ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 172 การถวายบังคมของวังหลัง
มู่หรงอี๋แค่นยิ้มเย็น ต่อให้อวี้เฟยจะโอหังแค่ไหน หลายปีมานี้ก็ต้องอยู่ภายใต้นาง เพราะในโลกนี้ นอกจากนางแล้ว มิมีผู้ใดเข้าใจจวินฉีเซิ่งดียิ่งไปกว่านาง
ส่วนอวี้เฟย ก็แค่แมวตัวหนึ่งที่อาศัยอำนาจเหมียวเจียงมาแยกเขี้ยวกางเล็บตัวหนึ่งก็เท่านั้น
หลายปีมานี้สตรีในตำหนักหลังของจวินฉีเซิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ มู่หรงอี๋มองดูเหล่าสนมที่พยายามทุกวิถีทางเหล่านั้นแล้ว ในใจยิ่งเดือดดาลมากขึ้น
เพราะพวกนางทุกคนล้วนอ่อนวัยกว่านาง
มีสตรีชุดขาวนางหนึ่งที่ก้าวเดินประดุจเดินบนดอกบัวค่อยๆเดินออกมาจากทางเดินตรงนั้น
มู่หรงอี๋มองแวบแรกก็เห็นฉินโม่เอ๋อร์ทันที หากบอกว่า สตรีที่แสร้งทำเป็นบริสุทธิ์ผุดผ่องในวังหลวงนี้นั้นมีไม่น้อยเลย แต่ฉินโม่เอ๋อร์กลับมีราศีเช่นนี้อยู่แล้ว ทั่วทั้งร่างล้วนทำให้บุรุษรู้สึกอ่อนระทวย
ฉินโม่เอ๋อร์ตาดีอย่างมาก นางเดินมายืนตรงหน้ามู่หรงอี๋ พลางย่อตัวลงคารวะ “หม่อมฉันฉินโม่เอ๋อร์ ถวายบังคมกุ้ยเฟย”
มู่หรงอี๋ยิ้มน้อยๆบอก “ข้านึกว่าใคร ที่แท้ก็ฉินเฟยที่พึ่งเข้าวังนี่เอง ดินของต้าเยียนช่างดียิ่ง ฉินเฟยช่างงดงามนัก ไม่แปลกที่ฝ่าบาทจะโปรดปรานติดกันเสียหลายวัน แม้แต่หยินเฟยยังทาบไม่ติดเลย”
หยินซวงซวงยืนอยู่ข้างๆพูดขึ้นว่า “ฉินเฟยงดงามมาแต่เกิด หม่อมฉันทาบไม่ติดเลย ครั้งก่อนได้เจอกันที่งานเลี้ยง ภาพและตัวหนังสือที่ฉินเฟยเขียนขึ้น แค่ดูก็รู้ว่าเป็นสตรีมีพรสวรรค์ หากฝ่าบาทมิชอบ หม่อมฉันก็ว่าแปลกแล้ว”
มู่หรงอี๋กับหยินซวงซวงไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร แต่วินาทีนี้กลับเชิดชูฉินโม่เอ๋อร์จนเลิศลอย
เหล่าสนมรอบข้างผู้ใดบ้างมิได้หน้าตางดงามรูปร่างอรชร ฐานะสูงส่ง นอกจากอวี้เฟยจากเหมียวเจียงที่ยากจะหาเรื่องด้วยได้แล้ว ล้วนเป็นคุณหนูลูกเมียเอกตระกูลสูงแห่งต้าฉีทั้งนั้น พอเห็นสนมต่างเมือง ก็ล้วนไม่พอใจนานแล้ว และหลายวันนี้ยังครอบครองฝ่าบาทไว้เพียงคนเดียวอีก ท่าทางอ่อนโยนอ่อนแอน่ารังแกของฉินโม่เอ๋อร์ต้องโดนเดียดฉันท์จากเหล่าสนมอื่นแน่
เวลานี้ฉินโม่เอ๋อร์ใม่ทำอะไรแต่กลับพูดอย่างนอบน้อมว่า “หม่อมฉันรู้เพียงผิวเผินเท่านั้น มิได้เป็นสตรีอัจฉริยะแต่อย่างใด กุ้ยเฟยกับหยินเฟยพูดเช่นนี้ หม่อมฉันหวาดหวั่นนัก”
ฉินโม่เอ๋อร์ยิ้มน้อยๆ รู้สึกว่าตนพูดเช่นนี้สมควรแล้ว ตรงหน้านางคือหลิ่วกุ้ยเฟยที่ครองวังหลังและหยินซวงซวง ตอนนี้รากฐานนางยังไม่มั่นคง มิอาจเป็นศัตรูกับพวกนางได้
มู่หรงอี๋เพียงยิ้มหยันเล็กน้อย ฉินโม่เอ๋อร์นี่ดูหน้าตางดงามดี แต่สมองกลับมิฉลาดเท่าไหร่
