ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 171 ไม่ตายไม่เลิกรา
กู้ชิวเหลิ่งนั่งหลับตาพักอยู่บนรถม้า พลางยิ้มมุมปาก
จวินหวาเทียนเพียงคิ้วขมวดอย่างยากที่จะเห็นได้ จากนั้นพูดว่า “ในฐานะพี่ชาย ข้าไม่อยากให้เจ้าแก้แค้น ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขต่างหากดีที่สุด แต่ว่าพอข้าคิดถึงว่า ก่อนเจ้าตาย เจ้าได้รับการทรมานมากแค่ไหน ข้าก็แค้นจนอยากจะ…”
จวินหวาเทียนไม่ได้พูดต่อ หัวใจของเขาสับสนมากนัก ทางหนึ่งก็หวังว่า หลังจากกู้ชิวเหลิ่งกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งจะมีความสุขสมบูรณ์ สองคือรู้นิสัยกู้ชิวเหลิ่งว่า ต้องแก้แค้น และจะพุ่งไปในทางล้างแค้นแบบกู่ไม่กลับ
ส่วนเขา นอกจากคอยสนับสนุนอยู่เงียบๆแล้ว คอยปกป้องอยู่ข้างหลัง ก็ไม่มีทางเลือกที่เหมาะสมอย่างอื่นแล้ว
กู้ชิวเหลิ่งลืมตาขึ้น พลางว่า “ข้ารู้ เจ้าทำเพื่อข้า แต่ในตัวข้ามิได้มีแค่ความแค้นของข้าคนเดียว ยังมีของตระกูลมู่หรง และของเจ้า ยังมีฮ่องเต้องค์ก่อน ยังมีองค์รัชทายาท…ลูกในท้องของข้า ข้าไม่มีวันยกโทษให้พวกมัน ไม่ว่าจะเป็นจวินฉีเซิ่งหรือมู่หรงอี๋ หรือหลิ่วอี๋เหนียง ข้าจะให้พวกมันชดใช้ด้วยเลือดสด ข้าจะให้พวกมันต้องทนทุกข์ทรมานเสียยิ่งกว่าข้า ข้ากับพวกมัน ไม่ตายไม่เลิกรา”
จวินหวาเทียนมองเห็นประกายไฟแค้นลุกช่วงจากในดวงตากู้ชิวเหลิ่ง ไม่ว่าเป็นผู้ใด ต่อให้ตอนนี้คนที่มาเกลี้ยกล่อมกู้ชิวเหลิ่งคืออวี๋ฉือจ้าน ก็คงไม่อาจยับยั้งความคิดล้างแค้นของกู้ชิวเหลิ่งได้อยู่ดี
จวินหวาเทียนบอก “ข้าเข้าใจแล้ว อาชิว ไม่ว่ายังไงก็ตาม ข้าหวังว่าเจ้าจะมีความสุข” กู้ชิวเหลิ่งบอก “หวาเทียน ถ้าฮ่องเต้ของต้าฉีเป็นเจ้า เช่นนั้นราษฎรของต้าฉีก็จะมีความสุข ถึงเวลานั้นข้าย่อมมีความสุขได้”
ถึงจวินหวาเทียนจะไม่พูด แต่กู้ชิวเหลิ่งเคยเห็นความดื้อดึงยึดมั่นต่อบัลลังก์จากตัวจวินหวาเทียนมาก่อน เชื่อว่าต่อให้ตอนนี้จวินหวาเทียนตกอยู่ในสภาพนี้ ก็ต้องหวังว่า ผู้ที่ได้ขึ้นครองบัลลังก์จะสามารถทำให้ราษฏรมีความสุขได้
และด้วยความสามารถของจวินหวาเทียน เขาจะต้องทำได้ดีกว่าใครแน่
รถม้าแล่นไปทางที่ไปต้าฉี กู้ชิวเหลิ่ง กู้ชิวเหลิ่งพยายามสะกดอารมณ์ในใจ อีกไม่นาน นางก็จะกลับไปบ้านเกิด และที่แรกที่นางจะไปคือตระกูลมู่หรง
