ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 159 พิษใครร้ายกว่าก็ยังมิแน่
การเคลื่อนไหวของอวี้ฉือจ้านนั้นรวดเร็วมาก ดังที่คิดไว้ วันรุ่งขึ้นได้มีคนมาขนย้ายหีบทองไปจริงๆ
เอี้ยนซานเหนียงเดินวนไปวนมา เนื่องจากก่อนงานแต่งงานใหญ่ เจ้าสาวห้ามเดินทางออกจากบ้าน ดังนั้นแม้แต่กู้ชิวถาง นางเองก็มิสามารถออกไปพบได้
ตอนแรกกู้ชิวเหลิ่งก็คิดว่ามิได้พิธีรีตองอะไรมาก ประเดี๋ยวก็ผ่านไป แต่อวี้ฉือจ้านให้ความสนใจกับเรื่องเหล่านี้มาก มิเพียงแต่มิให้ผู้ใดเข้าพบ แม้แต่ตัวเขาเองก็มิได้เดินทางมา หารู้ไม่ว่าด้านนอกของสวนเฉินเซียงมีองครักษ์ลับเฝ้าจับตามองอยู่มากมายแค่ไหน มิมีทางที่ชายใดจะหลุดรอดเข้าไปได้อย่างแน่นอน
จูเอ๋อร์รินน้ำชาให้กับกู้ชิวเหลิ่ง จากนั้นกล่าวออกมาว่า “หลายวันที่ผ่านมานี้มิรู้ว่ากู้เจินไปอยู่แห่งหนใด ตอนที่ข้าไปหาเขา เขาก็มิเคยอยู่สักครั้ง คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูคิดว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะหนีออกไปแล้ว?”
“หนี?”
กู้ชิวเหลิ่งจิบชาพร้อมกล่าวว่า “เขาจะหนีไปหรือไม่ข้ามิอาจรู้ แต่ด้วยความสามารถของเขา ต่อให้ต้าเยียนก็มิสามารถรั้งเขาไว้ได้ หากเขายืนกรานที่จะไป ข้าจะทำเช่นไรได้?”
กู้ชิวเหลิ่งนึกถึงวันนั้น วันที่กู้เจินปรากฏตัวในตรอกเพื่อช่วยนาง และหลังจากวันนั้น นางก็มิเคยเห็นกู้เจินอีกเลย
งานแต่งใกล้เข้ามาทุกที นางจึงมิได้ใส่ใจเรื่องของกู้เจินสักเท่าไหร่ แต่เนื่องจากกู้เจินเป็นคนในราชวงศ์ของต้าโม่ น่าจะรู้เรื่องของจวินหวาเทียน แต่น่าเสียดายจากการไถ่ถามเรื่องราวครั้งก่อน ดูเหมือนกู้เจินมิค่อยอยากจะพูดอะไร
“หากกู้เจินหนีไปจริง ก่อนหน้านี้คุณหนูพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดึงตัวเขามา เช่นนี้มันจะมิใช่การเนรคุณอย่างนั้นหรือ?”
“จะนับว่าเนรคุณก็มิได้”
กู้ชิวเหลิ่งวางถ้วยชาในมือ ก่อนหน้านี้ที่พาตัวของกู้เจินกลับมา ในใจคิดอยากจะเก็บอีกฝ่ายมาเป็นผู้พิทักษ์ แต่ตอนที่ได้เห็นกู้เจิน จึงพบว่ากู้เจินนั้นมิใช่คนธรรมดา ตั้งแต่บัดนั้นมานางก็รู้ทันทีว่ากู้เจินมิใช่คนที่สามารถควบคุมได้ นางจึงใช้ความคิดอย่างมาก เพื่อคิดหาวิธีในการนำกู้เจินมาอยู่ข้างกายเพื่อเป็นหลักประกัน
คนในราชวงศ์ของต้าโม่ มิใช่สามารถพบเจอได้ตามต้องการ ยิ่งไปกว่านั้นความสัมพันธ์ของนางกับกู้เจินเหมือนความสัมพันธ์ของนายบ่าว
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วอย่างกะทันหัน “เสียงอะไรดังอยู่ที่ด้านนอก?”
“ข้ามิเห็นได้ยินเสียงอะไรเลย?”
