ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 170 บัญชีมีมากเกินไป ค่อยๆคิด
หมอกในเช้ามืดวันนี้ดูอึมครึมไม่ชัดเจน กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่บนรถม้า นางเปิดผ้าม่านออกดู
ในเวลานี้ พวกนางได้ออกจากประตูใหญ่เมืองหลวงของต้าเยียนแล้ว
สีหน้าซีดเผือดของจวินหวาเทียนมีแววเหน็ดเหนื่อย “เมื่อก่อนเจ้าตัดสินใจเด็ดขาด มิเคยพะวงหน้าพะวงหลังเช่นนี้”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วแน่น พลันนึกถึงหลังจากที่นางตามอวี๋ฉือจ้านกลับไปแล้ว และเห็นอวี๋ฉือจ้านตระเตรียมข้าวของจำเป็นที่ต้องใช้ในการไปต้าฉีไว้ให้นางเรียบร้อยแล้ว นางรู้สึกประหนึ่งว่าคัดสรรมาอย่างดีนานแล้ว
ถึงต่อหน้าแล้ว อวี๋ฉือจ้านจะมีท่าทีไม่ใคร่ยอมให้นางติดตามจวินหวาเทียนไปต้าฉีด้วยตัวคนเดียว แต่อันที่จริงแล้วอวี๋ฉือจ้านเอาใจใส่และรอบคอบ และมิได้คิดเล็กคิดน้อย เช้าวันนี้ก็ตระเตรียมเส้นทางไว้ให้นางเรียบร้อย
เมื่อก่อนมิว่าจะไปออกรบก็ดี ไปทำงานก็ดี นางมิเคยพะวงหน้าพะวงหลัง เหมือนอย่างที่จวินหวาเทียนพูด ท่านพ่อท่านพี่ล้วนวางใจในตัวนาง แม้แต่จวินฉีเซิ่งยังรู้สึกว่า ในโลกนี้มิมีสิ่งใดที่นางกู้ชิวเหลิ่งผู้นี้ทำมิสำเร็จ ในหัวใจของจวินหวาเทียนเอง กู้ชิวเหลิ่งก็มิมีทางมีช่องโหว่
มีเพียงอวี๋ฉือจ้าน ไม่เพียงเชื่อมั่นในตัวนางหมดสิ้น ยังเป็นห่วงเป็นใยนางอย่างไม่มีที่สิ้นสุด และยอมเดินเคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับนาง
กู้ชิวเหลิ่งวางผ้าม่านลง พลางว่า “เวลาแค่สามปี ข้าเองยังรู้สึกว่าข้าเปลี่ยนไปแล้ว”
“ไม่ เจ้ายังเป็นเจ้า อาชิว หลายปีมานี้เจ้ามิได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย”
จวินหวาเทียนยังคงมีรอยยิ้มที่อบอุ่นอ่อนโยนนั่น น้ำเสียงเวลาพูดทำให้คนประหนึ่งพบเจอลมฤดูใบไม้ผลิ หากมิใช่ว่าใบหน้าซีดเผือดนั่นมีแววเคร่งเครียด กู้ชิวเหลิ่งคงรู้สึกว่าได้ย้อนเวลากลับไปแน่ๆ
แต่ทั้งคู่ต่างรู้ดีว่า มิอาจย้อนเวลากลับไปได้
หากตอนแรกกู้ชิวเหลิ่งมิได้ตบแต่งกับจวินฉีเซิ่ง เช่นนั้นตระกูลมู่หรงก็มิต้องโดนฆ่าล้างตระกูล ฮ่องเต้องค์ก่อนของต้าฉีคงมิต้องโดนความโหดร้ายของจวินฉีเซิ่งฆ่าเอา และจวินหวาเทียนก็มิต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากการพลัดพราก สุดท้ายเหลือเพียงร่างกายขี้โรคอ่อนแอนี่
กู้ชิวเหลิ่งมิได้รู้สึกกับจวินหวาเทียนเพียงแค่พี่ชายกับน้องสาวเฉกเช่นแต่ก่อนแล้ว ในใจนางยังมีความรู้สึกผิดอย่างลึกซึ้ง
ความรู้สึกผิดเช่นนี้ จะติดตามตัวกู้ชิวเหลิ่งไปชั่วชีวิต
กู้ชิ้วเหลิ่งพูด “เมื่อวานตอนอวี๋ฉือจ้านอยู่ ข้ามิอาจถามเจ้าได้ โรคของเจ้ามาได้อย่างไรกัน? เจ้าหาชาวต้าโม่เจอได้อย่างไร?”
