ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 177 ไม่มีความดีก็มีความชอบ
องค์หญิงอานไท่มองนางรับใช้สองคนที่เข้ามาอย่างหวาดกลัว ตะคอกใส่ว่า “พวกเจ้าทำอะไร! ไสหัวไป!” นางรับใช้ยกชาร้อนปุดขึ้นจากโต๊ะ สาดลงไปที่หน้าองค์หญิงอานไท่ ได้ยินเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดขององค์หญิงอานไท่ นางรับใช้สองคนนั่นไม่รู้วิ่งหนีหายไปไหนแล้ว
“บังอาจมาสาดหน้าข้า!”
องค์หญิงอานไท่มองตนเองในกระจก ใบหน้ากว่าครึ่งกลายเป็นสีแดง บางแห่งยังขึ้นตุ่มน้ำใส
“อ๊า–!!”
นางรับใช้สองคนวิ่งไปนอกเรือน พูดกับหงฝูอย่างนอบน้อมว่า “เรียนพี่หงฝู พวกข้าทำตามที่พี่หงฝูสั่งเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
หงฝูพยักหน้า หยิบเงินสิบตำลึงออกมาจากในชายเสื้อ วางลงบนมือทั้งสองคน จากนั้นก็แบกศพกู้ชิวเซียงที่ถูกเผาทำลายแล้วขึ้นมา
ตามที่เจ้านายสั่ง ตอนนี้ควรจะเอาศพกู้ชิวเซียงไปวางที่เรือนหลังของตระกูลกู้
ฝู้จื่อโม่ตัวอ่อนปวกเปียกฟุบตัวลงบนเก้าอี้ มีฎีกาที่ยังอ่านไม่เสร็จเมื่อคืนปิดอยู่บนหน้า จากนั้นหาวหวอดๆอย่างเกียจคร้าน “เอาล่ะ เมื่อครู่หงฝูส่งนกพิราบมาบอกว่า เรื่องจัดการไปได้พอสมควรแล้ว รอสองตระกูลฉินกู้ย่อยยับทั้งคู่ ดูท่าคงอีกไม่กี่วัน ถึงเวลานั้นเจ้าก็จะได้ไปหาชู้ของเจ้าแล้ว”
อวี๋ฉือจ้านขมวดคิ้วพูดขึ้น “ชู้?”
“ใช่สิ เมื่อก่อนเมืองหลวงต่างว่ากันว่า พวกเราเป็นคู่กัน ตอนนี้ก็มาบอกว่าเจ้ารักใคร่สตรี ทอดทิ้งข้า ดังนั้นมิว่าพูดจากเส้นทางไหน กู้ชิวเหลิ่งถือเป็นชู้ของเจ้า ข้าต่างหากที่เป็นเมียหลวง”
มุมปากอวี๋ฉือจ้านยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว พลางว่า “ดูท่า เรื่องราวฉบับของเมืองหลวงต้องแก้สักหน่อยแล้ว” พอคำพูดนี้ออกมา ฝู้จื่อโม่ลุกขึ้นทันทีพลางว่า “ห้ามแก้! เยี่ยงนี้ดีแล้ว ถ้านังหนูกู้ชิวเหลิ่งนั่นไม่ปรากฏตัว เจ้าคงมิใจร้ายกับข้าเยี่ยงนี้ เจ้าดูสิ ข้าช่วยเจ้าอ่านฎีกามากมายเท่าไหร่ ไม่มีความดีก็ยังมีความชอบกระมัง? จะมาให้ข้ากลายเป็นชู้ ทำร้ายข้าเกินไปแล้ว ยังไงข้าก็เป็นซื่อจื่อนะ!จะมาทำร้ายกันเยี่ยงนี้ไม่ได้”
อวี๋ฉือจ้านผงกหัวขึ้น มองสภาพอดกลั้นของพี่น้องตนเอง ได้แต่พูดว่า “ตามใจเจ้าแล้วกัน”
“พูดกันแล้วว่าห้ามลงไม้ลงมือน่ะ”
“อืม”
อวี๋ฉือจ้านตอนนี้ไม่มีเวลาไปแก้ไขเรื่องราวฉบับต่างๆของเมืองหลวง
ไม่รู้ว่า เมียที่รักของเขาตอนนี้ทำอะไรอยู่ เวลานี้พวกเขาน่าจะไปถึงต้าฉีอย่างปลอดภัยแล้วกระมัง
มือที่ยกจอกเหล้าขึ้นของกู้ชิวเหลิ่งชะงัก ที่แท้จวินหวาเทียนจับมือกู้ชิวเหลิ่งไว้ และหยิบจอกเหล้าออกไป
“ดื่มให้น้อยหน่อย เจ้ายังเด็ก”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้ว “ข้ายังเด็ก?”
