ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 153 งานมงคลสมรสของสองแคว้น 2
ถ้าหากไม่ใช่เพราะเซียวอวิ๋นเซิงเป็นน้องชายของเซียวหว่านชิง เซียวหว่านชิงก็คงจะไม่อยากพบนาง
เซียวอวิ๋นเซิง เพิ่มอุปสรรคให้นางอีกเรื่องหนึ่งอย่างไม่รู้ตัวแล้ว
อวี้ฉือจ้านกล่าวว่า: “ด้วยความเฉลียวฉลาดของเจ้า น่าจะสามารถเดาว่าหว่านเฟยหาเจ้าทำไม”
“นอกจากเซียวอวิ๋นเซิงแล้ว ก็ไม่มีคนอื่นอีก”
อวี้ฉือจ้านพยักหน้า กล่าวว่า: “เป็นเพราะเซียวอวิ๋นเซิงจริงๆนั่นแหละ แต่ว่าผู้ที่เอ่ยปากขอให้หว่านเฟยพบเจ้า กลับเป็นนายท่านเซียว”
ความทรงจำที่มีต่อนายท่านเซียวผู้นี้ของกู้ชิวเหลิ่งไม่ถือว่ามากนัก จำได้เพียงว่าตอนงานเลี้ยงแห่งแคว้นครั้งก่อนนายท่านเซียวมาแล้ว ท่าทางของผู้มีคุณธรรมและบารมีสูงส่งนั่นทำให้คนเคารพนับถืออย่างมาก
และระหว่างคิ้วล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความซื่อตรง ไม่มีกลิ่นอายความขุ่นมัวสกปรกในราชสำนักติดอยู่เลยแม้แต่น้อย
“นายท่านเซียวท่านนี้กลัวว่าข้าจะแย่งหลานรักของเขาไปหรือ?”
เมื่อคำพูดนี้ออกมาปากของกู้ชิวเหลิ่ง อวี้ฉือจ้านก็รู้สึกว่าบรรยายได้เหมาะสมมาก กล่าวว่า: “เขาไม่ได้กลัวอย่างอื่น กลัวแต่ว่าทายาทเพียงคนเดียวของตระกูลเซียวคนนี้จะเกิดความผิดพลาดอะไรขึ้นมา”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “ความจริงถ้าหากเซียวอวิ๋นเซิงไม่มาหาข้า ข้าก็จะไม่ไปหาเขาเองอยู่แล้ว”
“สิ่งที่นายท่านเซียวกลัว ก็คือการที่เขาจะมาหาเจ้านี่แหละ”
ในตอนที่อวี้ฉือจ้านกล่าวประโยคนี้ มีความหึงหวงพรั่งพรูออกมารางๆ
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกใส่ใจขึ้นมาอย่างอธิบายไม่ถูก กล่าวว่า: “ข้าจำได้ว่าทางไปวังหลังน่าจะไม่ใช่เส้นทางนี้”
“ไม่ใช่เส้นทางนี้จริงๆ แต่ว่าเส้นทางนี้ไม่มีคนผ่านไปมา”
อวี้ฉือจ้านหยุดฝีเท้าลง กล่าวว่า: “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ได้สนใจเซียวอวิ๋นเซิง เพียงแต่ข้ารู้สึกว่าระหว่างพวกเจ้ามีความลับร่วมกันอย่างหนึ่ง ความลับนี้ข้าเดาไม่ถูก อยากได้ยินจากปากของเจ้า”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “ในเมื่อเป็นความลับ ย่อมไม่สามารถบอกบุคคลที่สามอยู่แล้ว มิเช่นนั้นก็ไม่เรียกว่าความลับแล้ว ไม่ใช่หรือ?”
