ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 161 การลักพาตัวก่อนงานเสกสมรส
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 161 การลักพาตัวก่อนงานเสกสมรส
กู้ชิวเหลิ่งนั่งหน้ากระจกทองแดง เอี้ยนซานเหนียงถือหวีกระดูกอยู่ในมือค่อยๆ บรรจงหวีผมกู้ชิวเหลิ่งอย่างละมุนละม่อม
กู้ชิวเหลิ่งที่อยู่ตรงหน้ากระจกทองแดงในตอนนี้มองซ้ายมองขวา จิตใจมิอยู่กับเนื้อกับตัว แววตาทั้งคู่ราวกับน้ำลึกที่มิอาจหยั่งถึงได้ แก้มแดงระเรื่อด้วยเครื่องประทินโฉม ริมฝีปากเปล่งปลั่งสวยงามด้วยชาด เป็นโฉมหน้างามล่มบ้านล่มเมืองอย่างปฏิเสธมิได้
เอี้ยนซานเหนียงรับคำสั่งอวี้ฉือจ้านให้นำมงกุฎกับผ้าคลุมไหล่มาวางไว้ด้านข้างตู้เสื้อผ้าพลางเอ่ยว่า “ท่านอ๋องสั่งให้ข้าน้อยมาช่วยคุณหนูอาบน้ำขัดผิว หากคุณหนูมิพึงใจกับมงกุฎและผ้าคลุมไหล่ชุดนี้ก็ให้แจ้งกับข้าน้อยทันที”
“มิต้องแล้ว กลับไปบอกเขาว่าข้าพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง”
ใบหน้าของกู้ชิวเหลิ่งเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ เอี้ยนซานเหนียงกล่าวว่า “ข้าน้อยเพิ่งจะเห็นรอยยิ้มเยี่ยงนี้บนใบหน้าของคุณหนู เชื่อว่าคุณหนูกับท่านอ๋องต้องมีความสุขเป็นแน่เชียว”
ฟังเอี้ยนซานเหนียงกล่าวเยี่ยงนี้ รอยยิ้มของกู้ชิวเหลิ่งก็เลือนหายไปในบัดดล เอี้ยนซานเหนียงมองแล้วก็หัวเราะเบาๆ พลางเอ่ยว่า “เหตุใดกันคุณหนู?” การที่ชอบใครสักคนจะต้องปกปิดด้วยหรือ?
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาอย่างช้าๆ ว่า “การที่ชอบใครสักคนเหตุใดต้องปกปิดงั้นหรือ? ข้าก็ใคร่รู้เช่นกัน เพียงแต่บางครั้งการชอบใครสักคนนั้นกลับกลายเป็นภาระ ”
เอี้ยนซานเหนียงกล่าว “เมื่อเจอคนที่ชอบเหตุใดถึงเป็นภาระกันเล่า? ข้าน้อยกลับคิดเห็นต่างว่า การที่มีใครสักคนสามารถจับมือกับตนเพื่อพร้อมร่วมเดินทางไปด้วยกันในวันข้างหน้าถือเป็นเรื่องที่ควรค่าแก่การยินดีปรีดา”
กู้ชิวเหลิ่งก้มหน้าลง เพราะทุกประโยคที่เอี้ยนซานเหนียงกล่าวมานั้นล้วนสัมผัสใจของนาง
คนที่จะจับมือไปด้วยกันในวันข้างหน้า นางเคยคิดว่าคนคนนั้นคือจวินฉีเซิ่ง แต่นางกลับคิดผิดไป
ครั้งนี้ แม้แต่นางเองก็มิอาจรู้ว่าภายในใจกำลังกลัวสิ่งใดอยู่
อวี้ฉือจ้านกับจวินฉีเซิ่งเหมือนกันหรือ? มิเหมือน สัญชาตญาณบอกนางว่าอวี้ฉือจ้านมิใช่
