ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 169 มุ่งหน้าไปยังต้าฉี
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 169 มุ่งหน้าไปยังต้าฉี
กู้ชิวเหลิ่งอาบน้ำเสร็จอย่างรวดเร็ว รู้สึกว่าร่างกายสบายขึ้นมาก
อวี๋ฉือจ้านเดินเข้ามาอย่างไม่หลบหลีก และคลุมผ้าคลุมสีชมพูบีโกเนียให้กู้ชิวเหลิ่ง กู้ชิวเหลิ่งถึงพบว่า เสื้อผ้าที่อวี๋ฉือจ้านให้คนจัดเตรียมไว้ให้นางนั้นมิมีชุดใดเป็นสีเขียวไม้ไผ่เลย
และใต้ผ้าคลุมของกู้ชิวเหลิ่งก็ยังมิได้ใส่เสื้อผ้าใด
“ท่านควรจะหลบหลีกให้สักหน่อยหรือไม่?”
“ในเมื่อเป็นสามีภรรยากัน ก็มิจำเป็นต้องหลบหลีกดอก”
กู้ชิวเหลิ่งเลิกคิ้วบอก “ท่านชอบดูข้าเปลี่ยนเสื้อผ้า?”
“อืม”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้าเล็กน้อย เอาผ้าคลุมลงมา อวี๋ฉือจ้านเหมือนเห็นความขาวโพลนชั่วขณะ วินาทีต่อมาก็โดนสีชมพูบีโกเนียบดบังสายตา พออวี๋ฉือจ้านหยิบลงมา กู้ชิวเหลิ่งก็ใส่เสื้อในสีขาวหิมะแล้ว
“น้องนาง นี่ถือว่าซุกซนหรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งยังไม่เคยโดนบุรุษใดเล่นซุกซนมาก่อน เลยเอ่ยปากขึ้นว่า “หรือว่าท่านมิอยากพบจวินหวาเทียนเร็วหน่อย? ยังจะมาเย้าข้าเล่นอะไรอยู่นี่?”
“มิใคร่อยากพบนัก”
“พบหรือมิพบ พรุ่งนี้ข้าก็จะตามเขากลับต้าฉีก่อน”
กู้ชิวเหลิ่งพูด “เพียงแต่ท่านอยู่ต้าเยียน ทางที่ดีที่สุดจัดการความสัมพันธ์ระหว่างสองตระกูลฉินกู้เสียก่อน เหลือพวกเขาไว้ในท้องพระโรงเมืองหลวง ไม่สะดวกจริงๆ ฮ่องเต้เองก็ยังทรงพระเยาว์ เรื่องมากมายยังจัดการไม่เหมาะสมนัก”
“อันที่จริงกงเอ๋อร์สามารถจัดการเรื่องได้ไม่น้อยแล้ว ถึงเขาจะยังอายุน้อย แต่ก็ไม่ได้เด็กกว่าข้ามากนัก แต่เพื่อความปลอดภัยที่สุด รอข้าจัดการสองตระกูลฉินกู้เสียก่อน เจ้าจะได้มิมีเรื่องกังวลในภายหลัง”
กู้ชิวเหลิ่งเริ่มใส่เสื้อผ้าอย่างเป็นระเบียบ และเอ่ยขึ้นราวกับมิได้ตั้งใจว่า “ทำไมในจวนเซ่อเจิ้งหวางที่กว้างใหญ่นี้ กลับมิมีเสื้อผ้าสีเขียวไม้ไผ่เลยแม้แต่ตัวเดียว?”
