ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 166 คนที่ไม่ควรเป็นศัตรูด้วยที่สุด
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 166 คนที่ไม่ควรเป็นศัตรูด้วยที่สุด
อวี๋ฉือจ้านเลิกคิ้วบอก “ฝ่าบาทต้องการสนมนับพันมาสืบสายเลือดมังกรจริงๆ เพียงแต่ข้าไม่จำเป็น ปักใจมั่นผู้เดียว อยู่ด้วยกันตลอดชีวิตพอแล้ว”
ฝู้จื่อโม่ไอแค่กออกมา และกระซิบข้างหูอวี๋ฉือจ้านว่า “หว่านเฟยยังนั่งอยู่นี่นะ พูดจาระมัดระวังหน่อย”
อวี๋ฉือจ้านพลันหันหัวไป และเห็นเซียวหว่านชิงหลุบตาลง ท่าทางเขินอายที่เมื่อครู่จูงมือหายไปเป็นปลิดทิ้ง ราบเรียบเหมือนหญิงสาวที่ไม่ค่อยชอบพูดคนนั้นเมื่อตอนเข้าวัง
อวี๋ฉือกงบอก “เสด็จอาพูดถูก! แต่อันที่จริงเป็นฮ่องเต้ก็ไม่จำเป็นต้องมีสนมนับพันมากมายเพียงนั้น ปักใจมั่นผู้เดียว อยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ดีนัก! ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะเป็นพยานให้กับเสด็จอาและเสด็จอาสะใภ้!”
อวี๋ฉือจ้านยิ้มบอก “ขอบพระทัยฝ่าบาท”
อวี๋ฉือกงไปดูเซียวหว่านชิง เห็นแค่สีหน้าเซียวหว่านชิงไม่มีวี่แววดีใจเลยแม้แต่น้อย ได้แต่กัดเขี้ยวเคี้ยวฟันบอกว่า “มิต้องเกรงใจ เสด็จอา!”
ถ้าไม่ใช่เพราะเมื่อครู่อวี๋ฉือจ้านพูดถึงสนมนับพันอะไรเมื่อครู่ บางทีเขาคงสนิทสนมกับเซียวหว่านชิงมากขึ้นอีกก้าวแล้ว!
อวี๋ฉือจ้านลูบผมกู้ชิวเหลิ่งแผ่วเบา พลางว่า “ข้าพาเจ้ากลับจวน”
กู้ชิวเหลิ่งกลับเลิกคิ้วบอก “วิธีช่วยส่องทางด้วยตะเกียงนี้ท่านเคยใช้แล้ว ตอนนี้ท่านยังจะมีวิธีอะไรส่งข้ากลับไปอีกเล่า?”
อวี๋ฉือจ้านยิ้มมุมปากบอก “ไม่ต้องใช้วิธีการใด ข้าจะใช้เกี้ยวเจ้าสาวสีแดงยกเจ้ากลับไป ก็สามารถร่วมหอได้เลย”
อวี๋ฉือจ้านพูดอย่างเปิดเผย ไม่เพียงกู้ชิวเหลิ่งได้ยิน คนทั้งหมดก็ได้ยินเช่นกัน
เวลานี้ด้านนอกท้องพระโรงพลันมีเสียงรื่นเริงดังมาว่า “พักเรื่องร่วมหอไว้ก่อนเถอะ!”
ทุกคนต่างหันไปมองด้านนอก เห็นเพียงเป่ยไห่เฟิงใส่ชุดคลุมยาวสีน้ำเงินเข้มราวกับน้ำทะเล อัญมณีรัดเกล้าบนหัวมีปิ่นหยกปักอยู่ ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่หนึ่งทำให้คนรู้สึกแปลกประหลาด แต่ดวงตาคู่นี้กลับอยู่บนใบหน้าที่งามล้ำจนผู้คนงงงวยของเป่ยไห่เฟิง ทำให้ดูเย้ายวนหนักขึ้นไปอีก ยิ่งทำให้คนไม่อาจเบนสายตาไปได้
“ทำไม? ไม่รู้จักข้ากันแล้วรึ?”
อวี๋ฉือจ้านขมวดคิ้วน้อยๆ “เป่ยไห่เฟิง?”
“อ่ะฮะ! ข้าเอง!”