พระราชวังเมืองหลวงของต้าฉีในเวลานี้ มู่หรงอี๋ใส่ชุดกระโปรงยาวดูงดงามหรูหรา นางอายุยี่สิบกว่าปีแล้ว เพิ่มความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นกว่าตอนที่ยังอายุน้อย นางในคันฉ่องยังคงเป็นสตรีที่งดงามล่มเมือง ต่อให้เป็นฮองเฮาในวังหลัง ก็หาสตรีที่งดงามกว่านางมิเจอ
“สองวันนี้ฝ่าบาทอยู่ในตำหนักของสนมคนไหน?” อีชุ่ยนางกำนัลข้างกายมู่หรงอี๋บอก “ทูลกุ้ยเฟย สองวันนี้ฝ่าบาทอยู่ในตำหนักฉินเฟย และมีแวะไปเยี่ยมเยียนหยินเฟยบ้าง”
“ฉินโม่เอ๋อร์ ก็คือองค์หญิงเหอชินของต้าเยียนนั่น หลังจากข้าได้เจอครั้งก่อนมักรู้สึกว่าคุ้นตาอยู่บ้าง”
มู่หรงอี๋ขมวดคิ้ว ถึงนางจะมิได้พูดออกมาชัดเจน แต่อีชุ่ยก็รู้ดี
มู่หรงอี๋พูดว่าหน้าตาเหมือน คือหมายถึง ฉินโม่เอ๋อร์หน้าตาเหมือนมู่หรงชิวที่ตายไปแล้ว
ครานั้นนางตัดนิ้วมือของมู่หรงชิวเองกับมือ ต่อให้ตอนนี้พอคิดถึงสภาพตายของมู่หรงชิว นางยังคงหวาดกลัวอยู่เลย
“ทำไม? พูดถึงสตรีผู้นั้น เจ้าก็ไม่กล้าพูดจาแล้วรึ?”
อีชุ่ยรีบคุกเข่าลงไป พลางว่า “ข้าน้อยมิกล้า! ข้าน้อยเพียงแต่คิดว่า ฝ่าบาทโปรดปรานฉินเฟยนั่นเพียงนี้ ขนาดหยินเฟยยังโดนลดการโปรดปรานไปมากมายนัก เกรงว่าจะ…”
มู่หรงอี๋ขมวดคิ้วบอก “พูด!”
“เกรงว่าจะระลึกถึงฮองเฮาองค์ก่อน…”
พออีชุ่ยพูดจบ มู่หรงอี๋ก็ตบโต๊ะลุกผ่าง มู่หรงชิวเป็นศัตรูคู่แค้นของนางมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยชื่อมู่หรงชิวต่อหน้านาง
อีชุ่ยโขกศีรษะพลางว่า “ข้าน้อยพูดจาซี้ซั้วเอง ฝ่าบาทรักใคร่โปรดปรานกุ้ยเฟยที่สุด ครั้งนี้ก็เพียงแต่เห็นแก่ที่ฉินเฟยเป็นคนของต้าเยียน ถึงโปรดปรานมากหน่อย”
“เหอะ อย่าคิดว่าข้ามิรู้ หากมิใช่เพราะฉินโม่เอ๋อร์นั่นคล้ายกับมู่หรงชิวหลายส่วน และหน้าตางดงามหน่อย เจ้าคิดว่าฝ่าบาทจะแตะต้องนางรึ?”
“กุ้ยเฟยรับสั่งถูกต้องแล้ว ในวังหลังนี้นอกจากกุ้ยเฟยแล้ว ผู้ใดสามารถครองวังหลังได้กัน!” มู่หรงอี๋ฟังคำพูดเยินยอปอปั้นเหล่านี้จนชินอยู่แล้ว จึงพูดต่อว่า “หลายวันนี้ข้าเองก็ไม่ได้ไปถวายบังคมฮองเฮานานแล้วไป ตอนนี้ไปถวายบังคมฮองเฮา”
อีชุ่ยพูดอย่างนบนอบว่า “ข้าน้อยจะไปเตรียมเกี้ยว”
อีชุ่ยครุ่นคิดความคิดของมู่หรงอี๋ นางติดตามอยู่ข้างกายมู่หรงอี๋มาห้าปีแล้ว รู้จักนิสัยมู่หรงอี๋เป็นอย่างดี เมื่อก่อนเพราะฐานะกุ้ยเฟยและครองวังหลังของมู่หรงอี๋ จึงมิเคยสนใจไยดีฮองเฮาที่ป่วยออดๆแอดๆนั่น และมิเคยคิดไปถวายบังคม ไปครานี้ น่ากลัวจะไปลองเชิงฉินโม่เอ๋อร์คนนี้ดูสักหน่อย
มู่หรงอี๋นั่งอยู่บนเกี้ยว ด้านหลังมีนางกำนัลสิบสองคน ขันทีหกคนตามหลัง ขบวนยิ่งใหญ่นัก