ไม่ไกลออกไปมีนางกำนัลที่มีกิริยาสง่าผ่าเผยนางหนึ่งเดินมา กล่าว: “บ่าวหรูอี้ หว่านเฟยเหนียงเหนียงรออยู่นานก็ยังมาไม่ถึง ดังนั้นจึงให้บ่าวมารับหนิงจวิ้นจู่”
อวี้ฉือจ้านพยักหน้า กล่าวว่า: “เมื่อครู่ข้ากับหนิงจวิ้นจู่พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ถูกชะตากันมาก ในเมื่อหว่านเฟยเร่งรัดแล้ว เช่นนั้นหนิงจวิ้นจู่ระวังความปลอดภัยตลอดทาง ข้าไม่สะดวกจะส่งต่อแล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “หม่อมฉันขออำลา”
กู้ชิวเหลิ่งติดตามหรูอี้ไปถึงวังของเซียวหว่านชิง มันดูแตกต่างไปจากที่กู้ชิวเหลิ่งคิดเอาไว้ ด้านนอกวังแห่งนี้ดูหรูหราอย่างมาก แต่ว่าพอเดินเข้าไปไม่ได้มีสีสันสดใส เพียงแค่ใช้ผ้าบางที่เรียบง่ายและงดงามสุภาพมากคลุมเอาไว้ เครื่องลายครามที่สง่างามเหมาะสมไม่กี่ชิ้น ดูไม่ออกว่าเป็นตำหนักบรรทมของพระสนมเลยแม้แต่น้อย สมถะเกินไปแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งโค้งคำนับเล็กน้อย กล่าวว่า: “หม่อมฉันกู้ชิวเหลิ่ง คำนับหว่านเฟยเหนียงเหนียง”
เซียวหว่านชิงกำลังนั่งปักดอกไม้อยู่บนเก้าอี้ เห็นกู้ชิวเหลิ่งมาแล้ว ถึงได้วางมันลง กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: “หนิงจวิ้นจู่ไม่ต้องมากพิธี เชิญนั่ง”
“หม่อมฉันขอบพระทัยหว่านเฟยเหนียงเหนียง”
กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่นางกำนัลส่งมาให้ ครั้งนี้ได้พบกับเซียวหว่านชิงอย่างใกล้ชิด แตกต่างไปจากครั้งที่แล้วอย่างมาก
ความสูงศักดิ์ลดลงไปเล็กน้อย ความเป็นมิตรและน่ามองมากขึ้นมาเล็กน้อย
“แขกเหรื่อข้างนอกยังมาไม่ครบ ไปตอนนี้ส่วนมากก็มีแต่คนที่แสร้งทำเป็นอ่อนน้อมและคล้อยตามเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นหนิงจวิ้นจู่เป็นผู้หญิง รู้จักคนไม่มาก ไปแล้วก็น่าเบื่อ ไม่สู้ข้าเรียกเจ้ามา พูดคุยเรื่องสัพเพเหระดีกว่า”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “หว่านเฟยเหนียงเหนียงกำลังปักดอกอะไรอยู่หรือเพคะ?”
