ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 173 ประณามและต่อว่า
ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 173 ประณามและต่อว่า
“ข้าน้อยรับคำสั่ง”
สุดท้ายฉินโม่เอ๋อร์หันมองตำหนักฮองเฮาที่หรูหราโอ่โถง ก่อนจะจากไป
นางจากบ้านเกิดมายังต้าฉี ก็เพื่อเป็นฮองเฮา นางจะต้องเป็นสตรีที่สูงศักดิ์ที่สุดในโลกนี้ให้ได้
ไฉ่ฉินมองดูฉินโม่เอ๋อร์อยู่ข้างๆ พลางยิ้มมุมปาก
มู่หรงอี๋กลับไปยังตำหนัก เอนตัวลงนอนบนตั่งกุ้ยเฟยอย่างง่วงงุน “ข้านึกว่าจะเป็นคนต่อกรยากอะไร ก็แค่สตรีโง่เขลาคนหนึ่งเท่านั้นเอง ฝ่าบาทเบื่อเมื่อใด ย่อมโยนทิ้งไปในที่สุด”
อีชุ่ยบอกว่า “กุ้ยเฟยรับสั่งถูกแล้ว แต่ยังไงก็ตามฉินเฟยผู้นี้เป็นองค์หญิงเหอชินจากต้าเยียนนั่น ฝ่าบาทเกรงต้าเยียนอยู่บ้าง คงไม่สลัดทิ้งโดยง่ายแน่”
“เจ้าจะรู้อะไรล่ะ หัวใจฝ่าบาทข้ามีหรือจะไม่รู้? เขาอยากจะทำลายต้าเยียนแล้วเข้ายึดครองนานแล้ว เนื้อชิ้นใหญ่เยี่ยงนี้ เขามีหรือจะยอมละทิ้งง่ายๆ? ขอแค่ต้าเยียนล่มสลาย สงครามบังเกิด ฉินเฟยผู้นี้ก็จะกลายเป็นเหยื่อที่ต้องเสียสละระหว่างสองประเทศ” มู่หรงอี๋ยิ้มเย็น รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาทันที
“ไป เจ้าไปเอาภาพวาดฉินเฟยที่ก่อนหน้านี้หามาเผาทิ้งซะ อย่าให้เหลือร่องรอยใดๆ”
อีชุ่ยพูดอย่างนอบน้อม “ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้”
อีชุ่ยพึ่งออกจากประตูไป ก็เห็นจวินฉีเซิ่งในชุดมังกร ท่าทางเหมือนพึ่งว่าราชการเสร็จ
“ข้าน้อยถวายบังคมฝ่าบาท”
จวินฉีเซิ่งพยักหน้าบอก “ไปเถอะ”
“เพคะ”
มู่หรงอี๋เห็นจวินฉีเซิ่งมา ก็ยิ้มรับ พร้อมเข้าไปพูดอ่อนโยนใส่ทันทีว่า “วันนี้ฝ่าบาทว่างมาหรือเพคะ?”
“ทำไม? หรือว่าข้าจะมาเยี่ยมเจ้ามิได้รึ?”
ระหว่างพูด จวินฉีเซิ่งโอบเอวมู่หรงอี๋เข้ามาทันที พลางมองดูใบหน้างดงามดุจเทพธิดาของมู่หรงอี๋อย่างละเอียด หากบอกว่ามู่หรงอี๋เป็นสตรีที่งามอันดับหนึ่งของต้าฉีก็มิผิดเลย ทุกครั้งที่มองใบหน้านี้จะรู้สึกงดงามน่ามอง เพียงแต่มองนานวันเข้า ก็มองครบหมดแล้ว
ในตอนที่จวินฉีเซิ่งก้มหัวลงจะจูบใบหูมู่หรงอี๋ พลันพูดเสียงต่ำว่า “ข้าถามเจ้าหน่อย เรื่องหนอนกู่เหมียวเจียง เจ้าเป็นคนบอกอวี้เฟยใช่หรือไม่?”