เอี้ยนซานเหนียงช่วยกู้ชิวเหลิ่งหวีมวยผมข้างหนึ่ง แล้วนำข้างหนึ่งของมงกุฎมาสวมไว้บนศรีษะของกู้ชิวเหลิง เครื่องประดับพู่ไข่มุกด้านบนห้อยระย้าลงมาบดบังใบหน้าของกู้ชิวเหลิ่ง ดูแล้วช่างงามเพริศพริ้งเกินบรรยาย
เอี้ยนซานเหนียงกล่าวว่า “วันพรุ่งก็จะเป็นงานเสกสมรสแล้ว อย่าหาว่าประจบแต่อย่างใด ข้าน้อยคิดว่าคุณหนูเป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดเท่าที่เคยพบเห็นมาเลยเชียว”
กู้ชิวเหลิ่งยกมือของตนขึ้นมาปิดใบหน้าอย่างเบาๆ กระจกทองแดงบานตรงหน้าปรากฏให้เห็นโฉมหน้าของหญิงงามที่งามจนล่มบ้านล่มเหมือนอย่างที่กล่าวไว้จริงๆ
แต่ก่อนนางมิมีรูปโฉมที่งดงามเยี่ยงนี้ แต่กระนั้นก็ยังเทียบเคียงได้เพียงแค่เศษหนึ่งส่วนสิบของความงามมู่หรงอี๋เท่านั้น นับว่านางนั้นมีความกล้าหาญเยี่ยงบุรุษ แต่กลับขาดเสน่ห์อันน่าหลงใหลของสตรี
ตอนนี้นางได้ครอบครองร่างกายของกู้ชิวเหลิ่ง แต่รูปโฉมนั้นกลับมิใช่ของตนเอง เดิมทีนางต้องการที่จะแก้แค้นจวินฉีเซิ่งมู่หรงอี๋เสร็จแล้วก็จะปลิดชีพตนเอง แต่ทว่าบัดนี้นางกลับรู้สึกอาลัยอาวรณ์ในโลกนี้อยู่บ้าง
เมื่อกู้ชิวเหลิ่งหลับตาลง ในหัวของนางมีแต่ภาพของอวี้ฉือจ้านปรากฏออกมา
กู้ชิวเหลิ่งจึงเบิกตาโพลงขึ้นทันที ทำให้หวนนึกถึงประโยคหนึ่งที่แม่เคยพูดไว้ในอดีตว่า ถ้าชอบใครสักคน เมื่อหลับตาลงก็จะเห็นใบหน้าของเขา
“ดึกมากแล้ว ถอดออกเถิด”
เอี้ยนซานเหนียงยืนอยู่ด้านข้างจ้องมองออกไปด้านนอกเห็นเป็นท้องฟ้าดำสนิทพลางกล่าวว่า “ท่านอ๋องฝากให้ข้าน้อยมาบอกด้วยอีกว่า งานเสกสมรสในวันพรุ่งจะต้องเหนื่อยอย่างมาก จึงใคร่อยากให้คุณหนูพักผ่อนให้เต็มอิ่ม เพื่อจะได้ดูสดใสมีชีวิตชีวา ”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้า แล้วเอี้ยนซานเหนียงก็เริ่มถอดมงกุฎให้กับนาง
เมื่อครั้งที่นางเข้าพิธีเสกสมรสกับจวินฉีเซิ่งเพิ่งจะเข้าสู่วัยแรกแย้ม ยังมิรู้ว่าจวินฉีเซิ่งมู่กับมู่หรงอี๋คบชู้กัน
จำได้ว่าก่อนตายมู่หรงอี๋ได้คายความลับของจวินฉีเซิ่งออกมามากมาย โดยที่นางมิเคยรู้มาก่อนเลยแม้แต่เรื่องเดียว แต่มู่หรงอี๋กลับรู้ทุกอย่าง เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าทั้งคู่แอบมีความสัมพันธ์แบบลับๆ กันมาหลายปี
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ โลหิตในร่างกายของกู้ชิวเหลิ่งก็เยือกเย็นขึ้นโดยฉับพลัน
เอี้ยนซานเหนียงมองเห็นถึงความผิดปกติจึงถามว่า “คุณหนู?”
