ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 165 คำสาบานจากใจจริง
ความสัมผัสอันเย็นเยือก ทำให้กู้ชิวเหลิ่งตัวสั่นสะท้าน นางลืมตาขึ้นมองและพบว่าอวี้ฉือจ้านเปิดม่านระบายขึ้น สายตามองมาทางกู้ชิวเหลิ่งด้วยรอยยิ้มว่า “ทำไมหรือ? แค่นอนหลับกลับมีเหงื่อไหลมากมายเพียงนี้?”
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกว่าสมองดูสับสนมึนงง ก่อนจะรู้ตัวว่าตนนอนหลับไปนานเท่าไร บัดนี้ทั้งสองมิได้อยู่ในพระราชวัง แต่อยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง
นอกหน้าต่างนั้นดวงดาวบนท้องฟ้าสว่างไสว กลุ่มดาวรวมตัวกันงดงามดั่งธารน้ำไหล เสมือนฉากตรงหน้าออกมาจากภาพวาด
กู้ชิวเหลิ่งชะงักลงแล้วเอ่ยถามด้วยความงุนงงว่า “นี่ข้าอยู่ที่ใดกัน?”
อวี้ฉือจ้านเผยอริมฝีปากขึ้นตอบว่า “อยู่ที่ทุ่งหญ้า”
“ทุ่งหญ้า?”
อวี้ฉือจ้านพยุงกู้ชิวเหลิ่งออกมาจากเกี้ยว นางพบว่าตรงหน้ามีเทียนสีแดงเรียงรายเป็นสองแถว มองออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ราวกับไร้สิ้นขอบฟ้า
นี่คือทุ่งหญ้าแห่งเดียวกันกับที่อวี้ฉือจ้านพานางมาครั้งก่อน แม้จะเป็นสถานที่เดียวกัน แต่บรรยากาศนั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
จากนั้นก็ได้ยินเสียงอวี้ฉือจ้านดีดนิ้ว โคมลอยมากมายนับไม่ถ้วนลอยขึ้นมาจากต้นไม้กลางทุ่งช้าๆ ทำให้เกิดแสงสว่างไสวเจิดจ้า
ท่ามกลางท้องฟ้าอันสว่างไสว อวี้ฉือจ้านขยับมือของเขาเบาๆ มงกุฎที่กู้ชิวเหลิ่งสวมใส่ไว้ก็ร่วงหล่นสู่พื้น เผยให้เห็นความงามเป็นประกายแผ่ซ่าน สว่างไสวกว่าดวงดาราเหล่านี้หลายเท่านัก
กู้ชิวเหลิ่งรู้สึกได้ว่าภาพตรงหน้าดูสว่างขึ้น ร่างของอวี้ฉือจ้านฉาดฉายเข้ามาในดวงตานางอย่างไม่อาจลบเลือนไปได้
ผ่านไปเนิ่นนานทีเดียว กู้ชิวเหลิ่งจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “เป็นความคิดของฝู้จื่อโม่หรือ?”
อวี้ฉือจ้านขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย มิอาจปิดบังความรู้สึกขบขันไว้ในใจได้ “ในสายตาของเจ้า สามีเจ้าเป็นผู้ไร้ความเข้าใจในสตรีเช่นนี้เชียวหรือ?”
กู้ชิวเหลิ่งหัวเราะออกมาเบาๆ ตอบว่า “มิเช่นนั้นเล่า? ข้าคงมินั่งรอคอยให้ชายผู้ดำรงตำแหน่งแม่ทัพมานับสิบปี กระทำการอ่อนโยนซาบซึ้งใจเพียงนี้หรอก”
“ยังมิซาบซึ้งใจพอหรือ?”
อวี้ฉือจ้านเข้ามาโอบเอวของกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้ แล้วบรรจงจูบลงไปที่ริมฝีปากเรียวบาง ราวกับดื่มด่ำน้ำผึ้งหอมหวานอยู่ในใจ
ทว่าอีกฝั่งหนึ่งกลับมิได้ราบรื่นนัก
อวี้ฉือกงซึ่งแอบซ่อนจากด้านหน้าย้ายมาด้านหลัง กล่าวด้วยความใจร้อนว่า “ฝู้ซื่อจื่อ เจ้าจงบอกกับข้ามาว่าเสด็จอานำตัวอาสะใภ้ไปไว้ที่ใด? นับแต่กลางวันมานี้ ข้ามิแลเห็นแม้แต่เงาของนาง!”
ฝู้จื่อโม่ขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย กล่าวว่า “ฝ่าบาท ทรงเอ่ยอย่างเป็นทางการหน่อยพ่ะย่ะค่ะ”
อวี้ฉือกงยกมือขึ้นกุมขมับ “ข้า! ข้าแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว!”
