ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 149 ล่ากวาง
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 149 ล่ากวาง
ทั้งสองจับจ้องกู้ชิวเหลิ่ง ต้องการทราบว่าสุดท้ายนางจะเลือกอย่างไร
ทว่ากู้ชิวเหลิ่งกลับเอ่ย “อันที่จริงไหล่ของหม่อมฉันมีบาดแผล ไม่ควรทำกิจกรรมหนักเกินไป”
เซียวอวิ๋นเซิงงึมงำ “หมดสนุก!”
อวี่เหวินเจี๋ยโล่งอก เอ่ย “เจ้าเอาแต่สนใจความสนุกของตัวเอง ไม่นึกถึงว่าหนิงจวิ้นจู่มีบาดแผล ฝืนหญิงสาวเช่นนี้จะมีความหมายอะไร? ”
เซียวอวิ๋นเซิงไปตรงหน้ากู้ชิวเหลิ่ง เอ่ย “ข้ามิได้ฝืนนาง แต่ในเมื่อสวมชุดขี่ม้าแล้ว ไหนเลยจะมีเหตุผลไม่ไปสนุก? หนิงจวิ้นจู่ เจ้าว่าจริงหรือไม่?”
การสวมชุดขี่ม้าเดิมก็เป็นเซียวอวิ๋นเซิงต้องการให้นางทำตามสัญญา มิเช่นนั้นนางก็ไม่คิดจะขึ้นม้าต่อหน้าเซียวอวิ๋นเซิง และไม่ยินดีมาพื้นที่ล่าสัตว์ด้วย
กู้ชิวเหลิ่งเห็นความนัยจากดวงตาของเซียวอวิ๋นเซิง มิใช่ต้องการให้นางไปขี่ม้าจริง แต่เพราะจวินฉีเซิ่งกับอวี่เหวินเจี๋ยต่างอยู่ที่นี่ จึงทำอะไรได้ไม่เต็มที่
กู้ชิวเหลิ่งย่อตัวน้อยๆ เอ่ย “หม่อมฉันไม่ควรทำกิจกรรมหนักเกินไปจริงๆ แต่ไปเตร็ดเตร่รอบๆ กลับไม่เป็นไร”
“เซียวอวิ๋นเซิง”
อวี่เหวินเจี๋ยขมวดคิ้วเอ่ย “เหตุใดเจ้าจึงเอาแต่รบเร้าหนิงจวิ้นจู่ไม่หยุด?”
ผู้มีสายตาชัดแจ้งต่างดูออกว่ากู้ชิวเหลิ่งไม่ยินยอม หากเซียวอวิ๋นเซิงยังคงสีหน้าเดิม เอ่ย “ข้าไม่ได้บังคับนางสักหน่อย แต่นี่ก็เพื่อบาดแผลของหนิงจวิ้นจู่ อุดอู้อยู่แต่ในจวนมีอะไรดี? มิสู้ให้ข้าพานางออกมารับลม!”
อวี่เหวินเจี๋ยเอ่ยเสียงหนัก “น่ากลัวว่าหนิงจวิ้นจู่ไม่ยินดีไปกับเจ้า”
เซียวอวิ๋นเซิงเลิกคิ้ว เอ่ย “นังหนู เจ้าจะไปกับข้าหรือไม่?”
เซียวอวิ๋นเซิงพยักพเยิดกับกู้ชิวเหลิ่งสุดชีวิต กู้ชิวเหลิ่งถูกสีหน้าเซียวอวิ๋นเซิงทำจบตลกขบขัน จึงเอ่ย “น้ำใจล้นหลามของเซียวโหวเย๋น้อยยากจะปฏิเสธ หม่อมฉันจะตามไปก็แล้วกัน”
เซียวอวิ๋นเซิงยินดีปรีดา “ดูสิ หนิงจวิ้นจู่ยินดีไปกับข้า ท่านอ๋องรองยังจะกล่าวอะไรอีก?”
อวี่เหวินเจี๋ยมองกู้ชิวเหลิ่ง จะเอ่ยแต่แล้วก็หยุด “เจ้า…ช่างเถอะ”
จวินฉีเซิ่งเอ่ย “ข้าไม่คุ้นเคยสภาพพื้นที่ที่นี่ ย่อมไม่สะดวกล่าสัตว์เท่าใด ในเมื่อเซียวโหวเย๋น้อยจะอยู่กับหนิงจวิ้นจู่ แต่การก็ดูแลความปลอดภัยของหนิงจวิ้นจู่เพียงลำพังก็ไม่สะดวก มิสู้เราสี่คนไปด้วยกันเถอะ จะได้ดูแลซึ่งกันและกัน สัตว์ที่ล่ามาได้ถึงตอนนั้นก็แบ่งเท่าๆ กัน ดีหรือไม่?”