อวี๋ฉือจ้านยิ้มมุมปากน้อยๆว่า “เพราะเมียมิชอบ ข้าเลยมิอนุญาตให้เจ้าใส่” ทุกคนล้วนเข้าใจว่ากู้ชิวเหลิ่งชอบเสื้อผ้าสีเขียวไม้ไผ่ มีเพียงอวี๋ฉือจ้านเท่านั้นที่รู้ว่า นางมิได้ชอบสีเขียวไม้ไผ่ นางชอบสีชมพูบีโกเนีย และสีแดงเข้มที่ร้อนแรงมาตลอด
กู้ชิวเหลิ่งไม่พูดอันใด เท่ากับยอมรับ
สภาพร่างกายของจวินหวาเทียนพิเศษ กู้ชิวเหลิ่งไม่คิดให้จวินหวาเทียนมาจวนเซ่อเจิ้งหวาง ยิ่งไปกว่านั้นร่างกายของจวินหวาเทียนก็ไม่ได้ดีนัก จวนตระกูลมู่และจวนเซ่อเจิ้งหวางห่างกันชั่วถนนเดียว กู้ชิวเหลิ่งกลัวว่าจะทำให้จวินหวาเทียนป่วยหนักขึ้น
อวี๋ฉือจ้านเตรียมอาหารเช้า หลังจากทานพร้อมกู้ชิวเหลิ่งแล้วจึงขึ้นเกี้ยวที่มิโดดเด่นหลังหนึ่งจากประตูหลัง และไปหยุดที่ประตูหลังของจวนตระกูลมู่
มีคนรับใช้คนหนึ่งมายืนรอที่ด้านนอกนานแล้ว หลังจากเห็นกู้ชิวเหลิ่ง ก็ทำท่าทีเชื้อเชิญ และนำกู้ชิวเหลิ่งกับอวี๋ฉือจ้านเข้าไปยังเรือนด้านใน
ด้านนอกอากาศร้อนแรงนัก พอเข้าสู้เรือนด้านในถือว่าเย็นสบายนัก แต่พอเข้าไปในเรือนด้านในแล้ว ก็รู้สึกร้อนเสียยิ่งกว่าวันที่ร้อนที่สุดในฤดูร้อนเสียอีก
จวินหวาเทียนกำลังนั่งผิงไฟอยู่ข้างเตาผิง เนื้อตัวยังห่มผ้าคลุมขนจิ้งจอกเงิน พอเห็นอวี๋ฉือจ้านกับกู้ชิวเหลิ่งมา จึงพูดขึ้นช้าๆว่า “ทั้งสองเชิญนั่งเถิด”
กู้ชิวเหลิ่งมองจวินหวาเทียน จวินหวาเทียนเข้าใจ การกลับชาติมาเกิดนี้มิใช่ทุกคนจะเชื่อ ต่อให้เป็นอวี๋ฉือจ้าน ก็มิแน่ว่าจะยอมรับได้ง่ายเหมือนจวินหวาเทียน
จวินหวาเทียนพูด “จุดประสงค์ที่เซ่อเจิ้งหวางและพระชายาของเซ่อเจิ้งหวางมาหาข้า ข้าก็พอเข้าใจล่ะ”
ยังพูดมิทันจบ จวินหวาเทียนก็ไอขึ้นมา อวี๋ฉือจ้านเห็นความอ่อนแอจากตัวจวินหวาเทียน และไม่มีทางเสแสร้งแกล้งทำได้
เมื่อก่อนเขาเคยได้ยินชื่อเสียงอ๋องหวาแห่งต้าฉีมาบ้าง แต่ตอนนี้ดูแล้ว มิน่าจะเป็นผู้มีอายุยืนเลย
“ร่างกายของคุณชายมู่มิสบายรึ? ข้ามีท่านหมอคนหนึ่ง สามารถรักษาได้ทุกโรค” จวินหวาเทียนส่ายหน้าบอก “เซ่อเจิ้งหวางมิต้องใส่ใจดอก ต่อให้ชีวิตข้ามิอาจยืนยาวได้ ก็ต้องทำเรื่องให้แล้วเสร็จก่อน เรื่องของข้านั้นเหมือนกับเป้าหมายที่เซ่อเจิ้งหวางมาวันนี้ เช่นนั้นก็มิจำเป็นต้องพูดคุยกันอีก”
อวี๋ฉือจ้านรู้ว่าจวินหวาเทียนเป็นคนฉลาด ดังนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ข้ายังมีเรื่องต้องจัดการที่ต้าเยียน ดังนั้นรบกวนคุณชายมู่ช่วยดูแลพระชายาระหว่างทางให้ด้วยเถิด”
จวินหวาเทียนพยักหน้าเล็กน้อยพลางว่า “ขอเซ่อเจิ้งหวางโปรดวางใจ”
กู้ชิวเหลิ่งพูดคิ้วขมวดอย่างเป็นกังวลว่า “ร่างกายเจ้าทนไหวรึ? หนทางไปต้าฉีไกลนัก ควรจะมีท่านหมอไปด้วยสักคน”
จวินหวาเทียนพยักหน้าบอก “พระชายาของเซ่อเจิ้งหวางโปรดวางใจ ข้ามีท่านหมอแล้วคนหนึ่งอยู่ข้างกาย มิมีอันใดเกิดขึ้นระหว่างทางแน่”
อวี๋ฉือจ้านมองกู้ชิวเหลิ่ง รู้สึกว่า ระหว่างกู้ชิวเหลิ่งและจวินหวาเทียนมีบางอย่างแปลกประหลาด เหมือนรู้จักกันมาช้านาน
กู้ชิวเหลิ่งกับอวี๋ฉือจ้านนั่งคุยที่จวนตระกูลมู่ครู่หนึ่ง และกำหนดวันเดินทางไปต้าฉี
มีสิ่งเดียวที่มิได้พูดคือ กู้ชิวเหลิ่งคิดจะเข้าวังไปฝ่าอันตราย
หากมิเข้าวัง จะเข้าใกล้มู่หรงอี๋ได้อย่างไรกัน?