อารมณ์ที่สะลึมสะลือของมู่หรงอี๋พลันตื่นขึ้นทันที แสร้งผลักจวินฉีเซิ่งออกห่าง และพูดว่า “ที่แท้ฝ่าบาทมาหาหม่อมฉันเพื่อเรื่องนี้เอง ฝ่าบาทกลับวังมาหลายวันแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันได้เจอฝ่าบาทนะเพคะ”
จวินฉีเซิ่งรู้ดีว่ามู่หรงอี๋คิดอย่างไรมาตลอด ครานั้นยามมู่หรงอี๋ต่อกรกับมู่หรงชิว เขาก็รู้ว่าสตรีผู้นี้มิได้ไร้พิษสง หากมิใช่เพราะใบหน้างดงามไร้ที่ติของมู่หรงอี๋ อีกทั้งยังมีหลักฐานที่เขาให้ร้ายจวินหวาเทียน ฆ่าล้างตระกูลมู่หรง เขาจัดการฆ่ามู่หรงอี๋ที่กุมความลับของเขาทั้งหมดให้สิ้นซากไปนานแล้ว
จวินฉีเซิ่งก้าวขึ้นหน้า โอบมู่หรงอี๋เอาไว้พลางว่า “ข้าจะลืมเจ้าได้อย่างไรกัน? เพียงแต่ราชการช่วงนี้มีมากนัก เลยไม่ทันมาเยี่ยมเจ้า”
มู่หรงอี๋ยิ้มมุมปากพลางว่า “ฝ่าบาทมาครานี้ ตั้งใจมาประณามและต่อว่า เพราะหม่อมฉันเปิดเผยเรื่องหนอนกู่งั้นรึ?”
“ข้าเพียงแค่ถามดู เจ้ากับข้าร่วมเรียงเคียงหมอนมาหลายปีขนาดนี้ ข้ายังจะโกรธเจ้าอีกรึ?” มู่หรงอี๋หันมาวาดรูปวนที่หน้าอกจวินฉีเซิ่งแผ่วเบาพลางว่า “มันก็มิแน่ดอก นิสัยเจ้าชู้ของฝ่าบาท หม่อมฉันจัดการไม่ได้ ฝ่าบาทอยู่เหนือมวลประชา อยากได้สตรีมากมายเท่าใดก็ย่อมได้”
สตรีในตำหนักหลังของจวินฉีเซิ่งมากนับพัน โดยมากเป็นแค่สิ่งประดับ ที่โปรดปรานจริงๆมีเพียงไม่กี่คน ล้วนเป็นสาวงามทั้งนั้น ต่อให้ตอนนี้นางยังงามล่มเมืองอยู่ แต่ก็ทาบสาวน้อยอ่อนเยาว์ที่อายุสิบกว่าปีมิได้ดอก ความงามโรยรานี้ก็แค่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง หากนางมิอาจมีทายาทให้จวินฉีเซิ่ง เช่นนั้นสตรีที่ไร้ที่พึ่งพิงคนนี้อย่างนาง จุดจบสุดท้ายคงมิดีไปกว่ามู่หรงชิวเท่าใดนัก
จวินฉีเซิ่งเริ่มปลดเสื้อผ้ามู่หรงอี๋ออก พลางว่า “มิว่าในวังหลวงนี้จะมีสตรีมากเท่าใด มีนางใดเทียบเคียงเจ้าได้บ้าง?”
มู่หรงอี๋ยิ้มมุมปากพลางว่า “ฝ่าบาทจะพูดเช่นนี้มิได้ดอก ฉินเฟยที่มาใหม่นั่นเป็นสาวงามดุจดอกไม้แรกแย้มเลยทีเดียว ขนาดหยินเฟยยังบอกว่าทาบนางมิติด นับประสาอะไรกับหม่อมฉันเล่า”
จวินฉีเซิ่งแอบหรี่ตาลงโดยที่มู่หรงอี๋ไม่เห็น พลางอุ้มมู่หรงอี๋เดินไปที่เตียงและพูดว่า “สตรีผู้นั้นเทียบไม่ได้แม้เพียงหนึ่งในหมื่นส่วนของเจ้า สาวงามอันดับหนึ่งของต้าเยียนเราไม่มั่นใจในตนเองเยี่ยงนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
สีหน้ามู่หรงอี๋แดงเรื่อพลางว่า “คราแรกฝ่าบาทรักหม่อมฉันจริง หม่อมฉันย่อมมั่นใจ บัดนี้มิแน่แล้วกระมัง?”