ฝู้จื่อโม่ส่ายหน้าอย่างช่วยมิได้ กล่าวว่า “ด้วยนิสัยของอาจ้านแล้วนั้น เมื่อใดที่เอาแต่ใจตนเอง แม้แต่ข้าก็มิอาจควบคุมเขาได้ ฝ่าบาททรงไปถามคนอื่นเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิทราบว่าเขาไปที่ใด มิแน่ว่าบัดนี้อาจเข้าหอกันแล้วกระมัง”
จะให้เป็นเช่นนั้นมิได้! เขาตั้งใจจัดเตรียมงานเลี้ยงไว้แก่เสด็จอาของตนอย่างเหน็ดเหนื่อย ทั้งหมดนี้กลับไร้ประโยชน์!
“จงสั่งให้กองทหารรักษาพระองค์ออกค้นหา! ต้องพาตัวเสด็จอาเก้าและอาสะใภ้กลับมาให้ได้!”
ฝู้จื่อโม่กระแอมออกมาเบาๆ กล่าวว่า “เกรงว่าคงมิได้พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงลืมไปแล้วหรือ? ในวันนี้พระองค์เพิ่งจะสั่งให้ถอนกำลังกองทหารรักษาพระองค์ไปห้าพันนาย ที่เหลืออยู่นั้นมีหน้าที่คุ้มกันพระราชวัง เสด็จอาของท่านเฉลียวฉลาดยิ่งนัก มิมีผู้ใดกล้าแตะต้องเขาอย่างแน่นอน ที่สำคัญคือ หากฝ่าบาทเสด็จไปในบัดนี้ อาจขัดขวางเรื่องดีงามก็ย่อมได้ เช่นนั้น……ผู้ที่ถูกลงโทษคงมิใช่กระหม่อม”
อวี้ฉือกงรู้สึกว่าจู่ๆ ก็แน่นหน้าอก เรื่องในเช้าวันพรุ่งนี้ที่เมืองหลวงสำคัญยิ่ง ทั้งยังมีเรื่องที่เซ่อเจิ้งหวางและพระชายาของเซ่อเจิ้งหวางหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยในค่ำคืนนี้อีก
เซียวหว่านชิงที่อยู่ด้านข้างยื่นแก้วน้ำชาให้แก่อวี้ฉือกง กล่าวว่า “ฝ่าบาทอย่าได้รีบร้อนไปเพคะ เสด็จอามิใช่ผู้ที่มิรู้สิ่งใดถูกผิด ประเดี๋ยวก็คงกลับมาเอง”
อวี้ฉือกงกังวลเสียจนเม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้า กล่าวว่า “เจ้ามิรู้หรอกว่าเสด็จอาของข้านั้นเอาแต่ใจตนเองเพียงไร อย่าว่าแต่ถูกผิดเลย แม้แต่เขาจะสละตำแหน่งเซ่อเจิ้งหวางไป เขาก็ทำได้โดยมิกะพริบตา! บัดนี้ข้าเองก็มิรู้ว่าเขาไปเตร็ดเตร่อยู่ที่ใด……”
อวี้ฉือกงยังมิทันกล่าวจบ เสียงจากด้านนอกอันตื่นตระหนกก็ดังเข้ามาข้างใน
สายตาของทุกตนมองไปยังทิศทางอันไกลออกไป แล้วพบคนสองคนสวมชุดผ้าสีแดง เดินถือโคมไฟเข้ามาทีละก้าวๆ ในทิศทางพระราชวัง
องครักษ์คนหนึ่งรีบวิ่งเข้ามากล่าวว่า “ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ! มีผุ้บุกรุก! จะให้เรียกตัวมือธนูหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ!”
ฝู้จื่อโม่เคาะลงไปยังศีรษะของทหารผู้นั้น ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างดุดันด้วยความหงุดหงิดใจว่า “ผู้บุกรุกงั้นหรือ! มือธนูงั้นหรือ?! เจ้าลองเบิกตากว้างมองดู! ตาบอดไปแล้วหรือไง? นั่นคือเซ่อเจิ้งหวางและพระชายามิใช่หรือ?”
อวี้ฉือกงยืนผงะอยู่ตรงที่เดิม เขากล่าวขึ้นว่า “หว่านเอ๋อร์ เจ้าดูสิว่าข้าฝันไปหรือไม่?”
เซียวหว่านชิงยิ้มขึ้นเบาๆ ตอบกลับว่า “ฝ่าบาท มิได้ทรงฝันไปหรอกเพคะ”
“ข้ามิได้ฝันไปงั้นหรือ? เสด็จอาปราดเปรื่องเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? แต่งงานท่ามกลางโคมลอย นี่……เป็นความคิดของฟู่ซื่อจื่อใช้หรือไม่?”
ฝู้จื่อโม่รีบส่ายหน้า กล่าวว่า “อย่าได้ยกมอบคุณงามความดีนี้มาให้กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ อาจ้านมีความคิดเช่นนี้เอง คาดว่าคงใช้เวลาคิดไม่น้อยทีเดียว หากถูกกระหม่อมแย่งผลงานไป เขาคงจะโกรธแค้นฉีกเนื้อกระหม่อมเป็นชิ้นๆ อย่างแน่นอน!”