เซียวหว่านชิงมองดูผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือ กล่าวว่า: “กุหลาบจีนน่ะ”
“กุหลาบจีน เป็นตัวแทนความสูงส่งสง่างาม จงรักภักดีมิมีเสื่อมคลาย เป็นดอกไม้ที่ดีมาก เหมาะสมกับหว่านเฟยเหนียงเหนียงอย่างมาก”
เซียวหว่านชิงมองพิจารณากู้ชิวเหลิ่งอย่างละเอียด ในงานเลี้ยงแห่งแคว้นก่อนหน้านี้ไม่ได้สร้างมิตรภาพที่แน่นแฟ้น ครั้งนี้กลับรู้สึกว่าเมื่อเข้าใกล้มากขึ้น ทั่วทั้งตัวของนางล้วนกำลังแผ่ซ่านลักษณะบุคลิกที่คนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้ออกมา
ในขณะที่เซียวหว่านชิงมองพิจารณากู้ชิวเหลิ่ง กู้ชิวเหลิ่งก็มองพิจารณาเซียวหว่านชิงอย่างละเอียดเช่นกัน
ต้องบอกว่า เซียวหว่านชิงเป็นสาวงามที่มีบุคลิกท่าทางสูงส่งมีเสน่ห์คนแรกที่นางเคยเห็น สาวงามเช่นนี้หาได้ยากมาก ที่เรียกกันว่าหญิงมีความสามารถในบางแห่งก็ยังไม่สามารถทำการฝึกกายบ่มใจได้อย่างแท้จริง มีเพียงเซียวหว่านชิงเท่านั้น นางทำให้คนรู้สึกว่าลึกซึ้งจนคาดเดาไม่ได้ มีรูปลักษณ์ของมารดาแห่งแผ่นดินอย่างมาก
“ข้าเคยได้ยินอวิ๋นเซิงเอ่ยถึงเจ้า เพียงแต่ว่าอวิ๋นเซิงนิสัยดื้นรั้น เกรงว่าคงมีบางอย่างทำให้ขุ่นเคืองใจ ข้าขอโทษเจ้าแทนเขาตรงนี้ไว้ก่อนเลย”
กู้ชิวเหลิ่งเซียวกล่าวว่า: “หม่อมฉันมิกล้า โหวเย๋น้อยกับหม่อมฉันพบกันไปเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ไม่ได้ถือว่ามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และก็ไม่มีอะไรที่ขุ่นเคืองหรือไม่ขุ่นเคืองใจ ครั้งนี้หว่านเฟยเหนียงเหนียงกลับทำให้หม่อมฉันหวาดหวั่นแล้ว”
เซียวหว่านชิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “ที่แท้……ก็แค่พบกันไปเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น?”
“เพคะ”
เซียวหว่านชิงกล่าวว่า: “ก่อนหน้านี้อวิ๋นเซิงมาหาข้าก็มักจะเอ่ยถึงหนิงจวิ้นจู่อยู่บ่อยๆ ข้าก็นึกว่า……”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวตัดบท: “หว่านเฟยเหนียงเหนียงกังวลไปแล้ว เซียวโหวเย๋น้อยเป็นทายาทตระกูลขุนศึก ถึงแม้หม่อมฉันกับเซียวโหวเย๋จะพบหน้ากันไปเพียงไม่กี่ครั้ง แต่ว่านิสัยที่แท้จริงของน้อยเซียวโหวเย๋น้อยไม่เลวร้าย ความคิดละเอียดรอบคอบ ถึงแม้จะอายุน้อยและดื้อรั้นไปชั่วขณะ แต่หลังจากที่เติบโตแล้ว ต้องสามารถสืบทอดตำแหน่งได้อย่างแน่นอน”
คำพูดนี้พูดเข้าไปถึงในใจของเซียวหว่านชิง เซียวอวิ๋นเซิงทำอะไรก็มักจะเป็นอิสระไม่ถูกจำกัดมาโดยตลอด ทำให้คนในบ้านเป็นห่วงอย่างมาก โดยเฉพาะเมื่อหลายวันก่อนนายท่านเซียวเข้าวังมาพบนางอย่างเร่งรีบ ก็เพราะกลัวว่าอวิ๋นเซิงจะมีใจให้กับกู้ชิวเหลิ่ง สิ่งที่กลัวที่สุดคือกู้ชิวเหลิ่งก็มีใจให้กับเซียวอวิ๋นเซิงเช่นกัน
