ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 180 กลับมาจากนรก
มู่หรงอี๋แสร้งเบี่ยงตัวออก พลางว่า “หม่อมฉันจะกล้าหึงได้เยี่ยงไรกัน? ฝ่าบาทเป็นใหญ่ในใต้หล้า วังหลังมีสตรีมากมายเท่าใดมิอาจได้มา ยิ่งไปกว่านั้นตอนนี้หม่อมฉันเองก็มิได้งามเหมือนเก่าแล้ว ฝ่าบาทย่อมมิอยากพบหน้าอยู่แล้ว”
จวินฉีเซิ่งจับตัวมู่หรงอี๋หันกลับมาอย่างใจเย็น พูดอย่างรักใคร่ว่า “ข้าไม่อยากพบหน้าเจ้าตั้งแต่เมื่อใดกัน? ยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเป็นสตรีงามอันดับหนึ่งของต้าฉีนี้ ใครจะกล้าเทียบเคียงความงามกับเจ้ากัน?”
มู่หรงอี๋ถึงยิ้มออก พลางว่า “เช่นนั้นหนิงจวิ้นจู่ ผู้นี้ได้รับการเชื้อเชิญจากฝ่าบาท ต้องงดงามมากเลยกระมัง?”
ในสมองจวินฉีเซิ่งผุดใบหน้างดงามไร้ที่ติของกู้ชิวเหลิ่งขึ้นมา ถึงแม้ตอนนี้กู้ชิวเหลิ่งจะอายุยังเยาว์นัก แต่ใบหน้านั้นช่างดูงดงามน่าสนใจเสียยิ่งกว่าใบหน้ามู่หรงอี๋ ประหนึ่งภูเขาน้ำแข็งที่กันคนไว้ไกลนับพันลี้ แต่กลับแผ่ซ่านกลิ่นอายดึงดูดใจคน ทำให้คนอดรู้สึกเมามายไม่ได้
มู่หรงอี๋รู้สึกได้ถึงความสงสัยของจวินฉีเซิ่ง พูดสีหน้าจริงจังทันทีว่า “หม่อมฉันรู้ล่ะ หากมิใช่สาวงาม มีหรือฝ่าบาทจะครุ่นคิดนานเพียงนี้?”
จวินฉีเซิ่งได้สติกลับมา รีบปลอบมู่หรงอี๋ว่า “เจ้าพูดอะไรกันน่ะ? หรือว่าข้าแต่งกับองค์หญิงเหอชินผู้หนึ่งแล้วมิพอ ยังจะแต่งกับท่านหญิงอีกคนรึ? ต่อให้ข้ายินดี ต้าเยียนก็มิมีทางยอมดอก”
มู่หรงอี๋โอบคอจวินฉีเซิ่งพลางว่า “ฝ่าบาทตรัสจริงรึเพคะ?”
“จริง”
มู่หรงอี๋รู้จักจวินฉีเซิ่งดี จวินฉีเซิ่งเองก็มีหรือจะไม่รู้จักมู่หรงอี๋ดี? หากคราแรกที่ลักลอบมีอะไรกับมู่หรงอี๋ยังมิรู้จักดีนัก แต่ตอนนี้แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากันมาสามปี เขารู้ลึกรู้ดีกับความลุ่มหลงในลาภยศ ความงาม และความอิจฉาริษยาร้ายกาจของมู่หรงอี๋แล้ว ดังนั้นในยามนี้จะปลอบประโลมมู่หรงอี๋นั้นง่ายดายยิ่งนัก
จวินฉีเซิ่งอุ้มมู่หรงอี๋ขึ้นมา เดินไปทางเตียง ถึงจะอุ่นเตียงกันทั้งคืน แต่ในใจยังครุ่นคิดถึงฎีกานั่น
ในเมื่อกู้ชิวเหลิ่งมาแล้ว เขาย่อมต้อนรับขับสู้อย่างดี
ยิ่งไปกว่านั้น ใบหน้านั้น มิรู้ทำไม ไม่เจอเพียงไม่กี่วัน ก็คิดถึงแทบบ้าแล้ว
วันต่อมา แสงตะวันยามเช้าสาดส่องจนตาพร่า
จ้าวจื้อฉุนรับกู้ชิวเหลิ่งจากเรือนรับรอง ขึ้นเกี้ยวที่วังหลวงส่งมาและหามเข้าไปในวัง
กู้ชิวเหลิ่งมองบรรยากาศรอบด้านอันคุ้นเคย ยามที่ผ่านจวนตระกูลมู่หรง สายตากู้ชิวเหลิ่งหยุดลงทันที
ภายใต้แสงตะวัน จวนตระกูลมู่หรงยิ่งดูว่างเปล่า ไม่เหลือสีสันในวันวานเลยสักนิด
จ้าวจื้อฉุนเอ่ยปากพูดขึ้นว่า “หนิงจวิ้นจู่ ถึงหน้าประตูวังแล้ว ขอท่านลงจากเกี้ยวเถิด”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้าน้อยๆ พลางลงจากเกี้ยว จากนั้นมีนางกำนัลและขันทีนำกู้ชิวเหลิ่งเดินเข้าไปข้างใน
กู้ชิวเหลิ่งเดินบนทางที่คุ้นเคย และคิดอะไรมากมาย
ในวัยเยาวน์ครั้งแรกที่เข้าวังถวายบังคมกับท่านพ่อและท่านพี่ ครั้งแรกที่เข้าร่วมงานเลี้ยงในวัง วันแรกที่เข้าวังถวายพระพรหลังแต่งงานกับจวินฉีเซิ่ง….
