ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 163 จวนมู่
หัวใจของกู้ชิวเหลิ่งสั่นคลอน นางฝืนตอบขึ้นว่า “ข้าจะมิรู้ได้อย่างไร? คุณชายมู่คงจะรู้ว่าข้าคือบุตรสาวของโหวฝ่ายบู๊ วีรสตรีนั้นได้รับความนิยมเสมอมา มู่หรงชิวเป็นแม่ทัพหญิงที่ขึ้นชื่อ การที่ข้ารู้จักนางก็มิใช่เรื่องแปลกอันใด”
“งั้นหรือ?”
จวินหวาเทียนยิ้มขึ้น กู้ชิวเหลิ่งรู้ดีว่ารอยยิ้มบนใบหน้าของจวินหวาเทียนนั้นคือแววตาและความคิดที่มองออกถึงความคิดในใจของทุกคนบนโลกนี้
“คุณหนุรองชื่นชอบไห่ถัง?”
จวินหวาเทียนสังเกตเห็นลวดลายไห่ถังบนแขนเสื้อของกู้ชิวเหลิ่ง แท้จริงแล้วหากมิได้สังเกตดู คงมองมิออกว่าเป็นดอกไห่ถัง
กู้ชิวเหลิ่งเงยหน้าขึ้นมองแล้วกล่าวว่า “คุณชายมู่ช่างเป็นคนละเอียดยิ่งนัก ข้าชื่นชอบดอกไห่ถังมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
มิรู้ว่าเป็นเพราะมองผิดไปหรือไม่ กู้เจินราวกับเห็นได้ถึงสิ่งอื่นจากดวงตาของจวินหวาเทียน ขอบตาแดงเล็กน้อยนั่น เขามองผิดไปจริงหรือ เขาเห็นดวงตาของกู้ชิวเหลิ่งก็แดงเรื่อเช่นกัน
ในไม่ช้า รถม้าก็ดำเนินมาถึงจวนแห่งหนึ่ง เมื่อตรงเข้าไปทางประตูใหญ่ จะพบป้ายจวนเขียนไว้ตัวโตว่า จวนมู่
กู้ชิวเหลิ่งมิเคยเดินผ่านถนนเส้นนี้มาก่อน แน่นอนว่านางจึงมิเคยเห็นจวนมู่นี้
จวินหวาเทียนได้รับการพยุงจากข้าหลวงให้ลงจากรถม้า กล่าวว่า “ในวันนี้ข้าเองก็เพิ่งเร่งรีบกลับมา ยังมิทันได้จัดเก็บ คุณหนูรองอย่าถือสา เชิญเข้าไปดื่มชาด้านในเถิด”
กู้ชิวเหลิ่งเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า น่าจะเป็นเวลาเพียงห้าทุ่ม กู้ชิวเหลิ่งจึงพยักหน้าตอบว่า “ข้าหาได้ถือสาอันใด”
กู้เจินสัมผัสได้ถึงความคลุมเครือระหว่างกู้ชิวเหลิ่งและจวินหวาเทียน จึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้าขอตัวก่อน พวกท่านทั้งสองเชิญสนทนากันตามสบาย”
จวินหวาเทียนกล่าวเสริมขึ้นว่า “เดินทางปลอดภัย”
“อืม”
กู้ชิวเหลิ่งและอวี้ฉือจ้านมองหน้ากันแต่มิได้เอ่ยเสียง เมื่อเดินเข้าไปในลานของจวนมู่ กู้ชิวเหลิ่งก็หยุดฝีเท้าลง เนื่องจากจวนมู่ในบัดนี้กับเรือนของมู่หรงเมื่อครานั้นช่างเหมือนกันเหลือเกิน
“เข้าไปด้านในเถิด”
จวินหวาเทียนกระแอมออกมา ราวกับมีอาการหนักหนาจะเป็นลมล้มพับได้ทุกวินาที
ข้าหลวงเข้ามาพยุงจวินหวาเทียนเดินไปในเรือน กู้ชิวเหลิ่งเองก็ติดตามเข้าไปเช่นกัน
บัดนี้เป็นฤดูร้อน แต่ด้านในกลับมีกองไฟสุมเพิ่มความอบอุ่น