มีสนมหลายคนที่ตำแหน่งไม่สูงพากันซุบซิบอยู่ด้านหลังฉินโม่เอ๋อร์ว่า “กุ้ยเฟยและหยินเฟยก็แค่พูดไปอย่างนั้นเอง ฉินเฟยนี่คิดว่าตนเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งจริงรึ”
“นั่นสิ หากพูดถึงหญิงงาม ผู้ใดเทียบเคียงกุ้ยเฟยได้กัน? หากพูดถึงสตรีอัจฉริยะ หยินเฟยเรียกตนว่าที่สอง ผู้ใดจะกล้าเป็นที่หนึ่งกัน”
เสียงของทั้งสองไม่ดังไม่เบา เข้าหูฉินโม่เอ๋อร์พอดี
ฉินโม่เอ๋อร์แอบกำหมัดแน่น คิดถึงตนเองต้องมาไกลถึงต้าฉี เลยได้แต่อดทนเท่านั้น
ในตอนนี้เอง นางกำนัลคนหนึ่งเดินออกมาจากในตำหนักฮองเฮา และพูดขึ้นว่า “ฮองเฮาตื่นบรรทมแล้ว ขอเชิญพระนางทั้งหลายเข้าไปถวายบังคมได้”
คนที่เดินนำหน้าสุดย่อมเป็นมู่หรงอี๋ ตามด้วยหยินเฟยและฉินเฟย สนมคนอื่นก็เดินตามกันมาตามแต่ตำแหน่งของแต่ละคน
มู่หรงอี๋มองดูทั้งหมดในตำหนักฮองเฮา สิ่งเหล่านี้ไม่ช้าไม่นานต้องเป็นตำหนักของนาง
ฉินโม่เอ๋อร์เองก็มองดูทุกสิ่งในวังหลวง และนี่เป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวของนาง นางจะต้องกลายเป็นฮองเฮาเพียงคนเดียวของจวินฉีเซิ่ง
ด้านหลังผ้าม่าน สามารถเห็นเงาร่างสตรีนางหนึ่งนอนอยู่ นางผอมบางยิ่งนัก มือที่ยื่นออกมาแทบจะเป็นหนังหุ้มกระดูก มองไม่เห็นความเรียบเนียนใดๆเลย
“หม่อมฉันถวายบังคมฮองเฮา”
ฮองเฮาเหวินโบกมือ ก็มีนางกำนัลพูดขึ้น “ตามสบาย นั่งเถอะ”
“ขอบพระทัยฮองเฮา”
มู่หรงอี๋นั่งลงด้านบน พลางว่า “พระวรกายของฮองเฮาดีขึ้นหรือไม่? ระยะนี้เรื่องงานของวังหลังมีมากนัก ทำให้หม่อมฉันมิอาจมาถวายบังคมได้ ครั้งนี้ได้ยินว่าในวังมีสาวงามคนใหม่เข้ามาอีก เลยแวะมาดูเสียหน่อย”
สาวงามที่ว่าเปรียบเปรยถึงฉินโม่เอ๋อร์อย่างคล้ายว่าจะเอ่ย
นางกำนัลเข้ามาหน้าผ้าม่าน ฮองเฮาเหวินพึมพำสองคำ นางกำนัลพยักหน้าตอบ “เพคะ”
นางกำนัลบอก “เชิญฉินเฟยก้าวขึ้นมาข้างหน้า”
ฉินโม่เอ๋อร์โดนเรียกชื่อ ได้แต่ลุกขึ้น เดินมาข้างหน้าสองก้าว พลางว่า “หม่อมฉันฉินโม่เอ๋อร์ ถวายพระพรฮองเฮา ขอฮองเฮาทรงมีพระพลานามัยแข็งแรง”
ฮองเฮาเหวินกระซิบข้างหูนางกำนัลอีกสองคำ นางกำนัลพูดต่อว่า “ฉินเฟยเข้าวังมาครั้งแรก ถึงจะมาจากต่างเมือง แต่ก็เป็นสนมของฝ่าบาทเช่นกัน ควรอยู่กันอย่างปรองดองกับเหล่าสนม มิอาจทะเลาะเบาะแว้ง ทำผิดกฎวังหลวง”
“หม่อมฉันน้อมรับพระเสาวนีย์เพคะ”
มู่หรงอี๋บอก “ฮองเฮาอบรมสนมก็เป็นเรื่องสมควรอยู่ เพียงแต่ฉินเฟยพึ่งเข้าวังมาได้ไม่นาน ยังไม่ค่อยคุ้นชินกับกฎเกณฑ์มารยาทของต้าฉีเรา หม่อมฉันอยากจะส่งแม่เฒ่าไปอบรมมารยาทนาง ฮองเฮาคิดว่าหม่อมฉันพูดถูกหรือไม่?”