เมื่อกู้ชิวเหลิ่งคืนสติตนเองได้ก็เอ่ยว่า “ข้าเพียงเหนื่อยล้านิดหน่อย เจ้าเองก็รีบกลับไปเถิด อย่าให้ท่านพ่อกู้หนานเฉิงต้องสงสัย ”
เอี้ยนซานเหนียงพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ถ้าเยี่ยงนั้นส่วนที่เหลือจะให้จูเอ๋อร์จัดการ ข้าน้อยขอลา”
รอจนเอี้ยนซานเหนียงลับสายตาไป กู้ชิวเหลิ่งเพิ่งจะแสดงออกสีหน้าอย่างหนักอึ้ง ก่อนหน้านี้ให้สัญญาว่าจะสมรสกับอวี้ฉือจ้าน ด้วยสาเหตุที่อวี้ฉือจ้านมีอำนาจและอิทธิพล ประกอบกับทั้งคู่ต่างมีเป้าหมายเดียวกัน แผนที่ยึดอำนาจวินฉีเซิ่งในวันข้างหน้าก็จะง่ายดายยิ่งขึ้น
แต่ทว่าตอนนี้……
ทันใดนั้นประตูถูกเปิดออก กู้ชิวเหลิ่งมองเริ่มภาพเบื้องหน้ามิชัดเจน รู้สึกสายตามองเห็นเลือนรางอย่างฉับพลัน ราวกับว่าดวงตาถูกหมอกควันปกคลุมไว้
ในใจของกู้ชิวเหลิ่งร้องเตือนว่าเป็นลางร้ายอยากที่จะตอบสนอง แต่ทว่าประสาทสัมผัสกลับรู้สึกราวกับเป็นอัมพาต มิอาจขยับเขยื้อนได้อีกแล้ว
ขณะที่กู้ชิวเหลิ่งกำลังเบิกตานั้น ก็มองเห็นภาพตรงหน้าขมุกขมัวที่มิใช่ลักษณะของสวนเฉินเซียงแม้แต่น้อย
บริเวณรอบๆ ดูทรุดโทรมเป็นอย่างมากซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างรางๆ ว่าเป็นวัดเก่าแห่งหนึ่ง
กู้ชิวเหลิ่งอยากจะปริปากพูดแต่ถูกผ้ามัดไว้อย่างแน่น มือเท้าก็ถูกล่ามไว้ด้วยโซ่เหล็ก หน้าผากของกู้ชิวเหลิ่งเหงื่อแตกด้วยความกลัว ความรู้สึกเยี่ยงนี้ทำให้นางนึกถึงความรู้สึกก่อนตาย นางถูกมัดมือมัดเท้าไว้ราวกับเป็นสุนัขตัวหนึ่งที่มิอาจเคลื่อนไหว
ความรู้สึกเยี่ยงนี้ นางเคยรับรู้มาแล้วครั้งหนึ่ง ความมืดมิดโดยรอบถาโถมเข้ามา กู้ชิวเหลิ่งกำมือแน่น
มีร่างปริศนาปรากฏออกมาท่ามกลางความมืด จากนั้นก็เดินดุ่มออกมาจากซอกมุมราวห้าถึงหกคน ต่างสวมชุดและโพกผ้าสีเทา การแต่งกายเยี่ยงนี้ราวกับเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน
“นำตัวซีเหมินมู่เจินออกมา”
ทันใดนั้นกู้ชิวเหลิ่งก็ได้สติกลับมา คนนั้นที่เป็นหัวหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ฟังจากสำเนียงแล้วดูเหมือนมิใช่คนท้องถิ่น แต่เหมือนกับสำเนียงของคนถิ่นทะเลทรายเมื่อครั้งที่เจอกู้เจินครั้งแรก
ยิ่งกว่านั้นเมื่อครู่เขาเพิ่งจะถามซีเหมินมู่เจิน แสดงว่านั่นต้องเป็นคนถิ่นทะเลทรายอย่างแน่
คนที่เป็นหัวหน้าส่งสายตาบอกนัยบางอย่างให้คนกับด้านข้าง ก่อนที่คนด้านข้างนั้นจะพยักหน้าและถอดด้านบนผ้าที่ปิดปากกู้ชิวเหลิ่งออก
กู้ชิวเหลิงไอกระแอมขึ้น เรือนร่างยังคงอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง “พวกเจ้าเพิ่งเอ่ยว่า กำลังหาผู้ใดอยู่?”