หูของนางว่องไวกว่าผู้อื่น เมื่อสักครู่นางแอบได้ยินเสียงงู แต่จูเอ๋อร์กลับมิได้ยิน
หลายวันที่ผ่านมาแทบมิมีใครได้เข้ามาเหยียบในสวนเฉินเซียงเลย ทุกคนเอาแต่ออกไปแขวนผ้าและโคมไฟสีแดงอยู่ด้านหน้าจวน นอกจากนั้นยังต้องเตรียมในเรื่องอื่นๆ ของงานแต่งงานที่จะจัดขึ้น ทำให้สวนเฉินเซียงในบัดนี้ดูสะอาดกว่าที่ผ่านมามาก
จนกระทั่งได้ยินเสียงของดาบจากภายนอก กู้ชิวเหลิ่งจึงลุกขึ้นยืนและเปิดประตูออกไป
จากนั้นก็ได้เห็นองครักษ์ลับสามสี่คนร่วงหล่นลงมาจากต้นไม้ บนร่างของพวกเขาถูกงูโปร่งแสงขดรัดอยู่
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นนำเข็มเงินที่อยู่ในแขนเสื้อออกมาห้าเล่ม แต่ละเข็มพุ่งไปยังตำแหน่งสำคัญบนร่างกายของงู
แต่มันกลับมิได้ผลใด
จูเอ๋อร์ตกใจจนเกือบจะล้มลงกับพื้น งูโปร่งแสงมากมายที่อยู่บนพื้น ความเร็วในการเลื้อยของพวกมันรวดเร็วกว่างูทั่วไปมาก
ผ้าคลุมสีฟ้ายาวลงมาปกคลุมทั่วทิศทางของเสลี่ยงนุ่ม ถูกหญิงสาวสองคนยกขึ้นไป
จากนั้นได้ยินเสียงของเป่ยไห่เฟิงกล่าวออกมาว่า “ในที่สุดข้าก็ตามหาเจ้าจนเจอ คุณหนูคนรองแห่งตระกูลกู้ หนิงจวิ้นจู่แห่งต้าเยียน กู้ชิวเหลิ่ง”
สีหน้าของกู้ชิวเหลิ่งมิมีการเปลี่ยนแปลงใด เป่ยไห่เฟิงกล่าวออกมาด้วยความสนอกสนใจว่า “มิต้องกังวล งูเหล่านี้เป็นงูทะเล เขี้ยวพิษของพวกมันถูกข้านำออกมาหมดแล้ว แต่เจ้าควรตามข้าไปแต่โดยดี มิเช่นนั้นข้าก็คงต้องใช้งูพิษที่แท้จริงของข้า”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มออกมาตรงมุมปาก “เช่นนั้นหรือ? พิษของใครร้ายแรงกว่า เรื่องนี้มันก็มิแน่”
เป่ยไห่เฟิงคิดว่ากู้ชิวเหลิ่งพูดออกมาพูดพล่อยๆ แต่คิดมิถึงเลยว่าเข็มที่กู้ชิวเหลิ่งขว้างออกไปใส่งูทะเลของเขาในตอนแรก บัดนี้ร่างกายของพวกมันได้เหี่ยวเฉา ร่วงหล่นลงมาจากร่างกายของเหล่าองครักษ์ลับราวกับกิ่งไม้แห้ง
สีหน้าของเป่ยไห่เฟิงเปลี่ยนไปอย่างมาก กู้ชิวเหลิ่งกล่าวออกมาว่า “เจ้าน่านน้ำ ท่านมิสืบคู่ต่อสู้ของตนเองก่อนเลยอย่างนั้นหรือ? แม้งูพิษของเจ้าจะมิมีพิษ แต่เข็มเงินของข้านั้นมีพิษ ต่อให้เจ้าเรียกงูพิษของเจ้าออกมาได้ บัดนี้มันก็คงตายไปอย่างมิต้องสงสัย”
องครักษ์ลับทั้งสี่คือผู้มีความสามารถที่อวี้ฉือจ้านคัดเลือกมาด้วยตัวเอง บัดนี้พวกเขาหลุดจากพันธนาการของงูพิษแล้ว ดาบเย็นในมือของพวกเขาเปล่งประกาย พุ่งโจมตีไปทางเป่ยไห่เฟิง
สตรีที่อยู่ข้างกายของเป่ยไห่เฟิงนั้นมิใช่แค่สิ่งประดับ การเคลื่อนไหวของทั้งสองพลิ้วไหวกว่างู แม้องครักษ์ลับทั้งสี่จะทำการโจมตีพร้อมกัน แต่พวกนางก็สามารถต้านทานเอาไว้ได้
“เจ้าน่านน้ำ บัดนี้ยังคิดว่าข้ายังจำเป็นต้องตามเจ้าไปอีกหรือไม่?”
เป่ยไห่เฟิงแอบขบฟันแน่น ก่อนหน้านี้กู้ชิวเหลิ่งจับเขาเข้าไปขังไว้ในหอชุนเฟิงเต๋ออี้ แม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะทำลายหอชุนเฟิงเต๋ออี้ไปแล้ว แต่ความขุ่นเคืองในใจของเขายังคงอยู่ หลายวันก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าอวี้ฉือจ้านกำลังจะแต่งงานกับคุณหนูรองของตระกูลกู้ เขาจึงสืบพบว่าสตรีที่มาเล่นตลกกับเขาครั้งที่แล้วก็คือกู้ชิวเหลิ่ง และครั้งนี้เขาคิดว่าจะมิเกิดข้อผิดพลาดแต่อย่างใด แต่คิดมิถึงเลยว่ากู้ชิวเหลิ่งจะเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนี้ จนทำให้เขาต้องพบกับความมืดมนอีกครั้ง
กู้ชิวเหลิ่งจ้องมองไปยังเป่ยไห่เฟิงที่แอบกัดฟันอยู่ ด้วยความพึงพอใจ จากนั้นกล่าวออกมาว่า “พวกเจ้าถอยออกไปก่อน”
องครักษ์ลับหยุดลงมือทันที พวกเขารีบเคลื่อนตัวไปอยู่มุมทั้งสี่ของห้องด้วยความรวดเร็ว และเฝ้ามองเป่ยไห่เฟิงด้วยความระมัดระวัง
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวออกมาว่า “ในเมื่อข้าเคยปล่อยเจ้าไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เจ้าน่านน้ำกลับมิไปไหน หรือว่าอยากจะอยู่ดื่มน้ำชาที่นี่?”