“ไม่ว่าอย่างไร ร่างกายเจ้าตอนนี้ก็แค่สิบสี่ปีเท่านั้น ดื่มเหล้าจะส่งผลต่อการเติบโต” กู้ชิวเหลิ่งบอก “หวาเทียน เจ้ายังจำตอนอายุสิบสองที่ข้าแอบดื่มเหล้าได้หรือไม่ ต่อมาโดนท่านพ่อท่านพี่พบว่าข้าดื่มเหล้าได้มากจนไม่อาจคาดคะเนได้?”
จวินหวาเทียนพยักหน้าบอก “ใช่ ตอนนั้นแม่ทัพมู่หรงเสียใจมาตลอด บอกว่าตนให้กำเนิดผิดแล้ว เจ้าน่ะเกิดมาเป็นผู้ชายมากกว่า”
กู้ชิวเหลิ่งเหมือนย้อนคิดถึงอดีต พลางว่า “ตอนนั้นพี่ใหญ่ยังสู้ข้าไม่ได้”
จวินหวาเทียนวางจอกเหล้าในมือคนรับใช้ กู้เจินกับจีเฟิงเฝ้าอยู่ข้างนอก เพราะพวกเขามาถึงต้าฉีเรียบร้อยแล้ว ไปอีกหน่อยก็คือประตูใหญ่เมืองหลวงแล้ว ต้องระวังตัวให้มาก
กู้ชิวเหลิ่งมองดูประตูเมืองต้าฉีที่คุ้นเคยไม่ไกลนัก พลันเปลี่ยนคำเรียกว่า “คุณชายมู่ พวกเราไปกันเถอะ”
จวินหวาเทียนพยักหน้าน้อยๆ คนรับใช้พยุงจวินหวาเทียนขึ้นมา
“จีเฟิง กู้เจิน พวกเราออกเดินทางเถอะ”
จีเฟิงและกู้เจินสองคนแทบจะรับคำพร้อมกัน กู้ชิวเหลิ่งยิ้มรับ เดินมาข้างหน้า พลางขึ้นรถม้าก่อน
ทหารหน้าประตูเมืองสกัดรถม้าของกู้ชิวเหลิ่งไว้ พลางว่า “หยุดบัดเดี๋ยวนี้! ทำตามขั้นตอนตรวจสอบ!”
กู้ชิวเหลิ่งเลิกผ้าม่านรถขึ้น เผยให้เห็นใบหน้างามงด ทำเอาทหารรักษาเมืองสองนายอึ้งตะลึง
กู้ชิวเหลิ่งพูดช้าๆว่า “ต้าเยียนหนิงจวิ้นจู่ ได้รับการเชื้อเชิญมา อย่างไร? ต้องทำการตรวจสอบตามขั้นตอนรึ?”
“ต้าเยียนหนิงจวิ้นจู่ ? เจ้าจะพิสูจน์ฐานะเจ้าอย่างไร? บังเอิญนัก พวกเราพึ่งได้ฉินเฟยจากต้าเยียนมาคนหนึ่ง ทำไมเจ้ามิตามมาเล่า?”
“นั่นสิ ดูเจ้าอายุยังน้อย เหตุใดจึงหัดหลอกลวงผู้คนเล่า? ใครก็ได้! มาจับตัวนางไว้!”
กู้ชิวเหลิ่งคิ้วขมวดมุ่น ควักป้ายหยกออกมาจากชายเสื้อ พูดเสียงเย็นว่า “ที่แท้ต้าฉีต้อนรับแขกเช่นนี้เอง ทำให้ข้าเปิดโลกกว้างจริงๆ!”