ภายในห้องจึงเหลือเพียงกู้ชิวเหลิ่งและจวินหวาเทียนเพียงสองคน
จวินหวาเทียนนั่งลงบนเก้าอี้ รินน้ำชาแล้วกล่าวว่า “ข้าได้ส่งคนออกไปค้นหาศพของเจ้า จวินฉีเซิ่งนับว่ายังมีความเมตตาอยู่ เขาใช้เสื่อฟางห่อร่างเจ้าเอาไว้”
กู้ชิวเหลิ่งก้มหน้ามองดูถ้วยน้ำชา กล่าวพลางครุ่นคิดว่า “หาพบจากสุสานร้างใช่หรือไม่”
จวินหวาเทียนเม้มริมฝีปากแต่มิได้เอ่ยสิ่งใด กู้ชิวเหลิ่งจึงกล่าวต่อว่า “จากนิสัยของจวินฉีเซิ่ง เขาจะยอมให้ศพของคนที่ถูกมู่หรงอี๋ทรมานเสียจนมิมีชิ้นดี ฝังอยู่ในโลงศพของฮองเฮาหรือ? จะว่าไปแล้วนั้น มู่หรงอี๋ช่างเฉลียวฉลาดนัก รู้ว่าเขาจะมิยอมให้ศพอันน่าสมเพชฝังในสุสานจักรพรรดิ เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา”
จวินหวาเทียนมิได้เอ่ยสิ่งใดเพิ่มเติม กู้ชิวเหลิ่งกล่าวขึ้นช้าๆ “ข้าคิดว่าเจ้าจะจำข้ามิได้เสียอีก”
“มิมีผู้ใดเข้าใจเจ้าเท่าข้าอีกแล้ว ในโลกนี้มีมู่หรงชิวเพียงคนเดียว คนอื่นมิอาจแทนที่ได้ ต่อให้เจ้าต้องการปิดบัง ก็จะเผยตัวตนออกมาอยู่ดี”
“ในโลกนี้ไม่มีใครเชื่อเรื่องภูตผี แต่ไหนแต่ไรมาเข้ามิเคยเชื่อเรื่องเหล่านี้ เหตุใดในวันนี้จึงเชื่อข้าอย่างง่ายดายว่าข้าคือมู่หรงชิว? หากข้ามิใช่เล่า?”
จวินหวาเทียนดึงผ้าคลุมคนจิ้งจอกเข้าแน่นกว่าเดิม เขาไอออกมาเบาๆ กล่าวว่า “ก่อนหน้าที่เจ้าจะสิ้นใจ ข้ามิเคยเชื่อเรื่องเหล่านี้ ข้าคิดว่าเจ้าฉลากมากพอ จะมิตายอย่างง่ายดายแน่ แต่เมื่อครั้นที่ข้าเห็นศพของเจ้าอันน่าสมเพช ข้าก็ยังมีความหวังว่าเจ้าจะยังมีชีวิตอยู่”
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกว่าน้ำเสียงของตนเองดูกระอึกกระอักลง “สามปีมานี้ เจ้าสบายดีหรือไม่?”
จวินหวาเทียนกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงบางเบาว่า “ข้าสบายดี”
แม้จวินหวาเทียนจะกล่าวเช่นนั้น แต่กู้ชิวเหลิ่งรู้ดีว่าก่อนหน้านี้จวินหวาเทียนผู้สง่างามโดดเด่น แม้อาจดูอ่อนแอทว่าแววตาแฝงไปด้วยการต่อสู้ บัดนี้เขามิอาจทำได้แม้แต่จับดาบยกขึ้น
จวินหวาเทียนราวกับเดาได้ถึงความคิดของกู้ชิวเหลิ่ง จึงกล่าวว่า “ข้ามิเป็นไรหรอก เพียงแต่ที่ชายแดนค่อนข้างหนาวเย็น ดังนั้น……”
กู้ชิวเหลิ่งหัวเราะขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “เจ้ามิต้องกล่าวให้มากความ จวินฉีเซิ่งเป็นคนจิตใจคับแคบเพียงนั้น แม้จะส่งเจ้าไปที่ชายแดน แต่เขาจะให้เจ้าใช้ชีวิตอย่างสุขสบายอยู่ที่นั่นได้อย่างไร?”
เจ้ามิต้องกังวลเรื่องร่างกายของข้า ว่าแต่เจ้า……แค่กๆ!”
