนั้นก็เกี่ยวยิ้มที่มุมปาก “ที่ฝ่าบาททอดพระเนตรอยู่เป็นสาวงามจริงๆ ด้วย หน้าตา…”
“เซียวอวิ๋นเซิง เจ้ายังคุกเข่าที่หอบรรพบุรุษไปพอใช่หรือไม่?”
อวี่เหวินเจี๋ยเอ่ยอย่างเริ่มหมดความอดทน
เซียวอวิ๋นเซิงผงกศีรษะ จากนั้นก็ดึงระยะห่างออกจากกู้ชิวเหลิ่งประมาณหนึ่งอย่างที่คิด เอ่ย “ท่านอ๋องรองร้อนรนเช่นนี้ คงมิใช่นึกพิสมัยนังหนูนี่กระมัง?”
อวี่เหวินเจี๋ยหน้าตึง “พอที”
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ย “ต้องเป็นเพราะเซียวโหวเย๋น้อยรับการลงโทษคุกเข่าอยู่ที่หอบรรพบุรุษนานเกินไปแน่ ไม่ได้เห็นอิสตรี ดังนั้นแม้แต่หม่อมฉันที่เป็นแม่นางน้อยวัยสิบสี่ก็ยังเห็นเป็นเจริญตาได้ ต่างจากฝ่าบาท พรุ่งนี้พระองค์จะอภิเษกสมรสแล้ว แต่เซียวโหวเย๋น้อยกลับไม่ได้เห็นกระทั่งอิสตรี ยามนี้คิดดูแล้วก็ช่างน่าเวทนายิ่งนัก”
“เจ้า! กู้ชิวเหลิ่ง จะเปลี่ยนฝักเปลี่ยนฝ่ายก็ทันทีเลยนะ!”
กู้ชิวเหลิ่งไม่รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม เอ่ย “เมื่อครู่ตอนที่เซียวโหวเย๋น้อยล้อเล่นกับหม่อมฉัน หม่อมฉันยังไม่ได้กล่าวอะไรเลยมิใช่หรือ?”
“นั่นก็จริง ข้าหยอกเจ้าได้นับเป็นการปลอบใจอย่างหนึ่งเหมือนกัน”
กู้ชิวเหลิ่งย่อคำนับ “ยังไม่ได้แสดงความยินดีกับการอภิเษกของฝ่าบาท หม่อมฉันขอแสดงความยินดี ณ ที่นี้ด้วย ขอให้ฝ่าบาทกับองค์หญิงสมปรารถนาทุกประการ มีโอรสในเร็ววันเพคะ”
กู้ชิวเหลิ่งจงใจเน้นหนักที่ ‘มีโอรสในเร็ววัน’ คำนี้ สีหน้าของจวินฉีเซิ่งจึงไม่สู้ดีนัก
ตั้งแต่เขาลงมือวางแผนกำจัดบุตรและป้อนน้ำทำหมันให้มู่หรงชิวกับมือแล้ว สามปีนี้เขาก็ไม่มีทายาทมาโดยตลอด ไม่ทราบว่าเป็นเพราะการลงโทษจากสวรรค์หรือไม่ ถึงจะเป็นมู่หรงอี๋ที่ได้รับความโปรดปรานมากที่สุด ก็ไม่ได้ให้กำเนิดบุตรธิดาให้เขาสักคน
แต่เรื่องแบบนี้จะแพร่งพรายออกไปไม่ได้ คาดว่ากู้ชิวเหลิ่งอาจจะพูดไปอย่างนั้น ดังนั้นจึงไม่ใส่ใจเท่าไร ตอบ “ขอบคุณในคำอวยพรหนิงจวิ้นจู่มาก”
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยต่อ “ตอนแรกได้ยินว่าฝ่าบาทนอกจากจะยอมสละสองหัวเมืองแล้ว ยังใช้ทองคำล้านตำลึงเป็นสินสอดอีกด้วย น้ำพระทัยกว้างโดยแท้ องค์หญิงเหอชินงดงามดั่งบุปผา คาดว่าในพระทัยฝ่าบาทต้องมีค่าเหนือทองคำและหัวเมืองแน่กระมัง นับได้ว่าเป็นหญิงงามล่มเมืองเพคะ”
“หนิงจวิ้นจู่กล่าวขันแล้ว การอภิเษกของสองแคว้น แคว้นฉีข้าเป็นแคว้นใหญ่ ย่อมให้ได้”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มกริ่ม เอ่ย “หากกล่าวถึงหญิงงามล่มเมือง หม่อมฉันกลับได้ยินชื่อเสียงของหลิวกุ้ยเฟยแห่งแคว้นฉี ไม่ทราบว่าเป็นผู้ใด อยากพบพานสักครั้ง คงงดงามยิ่งกว่านางฟ้าบนสวรรค์แน่กระมังเพคะ?”