ได้ยินชื่อเป่ยไห่เฟิงจากปากอวี๋ฉือจ้าน ทำให้คนรอบข้างต่างยิ่งมั่นใจในฐานะของบุรุษผู้นี้ อ๋องไห่เป่ยไห่เฟิง เป็นหนึ่งในคนที่ไม่อาจจะเป็นศัตรูด้วยได้ที่สุดของโลกนี้
ถึงอวี๋ฉือกงจะรู้จักคนผู้นี้ แต่ก็พึ่งได้เจอตัวเป็นๆครั้งแรกวันนี้ อดเปิดปากถามไม่ได้ว่า “ที่แท้ก็อ๋องไห่ มิทราบว่าท่านเข้ามาได้อย่างไรกัน?”
วังหลวงมิใช่สถานที่ที่คนธรรมดาจะเข้ามาได้ ต่อให้เป็นอ๋องไห่ ก็ไม่มีทางบุกวังหลวงได้ง่ายๆ และยังไม่มีทหารองครักษ์ใดพบเจออีก นี่ถือเป็นการบุกพระราชวังโดยพลการแล้ว
ถ้าเป็นคนที่มีอำนาจเล็กน้อย อวี๋ฉือกงก็ต้องจับมาประหารตามความผิดแล้ว แต่คนที่มาเป็นเป่ยไห่เฟิง มันมิเหมือนกัน
เป่ยไห่เฟิงไม่ใช่คนที่จะสามารถเป็นศัตรูได้ ต่อให้เขาเป็นกษัตริย์ประเทศหนึ่ง ก็ยังต้องครุ่นคิดดูให้ดี
เป่ยไห่เฟิงพูดอย่างมีมารยาทมากว่า “เป่ยไห่เฟิงคารวะฮ่องเต้เยียน ครั้งนี้เป่ยไห่เฟิงมาโดยพลการเป็นเพราะเรื่องสำคัญ ขอฮ่องเต้เยียนได้โปรดอภัยด้วย”
นี่ถือเป็นการพูดเข้าทางตัวเองแล้ว อวี๋ฉือกงผ่อนลมหายใจ โชคดีที่เป่ยไห่เฟิงผู้นี้มิใช่คนที่อาศัยอำนาจแล้วไร้เหตุผล ไม่เช่นนั้นเขายังไม่รู้จริงๆว่าจะทำอย่างไรถึงจะไม่เสียหน้า และไม่เป็นศัตรูกับเป่ยไห่เฟิงได้
อวี๋ฉือกงผ่อนคลายน้ำเสียงลง พลางว่า “มิทราบว่าอ๋องไห่มาในยามนี้ เพราะเหตุใดกัน?”
เป่ยไห่เฟิงตอบ “อันที่จริงก็มิมีอะไร เพียงแต่ชอบพอสตรีนางหนึ่งเข้า อยากพากลับทะเลด้วย มิทราบว่าฮ่องเต้จะยอมสละให้หรือไม่?”
อวี๋ฉือกงรู้สึกลางๆว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เลยถามขึ้น “มิทราบว่าเป็นสตรีเช่นไรรึที่สามารถทำให้อ๋องไห่หวั่นไหวได้?”
เป่ยไห่เฟิงชี้ไปที่กู้ชิวเหลิ่งพลางว่า “นาง”
สายตากู้ชิวเหลิ่งเย็นเยียบลง จากนั้นอวี๋ฉือจ้านก็มีสีหน้าที่เย็นเยียบเสียยิ่งกว่ากู้ชิวเหลิ่งเสียอีก
ต่อให้เป็นเป่ยไห่เฟิงที่อยู่ห่างจากอวี๋ฉือจ้านไม่กี่คืบ ยังรู้สึกได้ถึงกระแสลมปราณที่ไม่เป็นมิตร
แต่เขากลับไม่คิดถอยสักนิด เพราะไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับอ๋องไห่
อวี๋ฉือกงฝืนยิ้มบอก “คุณหนูรองของตระกูลกู้ผู้นี้คือได้เป็นพระชายาของเซ่อเจิ้งหวางที่มีชื่อเข้าสู่ลำดับราชวงศ์ น่ากลัวจะเป็นไปไม่ได้ อ๋องไห่หาสตรีอื่นเถิด”
เป่ยไห่เฟิงส่ายหัวบอก “ต้องเป็นนางเท่านั้น!”
อวี๋ฉือจ้านเอ่ยปากเสียงขรึมว่า “ข้ารู้ คนอย่างเจ้าอ๋องไห่เป็นหนึ่งในคนที่มิอาจเป็นศัตรูได้ที่สุดของโลกนี้”
“รู้ก็ดีแล้ว!”
เป่ยไห่เฟิงกัดฟันกรอด จนถึงตอนนี้เขายังจำได้ว่า กู้ชิวเหลิ่งทำเขาขายหน้าติดกันสองครั้ง
ไม่ว่าจะพูดอะไร วันนี้เขาต้องได้นางไป!