พวกเขาพบว่าอวี้ฉือจ้านและกู้ชิวเหลิ่ง ทั้งสองคนเดินตรงเข้ามาราวกับคู่รัก ตรงเข้ามาทางพระราชวังหลวง
ท่ามกลางโคมไฟเหล่านั้น ทำให้พวกเขาราวกับอยู่บนเมฆ ทุกคนล้วนคิดว่าพวกเขาลงมาจากสวรรค์ เสียงเพลงในวังถูกบรรเลงขึ้น อวี้ฉือจ้านและกู้ชิวเหลิ่งพากันมาปรากฏกายที่ประตูวัง
ขุนนางกรมพิธีการตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงคิดขึ้นมาได้ ตะโกนว่า “คารวะเซ่อเจิ้งหวางและพระชายา!”
อวี้ฉือกงที่อยู่ด้านหลังห้องโถงได้ยินดังนั้นก็รีบกล่าวขึ้นว่า “คารวะแล้วๆ ไปเถิด หว่านเอ๋อร์ เร็วเข้า!”
ท่ามกลางความเร่งรีบ อวี้ฉือกงจูงมือเซียวหว่านชิงเอาไว้ เขารู้สึกได้ถึงความอ่อนนุ่มในมือ อวี้ฉือกงเกร็งเล็กน้อย แม้จะอภิเษกมาหลายปีแล้ว แต่เขาก็มิกล้าบอกกับคนภายนอกว่าตนยังมิได้แม้แต่จะลงมือ
เพื่อมิให้ดูเคอะเขิน อวี้ฉือกงจึงกระแอมออกมาเบาๆ กล่าวราวกับมิได้ใส่ใจว่า “ในวันนี้เสด็จอาเสกสมรส เป็นเรื่องหนึ่งเดียวในชีวิต! ข้าจะพลาดไปได้อย่างไร!”
เซียวหว่านชิงมองไปทางอวี้ฉือกงที่จูงมือนางไป ทำให้นางใบหน้าแดงเรื่อ
จนกระทั่งเดินทางมาถึงท้องพระโรง อวี้ฉือกงจึงเห็นว่าอวี้ฉือจ้านสวมชุดยาวสีแดง โดยผมเผ้ายังคงเรียบร้อยดังเดิม เขาพยักหน้าเล็กน้อยด้วยความพออกพอใจ จากนั้นหันไปมองดูกู้ชิวเหลิ่ง พบว่ากระโปรงของกู้ชิวเหลิ่งก็หาได้มีรอยยับแม้แต่น้อย ทว่ามงกุฎบนศีรษะนั้นกลับหายไป
อวี้ฉือกงอดมิได้ที่จะเอ่ยถามว่า “เสด็จอา……อย่างน้อยท่านควรจะสั่งให้บ่าวรับใช้จัดเตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์และเครื่องประดับให้เสด็จอาสะใภ้สักหน่อย งานเสกสมรสนี้……”
อวี้ฉือจ้านกล่าวอย่างมิได้สนใจว่า “ข้าและพระชายาของข้าได้ทำพิธีเสกสมรสเรียบร้อยแล้ว เราเพียงกลับมาสาบานให้ทุกท่านรับรู้ก็เท่านั้น”
อวี้ฉือกงเบิกตากว้างมองดูเสด็จอาของตน “สา สาบานหรือ?”
อวี้ฉือจ้านตอบกลับด้วยท่าทางจริงจังว่า “ข้า อวี้ฉือจ้าน ชีวิตนี้จะมีเพียงกู้ชิวเหลิ่งเป็นชายาเพียงหนึ่งเดียว จะมิรับสนมเพิ่มแม้แต่คนเดียว และให้สัญญาว่าจะมิชายตามองสตรีอื่นแม้แต่หางตา หากข้าผิดสัญญา ขอให้มีอันเป็นไป”
ทุกคน ณ ที่นั้นได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึก การให้สัญญาว่าจะมิรับสนมคนใดตลอดชีวิตเป็นคำสาบานที่น่าตกตะลึงมากแล้ว แต่เขากลับกล้าสาบานว่าจะมิชายตามองสตรีอื่นแม้แต่หางตา? ผู้ใดจะอดใจได้เล่า?
“เอ่อ……เสด็จอา ท่านจะลองคิดทบทวนดูอีกหน่อยหรือไม่?”
ต่อให้เขาต้องการเอาใจสตรีข้างกายให้อิ่มเอมเปรมใจ ก็มิควรใช้วิธีเด็ดขาดโหดเหี้ยมเช่นนี้! อีกทั้งยังประกาศต่อหน้าขุนนางบู๊บุ๋นมากมาย หากในอนาคตเกิดเสียใจกับการกระทำของตนในวันนี้ขึ้นมา จะอับอายขายหน้าเพียงไร?