นางกำนัลพูดขึ้น “ฮองเฮาคิดเช่นเดียวกัน มอบหมายให้ กุ้ยเฟยจัดการทั้งหมด”
มู่หรงอี๋มิได้พูดอะไร แต่นั่งจิบชาช้าๆ
ฮองเฮาไม่มีทางคิดต่างอยู่แล้ว เพราะในตำหนักหลังนี่เป็นของนางมู่หรงอี๋ คนที่ครองอำนาจในวังหลังคือนาง มิใช่เหวินซูอวิ๋นที่ป่วยออดๆแอดๆนี่
ฉินโม่เอ๋อร์หรุบตาลงพลางว่า “ถึงหม่อมฉันจะพึ่งมาได้มินาน แต่จะยึดมั่นในกฎระเบียบของสนม เรียนรู้กฎระเบียบมารยาทในวังให้ดี มิให้ฮองเฮาและกุ้ยเฟยผิดหวัง”
มู่หรงอี๋สีหน้ายิ้มแย้ม พลางว่า “ฉินเฟยช่างเฉลียวฉลาดนัก พูดจาน่าฟัง แต่เจ้าเป็นใหญ่ในตำหนักหนึ่ง สิ่งที่ต้องเรียนย่อมมากกว่าสนมทั่วไป กฎของวังหลวงกับศีลธรรมจรรยาของสตรีต้าฉีเรา เจ้าต้องไปดูให้ดี วันนี้ข้าจะให้คนไปนำมาให้เจ้าหนึ่งชุด เจ้าตั้งใจดูให้ละเอียดเถิด”
“หม่อมฉันเข้าใจ”
มู่หรงอี๋บอก “มาได้ครู่หนึ่งแล้ว ในวังหลวงนี้ยังมีงานการอีกมากมายรอหม่อมฉันจัดการ หม่อมฉันขอทูลลา”
ฮองเฮาเหวินโบกมือเป็นเชิงบอกให้มู่หรงอี๋ถอยไปได้ จากนั้นก็ได้ยินนางกำนัลพูดอีกว่า “พระวรกายฮองเฮาอ่อนแอนัก ขอทุกพระนางกลับไปเถิด”
“หม่อมฉันทูลลา”
มู่หรงอี๋เดินไปถึงหน้าประตู ถึงหันไปบอกฉินโม่เอ๋อร์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล “ตอนนี้วังเจาหรงที่เจ้าอยู่ มีสามตำหนัก ตำหนักหรงหัว ตำหนักหรงเล่อ ตำหนักหรงยวู่ สามตำหนักนี้มีสนมหลี่ผิน สนมเล่อผินและสนมหวางเหม่ยเหริน นี่ถือเป็นขอบเขตที่เจ้าปกครองแล้ว หากพวกนางมิเคารพเจ้า ในฐานะผู้เป็นใหญ่ในวังหนึ่ง ก็อย่าได้ยอมเสียศักดิ์ศรี เข้าใจหรือไม่?”
“หม่อมฉันเข้าใจ”
มู่หรงอี๋พยักหน้าจางๆ พลางขึ้นเกี้ยว
ฉินโม่เอ๋อร์หันไปถามไฉ่ฉินนางกำนัลข้างกายว่า “ไม่รู้ว่าสนมหลี่ผิน สนมเล่อผินและสนมหวางเหม่ยเหรินเป็นใครกัน? พวกเราไปเยี่ยมเยือนสักหน่อยเถิด”
ไฉ่ฉินบอก “ฐานะของพระนางคือพระสนม มิจำเป็นต้องลดตัวไปเยี่ยมเยือน ขอเพียงให้คนไปสั่งการ เชิญ สนมหลี่ผิน สนมเล่อผินและสนมหวางเหม่ยเหรินมารวมตัวที่วังเจาหรง ก็สมควรแล้ว”
ฉินโม่เอ๋อร์พยักหน้าสั่งการลงไปว่า “งั้นเจ้าส่งคนไปเชิญเถิด ข้ามาที่นี่ได้สองวันแล้ว ยังมิเคยได้พบเจอพวกนางเลย มิเป็นการสมควรเลย”