เพียงแต่เรื่องนี้มิอาจบอกอวี๋ฉือจ้านตอนนี้ได้
ก่อนออกมา กู้ชิวเหลิ่งสบตากับจวินหวาเทียน ต่างคนต่างเข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดอันใด
จวินหวาเทียนพลันเอ่ยปากขึ้นว่า “ข้ารู้ว่าเมื่อวานเป็นวันมงคลของพวกท่าน ถึงจะมิได้ไป แต่ก็เตรียมของขวัญไว้ และส่งไปเมื่อวานแล้ว”
อวี๋ฉือจ้านหยุดฝีเท้าลง และพูดเสียงขรึมมีแววยินดีว่า “ขอบคุณน้ำใจของคุณชายมู่ยิ่งนัก ข้าและพระชายาซาบซึ้งใจยิ่ง”
สีหน้ากู้ชิวเหลิ่งพลันเคร่งขรึมลง พลางว่า “คุณชายมู่ เกรงใจไปแล้ว…”
จวินหวาเทียนผงกหัวเล็กน้อย ยืนมองดูกู้ชิวเหลิ่งและอวี๋ฉือจ้านขึ้นรถไป ถึงไอออกมาหลายครั้ง และให้คนรับใช้พยุงเข้าไปในเรือนด้านใน
กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่บนรถ ไม่พูดอะไรสักคำ พอคิดถึงร่างกายของจวินหวาเทียนก็อดกังวลไม่ได้
“เหลิ่งเอ๋อร์?”
กู้ชิวเหลิ่งได้สติ ขมวดคิ้วน้อยๆพลางถาม “ท่านเรียกข้าว่าอะไรนะ?”
“เหลิ่งเอ๋อร์”
อวี๋ฉือจ้านพูดอย่างหน้าตาเฉย
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มอย่างขบขันว่า “ท่านไปเรียนมาจากไหนน่ะ?”
อวี๋ฉือจ้านบอก “ครั้งก่อนข้าได้ยินกู้ชิวถางเรียกเจ้าเช่นนี้ ชอบฟังหรือไม่?”
“ตามใจท่านเถิด”
กู้ชิวเหลิ่งนึกขึ้นได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นจวินหวาเทียนหรือท่านพ่อท่านพี่แล้ว ล้วนเรียกนางว่าอาชิว
แต่ตอนนี้นอกจากจวินหวาเทียนแล้ว คงมิมีผู้ใดเรียกนางเช่นนี้แล้ว
อวี๋ฉือจ้านรู้สึกไม่สบอารมณ์นัก ไม่รู้เพราะเหตุใด นับจากครั้งแรกที่เจอจวินหวาเทียน เขารู้สึกว่า ในใจกู้ชิวเหลิ่งมีคนเพิ่มมาอีกคน
อวี๋ฉือจ้านมองความรู้สึกนี้ว่าอันตราย
และจวินหวาเทียนก็เป็นคนแรกที่ทำให้เขารู้สึกถึงอันตรายได้
กู้ชิวเหลิ่งเห็นสีหน้าอวี๋ฉือจ้านแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมา ก็เอ่ยปากถาม “ท่านกำลังคิดอะไรน่ะ?”
อวี๋ฉือจ้านเอ่ยปากขึ้นเสียงขรึมว่า “เหลิ่งเอ๋อร์ อยู่ต่อหน้าคนอื่นเรียกข้าว่าจ้านเป็นอย่างไร?”
กู้ชิวเหลิ่งทำหน้าสงสัย อวี๋ฉือจ้านพูดต่อไปว่า “เจ้าดูสิ ฝู้จื่อโม่เรียกข้าว่าจ้าน เจ้าเป็นภรรยาของข้า ควรจะเรียกข้าว่าจ้านด้วยหรือไม่?”
กู้ชิวเหลิ่งพลันรู้สึกขบขัน พลันถามว่า “ท่านสนใจคำเรียกตั้งแต่เมื่อใดกันท”
“ตอนนี้”