อวี๋ฉือจ้านพูดต่อไปว่า “งั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าคนที่ไม่อาจเป็นศัตรูได้มากที่สุดในโลกนี้คือใครกัน?”
เป่ยไห่เฟิงไม่สนใจเรื่องเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เลยตอบอย่างไม่ยี่หระว่า “ใครกัน?”
“ข้าเอง”
มีดสั้นในมืออวี๋ฉือจ้านพุ่งออกไปทันที ความเร็วนั้นทำให้แม้แต่กู้ชิวเหลิ่งยังตกใจ นี่มันเป็นมีดบินที่เร็วเสียยิ่งกว่ากู้เจิน สามารถแน่ใจได้เลยว่า มีดนี้พุ่งบินไปทางเป่ยไห่เฟิงแน่
เป่ยไห่เฟิงตกใจ ถ้าไม่ใช่เพราะองครักษ์ลับด้านหลังเขาตาไวเข้ามาขวางไว้ได้ ตอนนี้คนที่ตายอยู่ตรงหน้าก็คือเขาแล้ว
อวี๋ฉือจ้านไม่สนใจเลยสักนิด แม้แต่ตาก็ไม่กะพริบเลยด้วยซ้ำ
ไม่ว่าใครต่างก็รู้ดีกว่า เป็นศัตรูกับใครก็ไม่อาจเป็นศัตรูกับอวี๋ฉือจ้าน มีแต่เป่ยไห่เฟิงที่โง่ยืนอยู่ที่เดิม คิดเอาเองว่าตนเองสำคัญมาก
กู้ชิวเหลิ่งมองดูซากศพบนพื้น พลางว่า “เรื่องนี้บอกอ๋องไห่แล้ว เทียบกับสาวงามแล้ว ชีวิตต่างหากที่สำคัญที่สุด”
สาเหตุหลักที่อวี๋ฉือจ้านเป็นคนที่ไม่อาจเป็นศัตรูได้มากที่สุด เป็นเพราะเขาไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน และขอเพียงเป็นศึกที่อวี๋ฉือจ้านคิดจะทำ ก็ไม่เคยพ่ายแพ้เลยสักครั้ง
ถึงแคว้นไห่จะแข็งแกร่ง เขาก็ไม่คิดจะใช้วิธีโง่เขลาอย่างถมทะเลนั่น วิธีที่เร็วที่สุดคือโจมตีประเทศบนทะเล และเขาอวี๋ฉือจ้าน ไม่เคยพ่าย
สีหน้าเป่ยไห่เฟิงมิสู้ดีนัก ดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลนั่นมีประกายเจ้าเล่ห์วาบผ่าน พูดอย่างเจ้าเล่ห์ว่า “เซ่อเจิ้งหวาง เหตุใดท่านโกรธง่ายเหมือนเมื่อก่อนเลยเล่า? ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น ถึงพระชายาของเซ่อเจิ้งหวางจะดี แต่ก็มิใช่แบบที่ข้าชอบ ข้ามาครั้งนี้คิดจะเชิญพระชายาของเซ่อเจิ้งหวางไปเล่นที่จวนสักสองวัน มีบางเรื่องอยากจะปรึกษาพระชายาของเซ่อเจิ้งหวางด้วยตนเองสักหน่อย”
กู้ชิวเหลิ่งพูดอย่างไม่ไว้หน้าว่า “ปรึกษา ข้ามิอาจเอื้อมดอก ในเมื่ออ๋องไห่มีเรื่องอยากถาม เรียกคนรับใช้มารายงานก็ได้แล้ว เหตุใดต้องลำบากมาด้วยตัวเองด้วยเล่า?”
เป่ยไห่เฟิงพูดต่อไปว่า “วันนี้เป็นวันดีของทั้งสอง ข้าย่อมนำของขวัญมามอบให้อยู่แล้ว” เป่ยไห่เฟิงสมองกลอกไปมาอย่างไว ครั้งนี้เขาไม่ได้เอาของขวัญอะไรมาเลย เดิมคิดว่าจะจับตัวกู้ชิวเหลิ่งกลับไปได้แน่ แต่ครั้งนี้กลับสัมผัสได้ถึงความโกรธของอวี๋ฉือจ้าน พูดอะไรเขาก็ไม่กล้าคิดอย่างนี้อีกแล้ว
เป่ยไห่เฟิงล้วงไข่มุกทะเลเม็ดหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ พูดอย่างเปิดเผยว่า “นี่เป็นไข่มุกเจ็ดสีที่หาได้ยากยิ่ง คุณค่าควรเมือง มอบให้พวกท่านล่ะ!”