มือที่ถือถ้วยชาขึ้นจิบของจวินหวาเทียนพลันชะงัก จากนั้นยิ้มน้อยๆออกมา พลางว่า “อันที่จริงข้าก็ควรจะรู้นานแล้วว่า เจ้ารู้ว่าเลือดในกายข้าครึ่งหนึ่งเป็นของชาวต้าโม่ ดังนั้นตอนเจ้าเห็นมู่เจิน ถึงได้ถามถึงข้า และเพราะอย่างนี้ ข้าถึงเชื่อว่าเจ้าคืออาชิว”
ใช่ หมาป่าตรงกระดูกไหปลาร้าของจวินหวาเทียน มีแต่กู้ชิวเหลิ่งที่เคยเห็น
กู้ชิวเหลิ่งพูดว่า “จำได้ว่า ตอนอายุสิบสาม ข้าแสดงวิชาตัวเบา แต่กลับตกลงมาจากบนต้นไม้ หากตอนนั้นเจ้ามิรับข้าไว้ ทำให้ข้ากระชากเสื้อเจ้าโดยมิรู้ตัว น่ากลัวข้าก็คงไม่รู้ฐานะชาวต้าโม่ของเจ้า”
จวินหวาเทียนยิ้มบางๆพูดว่า“อันที่จริงด้วยความฉลาดของเจ้า ข้าก็รู้นานแล้วว่าเจ้ารู้ความลับข้า แต่มันมิใช่เรื่องใหญ่อะไรสำหรับข้า แต่ก็เพราะมารดาข้าเป็นเชื้อพระวงศ์ของต้าโม่ ข้าถึงอยู่รอดมาจนถึงวันนี้ได้”
จวินหวาเทียนพูดออกมาอย่างง่ายดาย แต่ในสายตากู้ชิวเหลิ่งกลับรับรู้ได้ถึงความเย่อหยิ่งเดียวดาวของจวินหวาเทียน ในสายตาคนอื่น จวินหวาเทียนเยือกเย็นดุจดวงจันทร์ มิใส่ใจในชื่อเสียงอันใด ความสุขุมนุ่มลึก
แต่ในใจกู้ชิวเหลิ่ง จวินหวาเทียนกลับมีแต่ความเดียวดายโดดเดี่ยวเท่านั้น
มิรู้ว่า ในยามค่ำคืนที่หนาวเหน็บมากสักเพียงใด เขาที่อายุยังน้อยมายืนหน้าประตู และแหงนหน้ามองจันทร์เสี้ยวกลางท้องฟ้า
ผู้คนในวังล้วนเป็นพวกสนใจแต่ผลประโยชน์ ข่าวลือว่าซูเฟยเป็นปีศาจเพียงพอให้คนทั่วทั้งวังหลวงจะเย็นชากับจวินหวาเทียนวัยเด็ก ต่อให้เป็นองค์ชายคนหนึ่ง ทำให้คนรู้สึกดูถูกแต่ก็หวาดหวั่น เลยมิอาจจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้
กู้ชิวเหลิ่งเปลี่ยนเรื่องพูด พลางว่า “เท่าที่ข้ารู้จักจวินฉีเซิ่ง เขามิมีทางยอมปล่อยเจ้าไปชายแดนดอก ต่อให้เนรเทศ เขาก็ไม่มีทางวางใจ ดังนั้นข้าเดาว่าเขาต้องลงมือฆ่าเจ้าแน่ เดิมคิดจะขอร้องเขาให้ปล่อยเจ้าไป แล้วค่อยส่งคนมาเฝ้าเจ้า แต่ไม่คิดว่า…..”
สมองของกู้ชิวเหลิ่งเกิดภาพน่าเกลียดที่นางถูกล่ามโซ่เหล็กไปทั้งตัว อดสะอึกไม่ได้
จวินหวาเทียนพูดเสียงแหบพร่าว่า “ศพของเจ้า ข้าจัดการฝังเรียบร้อยแล้ว”
“เจ้าเห็นรึ?”
จวินหวาเทียนบอก “กว่าข้าจะเจอศพเจ้า ก็ยังอยู่ในสภาพดี”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มเย็นพลางว่า “แน่นอนว่าสภาพดี”
ตายเพราะตะกั่ว ตะกั่วเข้าสู่ทุกอณูของร่างกายนาง จะไม่อยู่ในสภาพดีได้อย่างไร? ต่อให้อยู่ในที่ทิ้งศพไร้ญาติ น่ากลัวก็คงจะเหมือนคนรู้จักที่ยังมีชีวิตอยู่กระมัง? ก็แค่สัตว์ร้ายมากินเป็นอาหาร ตกอยู่ในสภาพน่าอนาถเท่านั้นเอง
จวินหวาเทียนพูดเสียงเรียบว่า “มู่หรงอี๋ คือหลิ่วกุ้ยเฟยในตอนนี้ ตอนนั้นข้าให้คนไปสืบ ถึงรู้ว่าเป็นนางที่ให้ร้ายทั้งตระกูลมู่หรง สุดท้ายโยนความผิดให้เจ้า”
กู้ชิวเหลิ่งพูดเสียงขรึม “หลิ่วอี๋เหนียงล่ะ?”