ไม่รอให้อวี่เหวินเจี๋ยกล่าว เซียวอวิ๋นเซิงก็ชิงพูดก่อน “ยิ่งพ่ะย่ะค่ะ! ไปด้วยกันสี่คน กระหม่อมยังไม่เคยมาเลย หนิงจวิ้นจู่ช่างมีวาสนานัก ให้บุรุษรูปงามมีชื่อทั้งสามล่าสัตว์เป็นเพื่อนเจ้า”
กู้ชิวเหลิ่งสำรวมใบหน้า เอ่ย “คุณธรรมและชื่อเสียงของท่านอ๋องรองแผ่ขยายไปไกล สตรีในเมืองหลวงต่างแอบปรารถนาได้ครองคู่ด้วย เป็นบุรุษรูปงามที่มีชื่อเสียงจริงๆ ส่วนฝ่าบาทก็เป็นเจ้าครองแคว้นของแคว้นฉี ได้ยินว่ามีดรุณีมากมายลอบคิดถวายตัวอยู่ในใจ หนำซ้ำหญิงงามห้อมล้อมพระวรกายยังประหนึ่งเมฆา เป็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่งจริงๆ มีเพียงเซียวโหวเย๋น้อย มิเคยถ่อมตน ชอบอวดตัวเป็นประจำ หม่อมฉันคิดว่าฉายบุรุษรูปงามนี้กลับมิเคยได้ยินว่าปรากฏอยู่กับตัวท่าน”
เซียวอวิ๋นเซิงจุกในลำคอ ค่อนวันแล้วจึงเอ่ย “ใจกว้างกับคนอื่น อย่าบีบคั้นจนเกินไป ไยเจ้าจึงเลียนแบบเหมือนเซ่อเจิ้งหวางเปี๊ยบ ชอบสะกิดปมด้อยของผู้อื่นอยู่เรื่อย?”
“หม่อมฉันเพียงกล่าวตามเนื้อผ้า”
แม้ปากกู้ชิวเหลิ่งจะกล่าวไปเช่นนี้ ทว่าในใจกลับกำลังพิจารณาอีกเรื่องหนึ่ง เมื่อก่อนไม่ว่าเซียวอวิ๋นเซิงจะทำอะไร แม้ดูไม่เป็นโล้เป็นพาย แต่กลับไม่ทำเรื่องเปล่าประโยชน์ ในความอำเภอใจซ่อนเร้นจุดประสงค์ และครั้งนี้ที่เซียวอวิ๋นเซิงเลือกเวลานี้ ทั้งยังเจออวี่เหวินเจี๋ยกับจวินฉีเซิ่งที่ปรากฏตัวอยู่ที่นี่โดยบังเอิญ หากว่าเซียวอวิ๋นเซิงไม่ทราบมาก่อน นางจะไม่เชื่อเด็ดขาด เวลานี้เซียวอวิ๋นเซิงยังเชื้อเชิญให้นางร่วมล่าสัตว์ ทั้งยังคล้อยตามคำพูดของจวินฉีเซิ่งที่ว่าให้ร่วมทางไปด้วยกันอีก นี่ไม่เหมือนวิสัยของเซียวอวิ๋นเซิงเลย
ต้องมีอะไรแน่
เซียวอวิ๋นเซิงพยุงกู้ชิวเหลิ่งขึ้นม้า ส่วนตัวเองกลับจูงม้าให้นางอยู่ข้างล่าง ไม่รู้สึกผิดแผกแม้แต่น้อย กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่บนหลังม้าอย่างสงบอย่างนั้น นางอยากดูสิว่าเซียวอวิ๋นเซิงคิดจะทำอะไรกันแน่
เซียวอวิ๋นเซิงกระซิบกับกู้ชิวเหลิ่งด้วยเสียงเบายิ่ง “เจ้ารู้สึกอย่างไรกับฮ่องเต้แคว้นฉี? ข้าเห็นเจ้ามองไปทางเขาตั้งหลายหน แววตานั้นยากจะคาดเดายิ่งกว่าตอนที่มองเซ่อเจิ้งหวางอีก”
กู้ชิวเหลิ่งแลเซียวอวิ๋นเซิงจากหลังม้า เอ่ย “ที่เซียวโหวเย๋น้อยนัดข้ามาในวันนี้ ก็เพื่อถามว่าข้าคิดอย่างไรกับฮ่องเต้แคว้นฉี? ช่างมีใจโดยแท้”
“นี่เพื่อความปลอดภัยของเจ้า ถ้าข้าเดาไม่ผิด คนที่จู่โจมเจ้ากับเซ่อเจิ้งหวางในพื้นที่ล่าสัตว์คราวก่อนน่าจะเป็น…”
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยขัด “เซียวโหวเย๋น้อย จู่ๆ หม่อมฉันก็รู้สึกปวดที่ไหล่ ให้หม่อมฉันลงไปเดินเถอะ”
เซียวอวิ๋นเซิงชำเลืองซ้ายชำเลืองขวาทีหนึ่ง พบกว่าอวี่เหวินเจี๋ยกำลังมองเขาอยู่ เอ่ย “หนิงจวิ้นจู่ไม่สบาย เจ้ายังไม่รีบประคองนางลงมาจากม้าอีก?”