จนสุดท้าย จวินฉีเซิ่งเหยียบกองเลือด และทำเลือดล้างวังหลวงแย่งบัลลังก์ไปอย่างไร
ตำหนักองค์รัชทายาทอยู่ไม่ไกลจากวังหลวง กู้ชิวเหลิ่งเหลือบตามองก็เห็นมุมตำหนักองค์รัชทายาท ตอนนั้นองค์รัชทายาทตายอย่างไร นางเองก็มิมีวันลืม
ทุกย่างก้าวของกู้ชิวเหลิ่งหนักอึ้ง เดินผ่านทางคดเคี้ยวช้าๆ และผ่านตำหนักในสองชั้นอีก ถึงเดินถึงตำหนักเซิ่งเต๋อ จวินฉีเซิ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร มองกู้ชิวเหลิ่งด้วยสายตาผู้อยู่เหนือมใครในใต้หล้า
เพียงแต่สายตานั้นกลับปะปนไปด้วยเคลือบแคลง ลุ่มหลงและอาลัยอาวรณ์
กู้ชิวเหลิ่งถวายพระพรอย่างนอบน้อม พลางว่า “หนิงจวิ้นจู่ แห่งต้าเยียนถวายพระพรฮ่องเต้ฉี”
จวินฉีเซิ่งพูดเสียงอ่อนอย่างไม่เหมือนก่อนว่า “หนิงจวิ้นจู่ รีบลุกขึ้นเถิด”
“ขอบพระทัยฮ่องเต้ฉี”
จวินฉีเซิ่งมองพินิจพิเคราะห์กู้ชิวเหลิ่ง ถึงจะไม่ได้เจอกันแค่เดือนกว่า แต่ในใจเขาคิดถึงนางนานแล้ว
“จำได้คราก่อนที่ข้าเอ่ยเชื้อเชิญ หนิงจวิ้นจู่ ปฏิเสธแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาเร็วเพียงนี้ ข้าจึงยังมิได้ส่งมอบสาสน์แจ้งเลย ทำให้เกิดกิริยาเสียมารยาทของขุนนางหนิงจวิ้นจู่ คงมิโทษข้ากระมัง?”
กู้ชิวเหลิ่งรู้ว่าจวินฉีเซิ่งจงใจเลียบเคียงถามเป้าหมายที่นางมา ดังนั้นจึงตอบว่า “ระยะนี้ครอบครัวข้าเกิดเรื่องราวมากมาย อยากจะออกไปท่องเที่ยวสบายใจเสียหน่อย เดิมข้าก็วาดหวังถึงความรุ่งเรืองของต้าฉีอยู่แล้ว เพียงแต่ติดขัดที่ระเบียบมารยาทของครอบครัวจึงไม่อาจรุดมาก่อนได้ ครานี้เซ่อเจิ้งหวางและฮ่องเต้อนุญาตให้ข้ามา และยังประทานป้ายหยกมาเป็นพิเศษ ข้าจึงมาโดยมิได้รับเชิญ แต่ว่าเซ่อเจิ้งหวางได้ส่งสาสน์แจ้งมาที่นี่ อาจเพราะสาสน์แจ้งล่าช้า เลยยังมิถึงกระมัง?”
