ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 164 วันเสกสมรส
ณ วันนี้ ถนนน้อยใหญ่ในเมืองหลวงถูกปูด้วยพรมแดง ตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ก็เผยถึงความสดใสสีสันฉูดฉาด
ฮ่องเต้มีพระราชโองการ โยกย้ายทหารองครักษ์ในพระราชวังจำนวนห้าพันนายออกไปเดินตรวจการณ์เส้นทางที่ต้องเดินผ่าน ณ ถนนเมืองฉางอัน อีกทั้งตามถนนยังมีทหารคอยยืนรักษาความสงบแต่ละจุดที่กำหนดไว้ เดิมทีงานเสกสมรสที่ควรจะครึกครื้น จึงกลายเป็นฉากที่ดูเคร่งครัดเป็นอย่างยิ่ง
บัดนี้อวี้ฉือกงนั่งอยู่บนเก้าอี้มังกรของตน ขมวดคิ้วกล่าวกับเซียวชิงหว่านว่า “ข้าได้บอกกับเสด็จอาไว้แล้วว่าในงานมงคลเช่นนี้มิจำเป็นต้องใช้ทหารมากมายเช่นนี้ เจ้าลองคิดดูเถิด หากเสด็จอาสะใภ้เปิดม่านในเกี้ยวออกมาพบว่าสองข้างถนนเต็มไปด้วยองครักษ์สวมชุดเกราะสีดำมากมาย กว่าฝู้จื่อโม่จะคิดแผนการปูพรมแดงอันแสนอบอุ่นนี้ขึ้นมาได้ บรรยากาศถูกทำลายไปจนสิ้นแล้ว”
เซียวหว่านชิงยิ้มขึ้นบางเบาแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาทมิจำเป็นต้องไปกังวลสิ่งใดเพคะ เสด็จอาเป็นคนเคร่งครัดเช่นนี้แต่ไหนแต่ไรมา หม่อมฉันคิดว่าหนิงจวิ้นจู่คงมิได้คิดสิ่งใดในใจ กลับกัน อาจรู้สึกอบอุ่นดวงใจ”
อวี้ฉือกงส่ายหน้าด้วยความขมขื่น “หากข้าเป็นหนิงจวิ้นจู่ ข้าคงมิอาจรู้สึกอบอุ่นใจได้”
คาดว่าคงรู้สึกขมขื่นใจนะสิ
อวี้ฉือกงตัวสั่นเล็กน้อย ส่วนเซียวหว่านชิงได้แต่ยิ้ม มิได้เอ่ยสิ่งใดออกมาอีก นางนั่งอยู่ด้านข้างเก้าอี้มังกรตัวนั้น
จู่ๆ อวี้ฉือกงก็กล่าวขึ้นว่า “รอให้เวลาผ่านไปสักพักแล้ว เราต้องระมัดระวังเรื่องวังหลังของเรา อย่าให้เสด็จอาเข้ามาข้องเกี่ยว”
เซียวหว่านชิงเห็นแววตาอันอ่อนโยนและดูคาดหวังดังนั้น นางก็อดมิได้ที่จะหน้าแดงเรื่อง ตัดกับสีผิวขาวผ่องของนาง ทำให้น่ามองยิ่งนัก
อวี้ฉือกงเพิ่งเห็นเซียวหว่านชิงอายเสียจนหน้าแดงเรื่อเป็นครั้งแรก ตัวเขาเองก็อดมิได้ที่จะหน้าแดงเรื่อเช่นกัน
อวี้ฉือกงกระแอมออกมาเบาๆ “นี่ปาเข้าไปเวลาใดแล้ว ทหาร! รีบไปดูว่าเสด็จอาเตรียมพร้อมเช่นไรแล้ว!”
เซียวหว่านชิงตอบกลับว่า “ฝ่าบาทอย่าได้ทรงรีบร้อนใจไปเพคะ เมื่อเวลาหนึ่งถ้วยชาก่อนก็ทรงให้คนเดินทางไปจวนเซ่อเจิ้งหวางแล้ว บัดนี้ยังมิได้เดินทางกลับมาเสียด้วยซ้ำเพคะ”
อวี้ฉือกงหัวเราะออกมาสองสามหน “ข้ารีบร้อนใจไปเอง เดิมทีข้าคิดว่าชีวิตนี้จะมิได้เห็นเสด็จอาเสกสมรถเสียด้วยซ้ำ แต่บัดนี้ข้างกายกลับมีหนิงจวิ้นจู่อยู่ข้างกาย ดียิ่งนัก”
เซียวหว่านชิงพยักหน้าเห็นด้วย “หม่อมฉันได้สนทนากับหนิงจวิ้นจู่เมื่อครั้งก่อน สัมผัสได้ว่าหนิงจวิ้นจู่ช่างเป็นคนดียิ่งเพคะ”
บัดนี้ กู้ชิวเหลิ่งได้สวมชุดเรียบร้อย เนื่องจากบัดนี้เป็นฤดูร้อน ดังนั้นอวี้ฉือจ้านจึงเลือกเสื้อผ้าเป็นผ้าสามชั้นโปร่งให้นาง ชั้นในเป็นผ้าพันหน้าอกผ้าไหม สวมใส่แล้วเย็นสบายยิ่ง ส่วนด้านนอกอีกสองชั้นเป็นกระโปรงยาวลากพื้นสามฟุต ชายกระโปรงมีลวดลายฟีนิกซ์มองไปช่างสง่างาม มองจากระยะไกลราวกับเป็นนกฟีนิกซ์ในตำนานที่ฟื้นคืนชีพ
แขนเสื้อทั้งสองข้างสลักปักลายดอกไม้ประณีต เครื่องประดับบนศีรษะห้อยระย้าลงมางดงาม
กู้ชิวเหลิ่งทาปากสีแดงชาด และตกแต่งขอบตาบางๆ ก่อนหน้านี้นางมิเคยใช้เครื่องประทินโฉมมาก่อน ดังนั้นจึงทำให้รู้สึกดูอ่อนเยาว์ บัดนี้เมื่อนางแต่งหน้า มองไปช่างไร้ที่ติ มิว่าผู้ใดได้พบเห็นล้วนต้องพากันหลงไหล
“คุณหนูสวมมงกุฎฟีนิกซ์แล้วช่างงดงามดั่งที่จินตนาการไว้เสียจริงด้วย!”