เซียวอวิ๋นเซิงทราบว่ากู้ชิวเหลิ่งจงใจไม่อยากพูดกับเขามาก ดังนั้นจึงยอมรับความโชคร้าย เอ่ย “หนิงจวิ้นจู่ระวังไหล่ให้ดี ข้าจะพาเจ้าลงมาเดี๋ยวนี้แหละ”
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกว่าแขนเบาหวิว และพบว่าลงจากหลังม้าเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
สายตาของจวินฉีเซิ่งมองกู้ชิวเหลิ่งอยู่ตลอด ดูลักษณะการลงจากม้าของกู้ชิวเหลิ่งโดยละเอียด พบว่าต่างกับมู่หรงชิวอย่างสิ้นเชิง เมื่อนั้นจึงยกภูเขาออกจากอกกึ่งหนึ่ง
กู้ชิวเหลิ่งเจตนาและไม่เจตนามองปฏิกิริยาของจวินฉีเซิ่ง มั่นใจว่าจวินฉีเซิ่งยังจับผิดไม่ได้จริงๆ จึงเผยรอยยิ้ม
แต่นางก็ทราบว่าจวินฉีเซิ่งสังเกตทุกอากัปกิริยาของนางตลอดทาง ดังนั้นนางจึงจงใจเก็บเงาของมู่หรงชิวอย่างมิดชิด ให้จวินฉีเซิ่งไม่อาจเอานางไปคิดเชื่อมโยงกับมู่หรงชิวได้
จู่ๆ เซียวอวิ๋นเซิงก็เอ่ยขึ้น “เห็นแล้ว! กวาง!”
จวินฉีเซิ่งชูลูกศรแล้ว แต่กลับถูกเซียวอวิ๋นเซิงขวางไว้ เซียวอวิ๋นเซิงยิงถูกตัวกวางในดอกเดียว อวี่เหวินเจี๋ยก็ยิงไปอีกหนึ่งดอก ถูกตัวกวางด้วยเช่นกัน
เซียวอวิ๋นเซิงเอ่ยกับอวี่เหวินเจี๋ย “ท่านอ๋องรอง กวางตัวนี้ท่านกับข้าไปเอาด้วยกัน ใครได้มาก่อนกวางก็ตกเป็นของคนคนนั้น!”
อวี่เหวินเจี๋ยลังเลมองกู้ชิวเหลิ่งและจวินฉีเซิ่งทีหนึ่ง กวางตัวนั้นห่างจากพวกเขาไม่มาก แต่เมื่อเห็นเซียวอวิ๋นเซิงเร่งเร้าจึงเอ่ย “เช่นนั้นคนที่นำกวางกลับมาได้เร็วที่สุดคือผู้ชนะ”
เซียวอวิ๋นเซิงเหล่มองกู้ชิวเหลิ่งแวบหนึ่ง พบว่าสายตาของนางทอดตกอยู่กับกวางตัวนั้น ในดวงตาปราศจากคลื่นอารมณ์ ดังนั้นเซียวอวิ๋นเซิงจึงวิ่งนำเข้าไปในดงต้นไม้ก่อน
อวี่เหวินเจี๋ยก็ไม่ยอมแพ้ ไม่นานทั้งสองก็เร้นกายเข้าไปอยู่ในดงไม้
ทันใดนั้นก็มีความผิดปกติแล่นเข้ามาในหัวใจของกู้ชิวเหลิ่ง รู้สึกเหมือนเซียวอวิ๋นเซิงจงใจให้นางอยู่กับจวินฉีเซิ่งตามลำพัง
จวินฉีเซิ่งเอ่ยปากถาม “เห็นว่าการล่าสัตว์คราวที่แล้วหนิงจวิ้นจู่ได้รับบาดเจ็บที่ไหล่หรือ? เวลานี้ดีแล้วหรือยัง?”
กู้ชิวเหลิ่งดึงระยะห่างออกจากจวินฉีเซิ่งตามมารยาท เอ่ย “บาดเจ็บที่ไหล่เพคะ แต่ก็จับกุมคนร้ายได้แล้ว บาดแผลไม่เป็นอันตราย ดีขึ้นมากแล้วเพคะ”
“หนิงจวิ้นจู่ชอบดอกไห่ถังหรือ?”
เมื่อเอ่ยถึงดอกไห่ถัง กู้ชิวเหลิ่งถึงเห็นว่าลวดลายที่ปักบนชุดขี่ม้าคือดอกไห่ถัง เดิมนี่เป็นชุดที่เซียวอวิ๋นเซิงมอบให้นาง และนางก็มาตามที่รับปาก แต่เมื่อถูกจวินฉีเซิ่งสังเกตเห็นดอกไห่ถัง กลับคล้ายว่าจุดประสงค์จะเปลี่ยนไป