การสนทนาเบนไปทางมู่หรงอี๋อย่างไม่รู้ตัว แต่จวินฉีเซิ่งกลับไม่ได้สังเกต เอ่ย “งามมากจริง มีโอกาสหากหนิงจวิ้นจู่ได้ไปแคว้นฉีข้า ก็สามารถยลโฉมกับตาตัวเองได้”
กู้ชิวเหลิ่งหัวเราะน้อยๆ “นั่นเป็นเรื่องในภายภาคหน้า หม่อมฉันเกรงกว่าจะไร้วาสนาเพคะ”
สายตาของเซียวอวิ๋นเซิงมองไปมองมาระหว่างกู้ชิวเหลิ่งและจวินฉีเซิ่งไม่หยุด เมื่อเห็นว่าทั้งสองสนทนากันเสร็จแล้วจึงโอบไหล่ของกู้ชิวเหลิ่ง เอ่ย “ในสายตาของฝ่าบาทและหนิงจวิ้นจู่ไร้ผู้คน ข้ากับท่านอ๋องรองอยู่ยังนี่ สนทนากันนานแล้ว หรือควรเห็นพวกเราได้สักที?”
กู้ชิวเหลิ่งขยับไหล่เบาๆ สลัดมือที่ส่งอยู่บนไหล่ตัวเองของเซียวอวิ๋นเซิงข้างนั้นออกไปด้วยสีหน้าเรียบ
อวี่เหวินเจี๋ยเอ่ย “นับวันเจ้าจะยิ่งไร้ระเบียบไปกันใหญ่แล้ว ข้าควรให้ท่านเซียวโหวเย๋อบรมเจ้าสักระยะหนึ่ง”
เซียวอวิ๋นเซิงผิวปาก “ท่านอ๋องรองช่างว่างงานจริง มาดูแลเรื่องบ้านของข้าเสียแล้ว นี่มิต้องให้ท่านอ๋องรองเป็นห่วงหรอก ข้าวนเวียนอยู่ริบขอบการลงโทษของนายท่านเซียวและท่านพ่อตั้งไม่รู้กี่หนแล้ว”
จวินฉีเซิ่งเห็นกู้ชิวเหลิ่งแม้นอายุอานามยังน้อย แต่โฉมหน้าก็พอเห็นเค้าว่าเติบใหญ่ต้องงามล่มเมืองแน่ ความระแวดระวังกู้ชิวเหลิ่งเจ็ดส่วนในใจจึงลดทอนเหลือห้าส่วน เอ่ย “เมื่อทุกคนได้เจอกันแล้ว มิเช่นนั้นก็ไปล่าสัตว์ด้วยกันเถิด สัตว์ที่ล่ามาได้ก็แบ่งกันเป็นอาหาร เป็นอย่างไรบ้าง?”
เซียวอวิ๋นเซิงเตรียมธนูแต่แรกแล้ว จึงตอบ “กระหม่อมก็คิดอย่างนี้เหมือนกันพ่ะย่ะค่ะ!”
กู้ชิวเหลิ่งแปลกใจหนักกว่าเดิม เซียวอวิ๋นเซิงผู้นี้ตามหลักควรเกลียดชังนิสัยของจวินฉีเซิ่งมาก แต่ครั้งนี้กลับคล้อยตามจวินฉีเซิ่งร่วมล่าสัตว์ ต้องมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงแน่
กู้ชิวเหลิ่งก็อยากดูสิว่าหนนี้เซียวอวิ๋นเซิงจะมาไม้ไหนอีก
อวี่เหวินเจี๋ยเอ่ย “หนิงจวิ้นจู่ขี่ม้าไม่เป็น อยู่พักผ่อนที่นี่จะดีกว่า”
เซียวอวิ๋นเซิงพลันปฏิเสธ “ไม่ได้! เดิมวันนี้ข้าก็จะพานางรับลม จะบอกว่าไม่ไปก็ไม่ไปได้อย่างไร? ข้าจะพานางไปเอง ท่านอ๋องรองวางใจเถิด!”
อวี่เหวินเจี๋ยขมวดคิ้ว “ที่ข้ากังวลใจที่สุดก็คือเจ้านั่นแหละ หากหนิงจวิ้นจู่ไม่รังเกียจ ก็ไปกับข้าเถิด”