จวินฉีเซิ่งดึงผ้าม่านเตียงลงมาช้าๆ บรรยากาศวาบหวามอบอวล
อีชุ่ยจัดการงานเสร็จกลับมา ได้ยินเสียงกระซิบในตำหนัก จึงถอยออกไป และสั่งการนางกำนัลนอกประตูว่า “ฝ่าบาทและกุ้ยเฟยกำลังพักผ่อน พวกเจ้าถอยไปก่อน”
“เจ้าค่ะ”
อีชุ่ยยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก ประมาณครึ่งชั่วยามจวินฉีเซิ่งก็สวมใส่เสื้อผ้าและเดินออกมา เขามองอีชุ่ยพลางว่า “เจ้าดูแลกุ้ยเฟยของเจ้าให้ดี มีเรื่องอะไรรีบมารายงาน”
“ข้าน้อยรับพระราชโองการเพคะ”
ในวังเจาหรง ฉินโม่เอ๋อร์จัดวางผลไม้และน้ำชาไว้สามโต๊ะแล้ว รอเหล่าสนมมากัน
รอแค่เพียงไม่นาน สนมทั้งสามก็มา แต่ละคนใบหน้างดงามดุจเทพธิดา และมิได้ด้อยไปกว่านางเท่าใดเลย
“หม่อมฉันถวายบังคมฉินเฟยเพคะ”
“ตามสบายเถิด นั่งเถิด”
สนมหลี่ผินอยู่มาเก่าแก่ที่สุด นางติดตามมาตั้งแต่ครั้งอยู่ในจวนอ๋องของจวินฉีเซิ่ง เพราะไม่มีทายาทและไม่ได้เป็นที่โปรดปรานอะไรนัก เลยเป็นเพียงผิน(ผิน ตำแหน่งสนมในวัง) แต่ตามหลักแล้วก็ได้นั่งอยู่แถวหน้าสุด สนมเล่อผินเองก็เข้าวังมาสามปีแล้ว นั่งอยู่ในตำแหน่งค่อนไปด้านหลัง หน้าตางดงามอ่อนหวาน รูปร่างดียิ่ง และยังมิเคยมีทายาท
ส่วนสนมหวางเหม่ยเหรินไม่เหมือนกัน นางพึ่งเข้าวังมาได้ไม่ถึงครึ่งปี อายุน้อยที่สุดในนี้ และก็ได้รับการโปรดปรานที่สุด ก่อนหน้าที่จวินฉีเซิ่งจะไปต้าเยียน นางได้รับความโปรดปรานยิ่งนัก
ฉินโม่เอ๋อร์เริ่มรู้สึกไม่สบอารมณ์ เดิมนางคิดว่าในตำหนักหลังของต้าฉีนี้ถึงจะมีสาวงามมาก แต่ก็มิได้เป็นพวกเก่งกาจมากเยี่ยงนั้น แต่ทั้งสามคนนี้ ตำแหน่งมิสูง แต่พอดูแล้วกลับมิได้ด้อยไปกว่านางเท่าใดเลย จากกิริยาคำพูดคำจาเมื่อครู่ ถือว่าเป็นคุณหนูตระกูลสูง ดูสง่างามยิ่ง
ฉินโม่เอ๋อร์ยิ้มแย้มบอก “ข้าเพียงมาได้มินาน ได้ยินว่าในวังเจาหรงยังมีน้องสาวทั้งสามท่านอยู่ เลยเชิญมาพบปะรู้จักกันเสียหน่อย”
สนมหลี่ผินพูดอย่างเย็นชาว่า “ฉินเฟยพูดอะไรกัน ฉินเฟยเป็นใหญ่ในวังเจาหรง สมควรให้พวกหม่อมฉันมาถวายบังคมแล้ว”
สนมเล่อผินพูดขึ้น “ลวดลายดอกไม้บนชุดของฉินเฟยช่างเป็นเอกลักษณ์นัก หม่อมฉันมิเคยเห็นมาก่อนเลย เป็นลวดลายทันสมัยของต้าเยียนใช่หรือไม่?”
ฉินโม่เอ๋อร์พยักหน้าบอก “ใช่”
สนมหวางเหม่ยเหรินกลับพูดหยันว่า “ถึงสนมเล่อผินจะรู้สึกว่าลวดลายงดงาม หม่อมฉันกลับรู้สึกว่า สมควรเตือนฉินเฟยเสียหน่อยว่า ชุดเช่นนี้มิอาจสวมใส่ในตำหนักหลังของต้าฉีเราได้”