คนที่เป็นหัวหน้านั้นชักมีดเสี้ยวพระจันทร์ออกมาจากเอวของตนเอง แล้วจ่อไปที่คอของกู้ชิวเหลิ่งพลางกล่าวอย่างด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ซีเหมินมู่เจิน”
“ช่างเป็นชื่อแซ่ที่แปลกยิ่งนัก……” ข้ามิเคยได้ยินมาก่อน
กู้ชิวเหลิ่งสูดหายใจลมหนาวเข้าไปเฮือกหนึ่ง ลำคอรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาทันใด มีดเสี้ยวพระจันทร์ด้ามนั้นได้กรีดลงบนผิวนางของนาง ทำให้รับรู้ได้ถึงเลือดสดๆ ที่ไหลซึมออกมา
กู้ชิวเหลิ่งพยายามกลั้นใจกล่าวว่า “เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่? เหตุใดถึงต้องลักพาตัวข้ามา? ข้าหารู้ไม่”
ชายที่ยืนด้านข้างกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพอย่าได้สนใจฟังคำพูดเหลวไหลของยัยหนูนี่เลย มีผู้คนเห็นกับตาว่านางได้พาตัวองค์ชายออกมาจากลานทาส”
กู้ชิวเหลิ่งกลอกตาขึ้นแล้วกล่าวว่า “อ้อ……เจ้าพูดมาเช่นนี้ทำให้ข้านึกขึ้นได้ ที่เจ้ากล่าวมานั้นหมายถึงทาสที่ฆ่าคนในตลาดค้าทาสงั้นหรือ ? เจ้าคงจับผิดตัวแล้วเป็นแน่ แม้ว่าข้าต้องการที่จะซื้อตัวบุรุษผู้นั้นกลับมา แต่ภายหลังกลับถูกองค์หญิงอานไท่แห่งเมืองซีจิ้งซื้อตัวไปก่อน หากตอนนี้เจ้าใคร่จะรู้ว่าเขาอยู่ที่ใด ตัวข้าเองจะไปรู้ได้เยี่ยงไรเล่า?”
“แม่ทัพอย่าหลงเชื่อคำพูดยัยหนูนี่ ข้าดูออกว่านางได้นำตัวองค์ชายไปหลบซ่อนไว้แล้ว!”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มิได้รับความเป็นธรรมว่า “เจ้าคนนี้เหตุใดถึงมิฟังเหตุผลกันบ้างเล่า? ข้าเป็นสตรีที่ถูกเลี้ยงดูมาให้อยู่ในห้องหับเยี่ยงข้า เหตุใดจะต้องซ่อนบุรุษไว้ด้วยเล่า? ยิ่งไปกว่านั้นวันพรุ่งก็เป็นวันที่สำคัญที่สุดของข้า ข้ากำลังจะเข้าพิธีเสกสมรส ข้าจะนำบุรุษไปซ่อนตัวไว้ด้วยเหตุใดกัน?”
คนที่เป็นหัวหน้านั้นกล่าวว่า “เจ้ามิต้องมาปิดบังข้าหรอก ข้ารู้ดีว่าเจ้าเป็นผู้ใด สามีของเจ้าคือเซ่อเจิ้งหวางแห่งแคว้นต้าเยียน เจ้าจะเป็นสตรีสามัญชนทั่วไปคนหนึ่งได้เยี่ยงใดกันเล่า?”