ขันทีและนางกำนัลข้างทางที่ได้เห็นขบวนเสด็จนี้ล้วนแต่คุกเข่าลงถวายบังคมกุ้ยเฟย
เพราะในวังหลวงนี้ ผู้เดียวที่สามารถนั่งเกี้ยวได้ มีเพียงมู่หรงอี๋เท่านั้น
ความโปรดปรานของจวินฉีเซิ่งที่มีต่อมู่หรงอี๋ไม่ต้องพูดก็รู้ ต่อให้มีหยินเฟยอยู่ มู่หรงอี๋ก็เป็นคนแรกที่ได้รับการโปรดปราน ไม่มีใครกล้าแข่งกับมู่หรงอี๋
ด้านนอกประตูตำหนักฮองเฮาได้มีเหล่าสนมมารวมตัวกันแล้ว อวี้เฟยยิ้มบอก “เหตุใดวันนี้กุ้ยเฟยว่างมาได้เล่า? เมื่อก่อนมิเคยเจอกุ้ยเฟยเลยนะ”
มู่หรงอี๋ยิ้มบางพลางว่า “ข้านึกว่าใคร ที่แท้ก็อวี้เฟย หลายวันนี้เจ้าช่างว่างเสียจริง เหตุใดมิมานั่งคุยกันที่ตำหนักข้าบ้าง?”
อวี้เฟยคือองค์หญิงหลัวซู่แห่งเหมียวเจียง หากถามว่า สนมที่มีอำนาจในวังนี้ หลัวซู่ถือเป็นคนหนึ่ง หยินซวงซวงอีกคนหนึ่ง ส่วนด้านนิสัย หลัวซู่ผู้นี้ก็ถือเป็นสุดยอดผู้หนึ่งด้วย
“ข้างกายข้ามีองค์หญิงน้อยผู้หนึ่ง ดังนั้นเลยมิสะดวก มิเหมือนกุ้ยเฟย มิได้มีพระโอรสพระธิดาเลยสักคน ให้ข้าพูดนะ ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วนี่ กุ้ยเฟยพอเข้าใจความหมายของมันบ้างหรือไม่?”
อวี้เฟยแสดงออกชัดเจนว่าพูดถึงเรื่องตอนนั้นที่นางคิดแผนการเป่าหูจวินฉีเซิ่ง ทำให้ลูกของมู่หรงชิวตาย หลายปีมานี้มีแต่อวี้เฟยผู้นี้ที่กล้าหือกับนางอย่างเปิดเผย
หากมิใช่เพราะด้านหลังอวี้เฟยมีเหมียวเจียง นางลงมือจัดการกับอวี้เฟยนานแล้ว
“ได้ยินว่าพิษกู่พวกนั้นที่อวี้เฟยเตรียมให้ฝ่าบาทถูกผู้มีความสามารถจัดการหมดแล้ว ข้ายังนึกว่าวิชาลับของเหมียวเจียงจะร้ายกาจสักแค่ไหน ได้ยินว่ายังโดนคนหยิบออกมาจากในร่างกายคนเอาไปคิดค้น เหอะเหอะ หากเรื่องนี้ถูกเหมียวเจียงรู้เข้า มิเท่ากับว่าอวี้เฟยทำร้ายคนเผ่าเดียวกันรึ?”
พอมู่หรงอี๋พูดอย่างนี้ออกมา อวี้เฟยสีหน้าเปลี่ยนทันที จวินฉีเซิ่งกลับวังมาแค่สองวัน นางยังไม่รู้เรื่องนี้ ตอนนี้มู่หรงอี๋จงใจเอาเรื่องนี้มาปิดปากนาง นางมิมีทางใดอื่นเหลือเลย
“เจ้า…”
ทั้งๆที่จวินฉีเซิ่งเคยรับปากนางแล้วว่าจะไม่มีทางให้ใครได้ไปเด็ดขาด แต่ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว นางต้องโดนหางเลขไปด้วยแน่ วิชาลับพิษกู่ของเหมียวเจียงเผยแพร่ออกไป นี่เป็นโทษหนักที่ต้องเผาให้ตาย!”
อวี้เฟยลืมเรื่องถวายบังคมให้ฮองเฮาไปเสียสนิท รีบสะบัดชายเสื้อจากไป และมุ่งตรงไปหาจวินฉีเซิ่งเพื่อถามให้รู้ความ