เอี้ยนซานเหนียงยืนกล่าวอยู่ที่ปากประตู “ดูนั่น เริ่มแบกเกี้ยวขึ้นแล้วเจ้าค่ะ!”
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันใด เกี้ยวกำลังมาถึงแล้ว นั่นหมายความว่าอวี้ฉือจ้านก็กำลังจพเดินทางมาถึงเช่นกัน
นางกู้ชิวเหลิ่ง ในวันนี้จะแต่งงานกับอวี้ฉือจ้าน กลายเป็นสามีภรรยากันกับเขา
เมื่อตื่นขึ้นจากภวังค์ พบว่าจูเอ๋อร์ได้พยุงกู้ชิวเหลิ่งขึ้นมาเดินไปข้างหน้าแล้ว ที่หน้าประตูมีเสียงประทัดดังขึ้นมา พร้อมทั้งบ่าวรับใช้มากมายยืนเข้าแถวเป็นสองข้าง กู้หนานเฉิงและกู้ชิวถางยืนต้อนรับอยู่ที่ด้านหน้าประตูใหญ่ เอี้ยนซานเหนียงและจูเอ๋อร์พยุงกู้ชิวเหลิ่งก้าวไปข้างหน้า
กู้หนานเฉิงยืนอยู่ข้างกายกู้ชิวถาง กล่าวว่า “ไปพยุงน้องสาวของเจ้าเข้ามา”
กู้ชิวถางพยักหน้าตอบรับ แต่กลับได้ยินเสียงอวี้ฉือจ้านกล่าวขึ้นอย่างหนักแน่นว่า “มิจำเป็น”
กู้หนานเฉิงยังไม่ทันได้สติกลับคืนมาถึงคำสั่งนั้น อวี้ฉือจ้านก็ได้กล่าวว่า “ข้าจะไปเอง”
อวี้ฉือจ้านก้าวขายาวของเขาออกไป เพียงไม่กี่ก้าวก็เดินไปถึงตัวกู้ชิวเหลิ่ง
จูเอ๋อร์และเอี้ยนซานเหนียงจึงถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ เหลือไว้เพียงอวี้ฉือจ้านที่เข้ามาพยุงกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้
หัวใจของกู้ชิวเหลิ่งเต้นเร็วแรงขึ้นอย่างไม่อาจควบคุมได้ กู้ชิวเหลิ่งสวมใส่ชุดยาวสีแดง เป็นชุดของเจ้าบ่าว แววตาลึกซึ้ง แต่สงบดั่งสายน้ำ ซึ่งดูยินดีอย่างยากที่จะอธิบายได้
คิ้วอันได้รูปของกู้ชิวเหลิ่ง นางรู้สึกได้ว่าใบหน้าร้อนผ่าว ก่อนหน้าในชาติที่แล้วนางเป็นหญิงสาวอายุ 22 ปี แต่บัดนี้นางกลับกลายมาเป็นหญิงสาวอายุ 14 ปีเท่านั้น เพียงเพราะชายหนุ่มเช่นอวี้ฉือจ้าน ก็ทำให้นางรับรู้ได้ว่าการชอบใครสักคนนั้นมีความรู้สึกเช่นไร
“ข้าจะพาเจ้าขึ้นสู่เกี้ยวเอง”
กู้ชิวเหลิ่งยังไม่ทันเข้าใจความหมายของอวี้ฉือจ้าน นางรู้สึกว่าตรงหน้ามีแสงแวบเข้ามา อวี้ฉือจ้านอุ้มนางขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน นางเอื้อมมือไปคล้องคอเขาเอาไว้โดยธรรมชาติ การกระทำนี้ในสายตาของผู้อื่นช่างดูน่าตกตะลึงนัก
อวี้ฉือจ้านเทพแห่งสงครามที่ก่อนหน้านี้ได้ยินมาว่าแขนขาดจากการสงคราม ที่ได้ยินว่าไม่ยอมให้สตรีคนใดเข้าใกล้ตน บัดนี้กลับทำท่าทีเป็นธรรมชาติอย่างมิสนใจผู้อื่น เขาอุ้มนางที่กำลังจะกลายเป็นภรรยาของเขาขึ้นสู่เกี้ยว
เดิมทีในเมืองหลวงนี้ได้มีข่าวลือแพร่หลายออกไปบ้างแล้วถึงเรื่องงานเสกสมรสของเซ่อเจิ้งหวาง บัดนี้กลับมีข่าวลือเรื่องเซ่อเจิ้งหวางหลงใหลในตัวพระชายาของตนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่อง
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวขึ้นอย่างเขินอายว่า “ผู้คนมากมายทั้งเด็กและผู้ใหญ่ต่างพากันจับจ้องมองมา เจ้ายังไม่รีบปล่อยข้าลงอีกหรือ?”