สตรีผู้นั้นที่ยั่วยวนปีนขึ้นเตียงบิดานาง นางแค้นจนอยากจะส่งหลิ่วอี๋เหนียงลงไปอยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อท่านแม่ในหลุมศพ!
จวินหวาเทียนพูด “ได้รับการแต่งตั้งเป็นฮูหยินระดับเอก ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มเย็นบอก “ดี ดีนี่มู่หรงอี๋ ดีนี่หลิ่วอี๋เหนียง”
นางจำได้ว่า ชาติก่อนหลิ่วอี๋เหนียงคอยเอาใจคนในจวนยิ่งนัก เอะอะก็ยกน้ำชามาให้ท่านแม่ และยังมิรังเกียจทำการล้างเท้าให้ท่านแม่
เพราะเหตุนี้ท่านแม่จึงยอมรับหลิ่วอี๋เหนียงอย่างใจกว้างได้ ส่วนท่านพ่อถึงจะมิได้ไปหาหลิ่วอี๋เหนียงมากนัก แต่ก็ถือว่าอยู่กันอย่างปรองดองกับหลิ่วอี๋เหนียงแล้ว
สตรีเช่นนี้ ลูกสาวที่เกิดมา ทั้งสองคนกลับร่วมมือกับทำลายตระกูลมู่หรง
กู้ชิวเหลิ่งอยากตบตนเองให้เป็นลมไปเลย ตอนนั้นตนช่างตาบอดจริงๆ ถึงได้วางใจปล่อยทั้งคู่อยู่ในจวนต่อไป มิเช่นนั้นบัดนี้คงมิได้เป็นเช่นนี้
สมองของกู้ชิวเหลิ่งปรากฏภาพอีกภาพหนึ่งขึ้นมา มู่หรงอี๋กับจวินฉีเซิ่งกระทำการบัดสีบัดเถลิงในห้องของนาง มู่หรงอี๋พูดคำนี้เองกับปาก นางนึกถึงใบหน้าของจวินฉีเซิ่งได้ทันที และยังมีหลิ่วอี๋เหนียง มีหรือจะมิรู้เรื่องสกปรกของลูกสาวตนเองกับจวินฉีเซิ่ง?
พอเห็นสีหน้าทะมึนบนใบหน้ากู้ชิวเหลิ่ง จวินหวาเทียนตบหลังมือกู้ชิวเหลิ่งเบาๆ พลางว่า “ไม่ต้องคิดอีกแล้ว รอจนถึงเมืองหลวง ค่อยทุ่มเทความคิดไปที่ ทำอย่างไรถึงจะล้างแค้นให้ตระกูลมู่หรงได้”
กู้ชิวเหลิ่งพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่า “ยังมีองค์รัชทายาท ตอนนั้นองค์รัชทายาทตายได้อย่างไร ฮ่องเต้องค์ก่อนตายอย่างไร จะลืมไม่ได้เด็ดขาด”
จวินหวาเทียนพูดว่า “บัญชีมีมากเกินไป ต้องค่อยๆคิด”
กู้ชิวเหลิ่งพูดต่อว่า “ข้าจะเข้าวัง”
จวินหวาเทียนขมวดคิ้วบอกทันทีว่า “ไม่ได้”
กู้ชิวเหลิ่งบอก “เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้ามิได้ไปทันที แต่ข้าจะไปพบมู่หรงอี๋สักหน่อย สามปีมานี้ดูท่านางจะใช้ชีวิตมีความสุขมากเกินไป ต้องมีคนไปลดทอนรัศมีของหลิ่วกุ้ยเฟยเสียหน่อย”
จวินหวาเทียนเม้มปากบอก “อันตรายเกินไป ต่อให้เจ้าจะเข้าวังก็ต้องมีเหตุผล”
“เหตุผลมีแน่นอน ก่อนหน้านี้เพื่อสืบเรื่องข้าจวินฉีเซิ่งบอกว่าจะเชิญข้าไปเป็นแขกที่ต้าฉี เขาพูดถึงสองสามครั้ง นี่เป็นข้ออ้างที่ดี”