กู้ชิวเหลิ่งก้าวเข้าไปลูบหลังจวินหวาเทียนให้เขาหายใจคล่องขึ้น สีหน้าจวินหวาเทียนดูซีดเผือดกว่าเดิม ราวกับศพ
“หวาเทียน……”
“ข้ามิเป็นไร……มิเป็นไรหรอก”
จวินหวาเทียนกำมือของกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้แน่น กู้ชิวเหลิ่งสัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นจากร่างกายของกู้ชิวเหลิ่ง
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวขึ้นอย่างบางเบาว่า “เจ้ากลับไปก่อนเถิด พรุ่งนี้เป็นวันสำคัญของเจ้า……แค่กๆ…….เจ้ากลับไปเถิด นี่ก็ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เจ้าอาจเหนื่อยล้า”
“เจ้ารู้เรื่องแล้วหรือ”
“นับจากตอนที่มู่เจินบอกข้าว่าเจ้าตามหาข้า ข้าก็ได้ส่งคนไปสืบดู พบว่าหนิงจวิ้นจู่แห่งต้าเยียน คุณหนูรองตระกูลกู้เกิดเรื่องราวเปลี่ยนแปลงไปมิน้อย จะเป็นดังนั้นอย่างไร้เหตุผลได้อย่างไร? เรื่องที่เจ้าทำเหล่านั้นก็เพราะต้องการจัดการจวินฉีเซิ่ง ข้าจะมิรู้นิสัยเจ้างั้นหรือ? อาชิว เจ้าจะมิแต่งงานกับชายใดง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้าพลาดไปครั้งหนึ่ง การที่เจ้าตัดสินใจแต่งงานกับอวี้ฉือจ้าน นั่นหมายความว่าเขาคือชายที่เจ้าจะฝากชีวิตไว้ได้ตลอดไป”
กู้ชิวเหลิ่งมองไปทางอวี้ฉือจ้านด้วยความลังเล ราวกับว่านางได้ย้อนกลับไปเมื่อก่อนหน้า หากจวินหวาเทียนกล่าวกับนางถึงเหตุผลเหล่านี้ บางทีนางอาจมิจำเป็นต้องมานั่งฟังประโยคเหล่านี้ของจวินหวาเทียนแล้ว
จวินหวาเทียนยิ้มขึ้นกล่าวว่า “ข้าจะให้คนไปส่งเจ้า”
กู้ชิวเหลิ่งตอบรับเบาๆ ด้วยหัวใจอันหนักอึ้ง
เมื่อกู้ชิวเหลิ่งกลับมาถึงสวนเฉินเซียง จูเอ๋อร์กำลังเดินไปมาอยู่ในลานกว้างด้วยความเป็นกังวล ไฟในสวนเฉินเซียงยังมิได้ดับลง
แต่องครักษ์ลับตามมุมกำแพงไม่เหลือแม้แต่คนเดียว
“คุณหนูเจ้าคะ!”
จูเอ๋อร์วิ่งเข้ามาอย่างรีบร้อน นางพิจารณาอย่างละเอียดว่ากู้ชิวเหลิ่งได้รับบาดเจ็บตรงใดหรือไม่
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “ข้ามิเป็นไร พวกเจ้าบอกเรื่องนี้ต่ออวี้ฉือจ้านงั้นหรือ?”
จูเอ๋อร์พยักหน้า กล่าวว่า “มีคนบุกเข้ามาด้านในเจ้าค่ะ องครักษ์ทั้งสี่ยังมิทันได้ตั้งตัว คุณหนูก็ถูกจับตัวไปเสียแล้ว พวกเขาตามไปมิทัน จึงทำได้เพียงไปรายงานเซ่อเจิ้งหวางเจ้าค่ะ”
“ก่อนหน้านี้องครักษ์ลับได้มอบพลุเอาไว้ให้ข้า กล่าวว่าหากมิเป็นไรแล้วให้จุดมัน”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า “เจ้าจงจุดมันเถิด ข้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะกลับไปพักผ่อน”
“เจ้าค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งกลับมายังห้องของนางแล้วเอนกายลงบนเตียง เมื่อคิดถึงท่าทีของจวินหวาเทียนในวันนี้ ทำให้ดวงใจของนางที่เต็มไปด้วยความแค้น กลับอาฆาตขึ้นกว่าเดิม
จวินหวาเทียน ชายผู้โหดเหี้ยมเลือดเย็นผู้นี้ สักวันข้าจะสับเจ้าให้แหลกไม่เหลือชิ้นดี
กู้ชิวเหลิ่งใช้มือกำผ้าห่มไว้แน่น วันพรุ่งนี้เป็นพิธีเสกสมรสของนาง บัดนี้นางมิได้ลังเลใดๆ เส้นทางสู่การแก้แค้นนั้นยังอีกยาวไกล จวินหวาเทียนจะต้องได้รับผลกรรมที่เขาก่อเอาไว้ทุกประการ!
ในค่ำคืนนี้ ดูเหมือนจะยาวนานกว่าทุกคืน จวินหวาเทียนนั่งอยู่บนเก้าอี้ใบนุ่มของตน สายตาทอดยาวออกไปนอกหน้าต่าง ร่างกายดูเย็นชา
“นายท่าน นี่คือของกำนัลที่ท่านสั่งให้ไปจัดเตรียมขอรับ”
จวินหวาเทียนพยักหน้า สั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “จงมอบไปให้นางในวันพรุ่งนี้เถิด”