“เพราะมีผู้คนมากมายกำลังมองมา ข้าจึงสมควรเป็นอย่างยิ่งที่จะอุ้มเจ้าเช่นนี้”
อวี้ฉือจ้านยิ้มขึ้นที่มุมปาก ก่อนหน้านี้กู้ชิวเหลิ่งไม่เคยสังเกตมาก่อนว่าอวี้ฉือจ้านยามยิ้มจะน่ามองเช่นนี้
อวี้ฉือจ้านกล่าวด้วยน้ำเสียงดึงดูดหัวใจที่ข้างหูของนางว่า “ข้าน่ามองงั้นหรือ?”
“เซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียน มีผู้ใดเล่าที่กล้ากล่าวว่าท่านมิน่ามอง?”
อวี้ฉือจ้านยิ้มด้วยท่าทางอันพึงพอใจ จากนั้นก็นำกู้ชิวเหลิ่งอุ้มขึ้นสู่เกี้ยว แล้วจุมพิตตรงหน้าผากของนางเบาๆ
กู้ชิวเหลิ่งเหม่อลอย อวี้ฉือจ้านกล่าวขึ้นว่า “หากเจ้าเหนื่อยก็จงนอนพักผ่อนก่อนเถิด ข้าจะสั่งให้พวกเขาเดินช้าๆ”
กู้ชิวเหลิ่งเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนนี้นางกลับมาจนดึกดื่น อีกทั้งกังวลอาการเจ็บป่วยของจวินหวาเทียน จึงทำให้นอนมิหลับทั้งคืน นางคิดมิถึงว่าสิ่งเหล่านี้อวี้ฉือจ้านจะยังคงจดจำได้ คิดมิถึงว่าเขาจะนำมาใส่ใจเช่นนี้
“อืม ข้าเข้าใจแล้ว”
อวี้ฉือจ้านจึงได้ปล่อยม่านในเกี้ยวลง จากนั้นกล่าวกับกู้หนานเฉิงและกู้ชิวถางที่ยังอยู่ในอาการตกตะลึงด้านข้างเกี้ยวว่า “กู้โหวเย๋และแม่ทัพกู้เชิญรอก่อนเถิด ประเดี๋ยวเกี้ยวก็เข้าสู่พระราชวังแล้ว”
กู้หนานเฉิงกล่าวรับด้วยความเกรงกลัวว่า “กระหม่อมรับทราบพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉือจ้านพยักหน้าด้วยความพอใจ เขาพากู้ชิวเหลิ่งเดินไปข้างหน้า ด้านข้างคือชาวบ้านซึ่งยืนรอมีท่าทีแทบหายใจมิออก เกรงว่าจะถูกทหารจับตัวไป ดังนั้นพวกเขาจึงยืนอย่างสงบเงียบ กู้ชิวเหลิ่งที่นั่งอยู่ในเกี้ยวอดมิได้ที่จะผล็อยหลับไป
กู้ชิวเหลิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง พบว่าภายในเกี้ยวร้อนผ่าว ดวงตาที่เต็มไปด้วยเส้นเลือดสีแดงจ้องมองมาที่นาง บิดาและพี่ชายของนางเข้ามาล้อมเอาไว้ ตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงดุดันว่า “ชิวเอ๋อร์ พ่อรักและถนอมเจ้ามาเนิ่นนานหลายปี เจ้ากลับไปหลงเชื่อคนชั่ว ทำให้พวกเราทั้งหลายต้องถึงแก่ความตาย ตระกูลถูกล้มล้างจนสิ้น บัดนี้เจ้ามิเพียงแต่ไร้ซึ่งความต้องการแก้แค้นแก่ตระกูล กลับตกอยู่ในความใคร่ให้เข้าบังตา! เหตุใดเจ้ายังมีหน้ากลับมาหาพ่ออีก! ข้าจะบีบคอเจ้าให้ตายไปเสีย มิเช่นนั้นเจ้าคงทำให้ตระกูลเราอับอายขายหน้า!”