ป้ายหยกนั้นอวี๋ฉือจ้านให้นางตอนออกจากจวนเซ่อเจิ้งหวางมา ป้ายหยกนี้เป็นสัญลักษณ์ความสูงศักดิ์ของต้าเยียน ทั่วทั้งต้าเยียน นอกจากคนในราชวงศ์แล้วมิมีผู้ใดอื่นมี
ส่วนป้ายหยกนี้ ไม่ว่าจะไปที่ใด ทุกคนต่างรู้จักดี
ทหารสองคนนั้นเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ถึงจะชะงักฝีเท้า แต่ยังไม่คิดถอยไป
“ทำไม? ว่ากันว่ากฎมารยาทของต้าฉีเข้มงวดนัก ตอนนี้ดูแล้วไม่มีมารยาทเลยสักนิด!” สีหน้ากู้ชิวเหลิ่งเย็นชายิ่งนัก ทำให้คนไม่กล้ามองตรงๆ ทหารหนึ่งในนั้นพูดอย่างนอบน้อมว่า “พวกข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว ขอเชิญหนิงจวิ้นจู่ ไปพักผ่อนที่เรือนรับรอง”
กู้ชิวเหลิ่งพูด “เรือนรับรอง? ฮ่องเต้ต้าฉีของพวกเจ้าเชิญข้าไปเที่ยวในวังหลวง มิเช่นนั้นพวกเจ้าพาข้าไปเรือนรับรองก่อน จากนั้นเชิญคนที่มีอำนาจสั่งการได้ของพวกเจ้าที่นี่มาพบข้า” ทหารคนหนึ่งจะต่อว่ากู้ชิวเหลิ่งเหิมเกริม ทหารอีกคนรีบห้ามไว้พลางว่า “เช่นนั้นข้าน้อยจะพาท่านไป”
ทหารอีกคนพูด “ทำไมเจ้านอบน้อมกับสตรีนางนี้เยี่ยงนี้? เกิดนางเป็นตัวปลอมเล่า? พวกเจ้ามิโดนลงโทษรึ?”
“ถ้าเกิดเป็นตัวปลอม ก็คือปลอมตัวเป็นทูตต่างเมือง ต้องโดนประหาร เช่นนั้นในเมื่อนางแสดงป้ายหยกแล้ว เราต้องต้อนรับให้ดี ถึงเวลานั้นหากรู้ว่านางเป็นตัวปลอม พวกเราค่อยทำตามกฎก็มิสาย”
ทหารอีกคนพยักหน้าบอก “เช่นนั้นเจ้าพานางไปเรือนรับรอง ข้าไปตามใต้เท้าหลี่ของกองปราบมา”
ทหารพยักหน้า มือจูงรถม้าของกู้ชิวเหลิ่งไปยังตึกสูงที่หรูหราครึกครื้นที่สุดของเมืองหลวง
กู้ชิวเหลิ่งลงจากรถม้า ทหารยังพูดอย่างนอบน้อมว่า “หนิงจวิ้นจู่ เชิญด้านในขอรับ”
กู้ชิวเหลิ่งบอก “เตรียมห้องไปสองห้อง ให้สาวใช้ข้าด้วย”
“ข้าน้อยจะรีบไปจัดการขอรับ”
หางตากู้ชิวเหลิ่งเหลือบเห็นจวินหวาเทียนและกู้เจินที่อยู่ไม่ไกลรวมถึงคนรับใช้ที่ตามมาดูแล ถึงถอนหายใจโล่งอก เมื่อครู่นางก่อกวนจนเอิกเกริกขนาดนี้ หนึ่งเพื่อสะดวกแก่การไปวังหลวง สองเพื่อหาช่องว่างให้จวินหวาเทียนลอบเข้าเมืองหลวง
“หนิงจวิ้นจู่ เชิญขอรับ”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้า ถึงเดินเข้าไป
กู้เจินวางหน้ากากเงินลงในมือจวินหวาเทียน พลางว่า “คนในเมืองหลวงวุ่นวายนัก คุณชายมู่อย่าพึ่งพบเจอใครด้วยใบหน้าที่แท้จริงเลย”
จวินหวาเทียนไอออกมา ริมฝีปากซีดเผือด แต่กลับเผยรอยยิ้มบางออกมา “มิเป็นไร”