กู้ชิวเหลิ่งเอ่ยคำไล่อย่างไร้หัวใจ แม้เป่ยไห่เฟิงจะมีแหล่งกำเนิดเดียวกับอวี้ฉือจ้าน แต่จากครั้งก่อนที่นางได้เห็น ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็ดูมิค่อยดีนัก
เป่ยไห่เฟิงขมวดคิ้ว จากนั้นกล่าวออกมาว่า “จากการเดินทางมานี้ ข้ารู้สึกกระหายน้ำเป็นอย่างมาก คุณหนูรองจะเชิญข้าเข้าไปดื่มชาด้านในอย่างนั้นหรือ?”
เขาฟังออกว่ากู้ชิวเหลิ่งต้องการที่จะไล่เขากลับไป จึงจงใจกล่าวเช่นนี้ออกมา เขาเป่ยไห่เฟิง แต่ไหนแต่ไรก็มิเคยถูกสตรีรังแกเช่นนี้มาก่อน
กู้ชิวเหลิ่งเองก็คิดมิถึงเหมือนกันว่าเป่ยไห่เฟิงจะตอบกลับมาเช่นนี้ นางรู้สึกขบขันในทันที “เจ้าน่านน้ำอยากดื่มชา เช่นนั้นก็คงต้องลองไตร่ตรองให้ดีว่าหลังจากที่ดื่มชาเข้าไปแล้วจะเกิดปัญหาอะไรขึ้นหรือไม่ เนื่องจากชาในสวนเฉินเซียงของข้ามิได้คุณภาพดีมากมาย เจ้าอาจจะต้องดื่มมันด้วยชีวิต”
เป่ยไห่เฟิงกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “มิว่าจะเป็นชาแบบไหนข้าก็เคยดื่มมาแล้วทั้งนั้น มีเพียงชนิดเดียวที่ข้ามิเคยดื่ม นั่นก็คือชาจากสวนเฉินเซียงของเจ้า เจ้าลองนำมันออกมาให้ข้าลองชิมสักหน่อย ข้าอยากรู้ว่ามันเป็นชาที่ยอดเยี่ยมเพียงไรกัน ที่ดื่มเข้าไปแล้วถึงกับทำให้ผู้ซึ่งสง่างามอย่างข้าถึงกับสิ้นลมหายใจ”
ในตอนที่กู้ชิวเหลิ่งกำลังจะเอ่ยบางอย่างออกมา เป่ยไห่เฟิงก็กล่าวว่า “คุณหนูรอง เจ้าลองคิดทบทวนให้ดี อย่างน้อยข้าก็เป็นถึงเจ้าน่านน้ำ มีพลังและอำนาจอยู่ในมือ หากบัดนี้เจ้าทำให้ข้าขุ่นเคือง ในอนาคตหากมีเรื่องที่ต้องการมารบกวนข้า แบบนั้นก็คงต้องแลกมาด้วยอะไรที่มากกว่า”
กู้ชิวเหลิ่งหรี่ตาลงด้วยความอันตราย ความแข็งแกร่งของเป่ยไห่เฟิงเมื่ออยู่ในทะเลนั้นมิธรรมดา ทั้งยังมีความสัมพันธ์กับกองกำลังบนบกอีกหลายกลุ่ม หากมีวันที่นางมิสามารถยืนด้วยขาของตนเองได้ บางทีอาจจะต้องพึ่งพากำลังของเป่ยไห่เฟิง
แต่ว่านั่นเป็นเรื่องของอนาคต
“คำพูดของเจ้าน่านน้ำช่างดูอวดดีเหลือเกิน เกรงว่าเจ้าคงจะมิได้ลิ้มรสของชา แต่คงจะได้ลิ้มรสของดาบและมีดจากองครักษ์ลับแทน และหากเจ้าอยากลองชิมมันจริงๆ เมื่อไปถึงหน้าสุสานของเจ้า ข้าจะนำมันไปมอบให้กับเจ้าด้วยตนเอง”
เป่ยไห่เฟิงมองมายังกู้ชิวเหลิ่งด้วยความเหลือเชื่อ องครักษ์ลับทั้งสี่คนพร้อมจะลงมือ เป่ยไห่เฟิงมองออกได้ว่ากู้ชิวเหลิ่งมิได้พูดเล่น