เมื่อได้พบวันนี้ เซียวหว่านชิงมั่นใจได้ว่า กู้ชิวเหลิ่งไม่เพียงแต่ไม่สนใจเซียวอวิ๋นเซิงเท่านั้น ในใจยังเห็นเซียวอวิ๋นเซิงเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น คุยกันถึงตรงนี้ เซียวหว่านชิงถึงได้วางใจลงมา แล้วก็แอบรู้สึกว่ากู้ชิวเหลิ่งไม่หยาบคายทางวาจา กิริยาท่าทางเหมาะสม ในสายตาเปี่ยมไปด้วยปัญญาและความยับยั้งชั่งใจ ถึงแม้ว่าน้องชายของตัวเองจะตกหลุมรักผู้หญิงเช่นนี้ ก็ไม่ทำให้คนรู้สึกแปลกใจ
หรูอี้นางกำนัลประจำตัวของเซียวหว่านชิงเดินเข้ามา กล่าวออกมาอย่างเคารพนบนอบ: “ทูลหว่านเฟยเหนียงเหนียง ฝ่าบาทกับเซ่อเจิ้งหวางเตรียมพร้อมในตำหนักแล้ว รอเพียงหว่านเฟยเหนียงเหนียงกับหนิงจวิ้นจู่เข้าประจำที่นั่งในงานเท่านั้นแล้ว”
เซียวหว่านชิงพยักหน้า กล่าวว่า: “รู้แล้ว เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
“บ่าวรับคำสั่ง”
เซียวหว่านชิงมองดูกู้ชิวเหลิ่งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม กล่าวว่า: “เวลานี้แตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมา ตอนนี้เจ้าคือหนิงจวิ้นจู่ของต้าเยียน ฐานะไม่ต่ำต้อย ติดตามข้าไปนั่งที่เดียวกันเถอะ”
“บ่าวรับคำสั่ง”
เซียวหว่านชิงมองดูกู้ชิวเหลิ่งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม กล่าวว่า: “เวลานี้แตกต่างจากในอดีตที่ผ่านมา ตอนนี้เจ้าคือหนิงจวิ้นจู่ของต้าเยียน ฐานะไม่ต่ำต้อย ติดตามข้าไปนั่งที่เดียวกันเถอะ”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้ว: “หม่อมฉันทราบแล้ว หม่อมฉันขอบพระทัยหว่านเฟยเหนียงเหนียงมากเพคะ”
คำพูดของเซียวหว่านชิงเต็มไปด้วยความปรารถนาดี ความรู้สึกดีๆที่มีแสดงออกมาต่อกู้ชิวเหลิ่งไม่เสแสร้งเลยแม้แต่น้อย
กู้ชิวเหลิ่งก็ไม่ได้ปฏิเสธ ติดตามกองเกียรติยศของเซียวหว่านชิงมาถึงตำหนักตลอดทาง
เห็นเพียงภายในตำหนักถูกประดับประดาไปด้วยผ้าต่วนสีแดง เป็นการเฉลิมฉลองที่เคร่งขรึมอย่างหาได้ยาก
กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่ตรงด้านล่างที่นั่งของเซียวหว่านชิง ก็เห็นอวี้ฉือจ้านนั่งอยู่ด้านข้าง เลิกคิ้วมองดูนางมานานพักใหญ่แล้ว
และจวินฉีเซิ่งที่อยู่ด้านล่างสวมชุดคลุมสีแดง คนที่นั่งอยู่ด้านข้างคือฉินโม่เอ๋อร์
ฉินโม่เอ๋อร์ผู้ซึ่งแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีขาวตลอดพอสวมชุดแดงแล้ว กลับงดงามสดใสอย่างหาได้ยาก
จู่ๆกู้ชิวเหลิ่งก็นึกถึงตอนแต่งงานกับจวินฉีเซิ่งเมื่อชาติที่แล้ว สร้างความฮือฮาไปทั่วทั้งเมืองหลวงแคว้นฉี จวินฉีเซิ่งก็สวมชุดสีแดง ให้คำมั่นสัญญาตลอดชีวิตในคืนเข้าหอ ไม่ว่าวันหน้าจะลำบากยากเข็ญเพียงใด ก็จะอยู่เคียงข้างไม่ทอดทิ้งกัน
แต่เมื่อมาคิดดูตอนนี้แล้ว มันช่างน่าขำมากจริงๆ
รู้สึกได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความอาฆาต จวินฉีเซิ่งหันกลับมาทันที กลับเห็นเพียงกู้ชิวเหลิ่งกับอวี้ฉือจ้านพูดคุยสนุกสนาน ไม่ได้มีดวงตาแบบนั้นมองดูเขา