จวินฉีเซิ่งพยักหน้าพลางว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้าได้ตระเตรียมตำหนักให้หนิงจวิ้นจู่ พักผ่อนแล้ว หากหนิงจวิ้นจู่ พอใจ จะพำนักที่ต้าฉีนานเท่าใดก็มิเป็นปัญหา”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มบอก “ขอบพระทัยฮ่องเต้ฉี”
“ที่แท้ท่านนี้คือหนิงจวิ้นจู่ นี่เอง ข้ามิเคยพบเจอมาก่อนเลย แต่ก่อนหน้านี้ได้ยินฝ่าบาทตรัสถึง บอกว่าเป็นหญิงงามดุจเทพธิดา วันนี้ได้เจอช่าง….”
กู้ชิวเหลิ่งพลันหันกลับมา ดวงตาคู่นั้นสบเข้ากับดวงตาของมู่หรงอี๋ ใบหน้ายิ้มแย้มของมู่หรงอี๋แต่เดิมพลันแข็งค้าง ถึงใบหน้านี้ของกู้ชิวเหลิ่งจะมิได้คล้ายคลึงกับใบหน้าของมู่หรงชิวแม้เพียงนิด หากดวงตาคู่นั้น ความคุ้นเคยที่บอกไม่ถูกในดวงตาคู่นั้น มู่หรงอี๋รู้สึกว่าหัวใจเย็นยะเยือก ประหนึ่งเห็นมู่หรงชิวกลับมาจากนรก เพื่อเรียกร้องเอาชีวิตกับนาง
มู่หรงอี๋ยืนตะลึงอึ้งอยู่หน้าตำหนัก กู้ชิวเหลิ่งอดยิ้มไม่ได้ ถามอย่างสงสัยว่า “ผู้นี้คือ?”
จวินฉีเซิ่งเห็นมู่หรงอี๋ยืนอึ้ง จึงพูดขึ้นว่า “ผู้นี้คือหลิ่วกุ้ยเฟย คราก่อนข้ายังจำได้ว่า ท่านหญิงเคยบอกว่าอยากพบสาวงามอันดับหนึ่งผู้นี้ มิรู้ว่า พอได้พบแล้ว คิดเห็นอย่างใด?”
กู้ชิวเหลิ่งแสร้งมองมู่หรงอี๋อย่างตกใจ และรีบย่อตัวถวายบังคม พลางว่า “ที่แท้ก็หลิ่วกุ้ยเฟย เมื่อก่อนหวังว่าจะมีบุญได้เจอสักครั้ง ไม่คิดว่าวันนี้ได้เจอเข้าจริงๆ หม่อมฉันหนิงจวิ้นจู่ แห่งต้าเยียน ชื่อว่ากู้ชิวเหลิ่ง”
“อะไร?”
จวินฉีเซิ่งขมวดคิ้ว ไม่พอใจกับการเสียกิริยาของมู่หรงอี๋อย่างมาก
กู้ชิวเหลิ่งพูดซ้ำอีกครั้งว่า “หม่อมฉันกู้ชิวเหลิ่ง”
มู่หรงอี๋ได้สติกลับมา พูดว่า “ขออภัยจริงๆ ข้าพึ่งเคยได้เจอท่านหญิงที่งดงามเยี่ยงนี้เป็นครั้งแรก อดเสียกิริยามิได้”
กู้ชิวเหลิ่งตอบอย่างสง่างาม “ขอบพระทัยคำชมของกุ้ยเฟย กุ้ยเฟยต่างหากที่เป็นสาวงามอันดับหนึ่ง ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ต้าเยียนหม่อมฉันก็คาดหวังจะได้พบหน้าสาวงามอันดับหนึ่งของต้าฉีสักครั้ง ไม่คิดว่าวันนี้ได้เจอ กุ้ยเฟยช่างงดงามดุจเทพธิดาจริงๆ ใบหน้างดงามเยี่ยงนี้ต่อให้เป็นต้าเยียนเราก็หาคนที่สองออกมามิได้”
มู่หรงอี๋ฝืนยิ้มบอก “ข้าได้ตระเตรียมที่พักให้ท่านหญิงเรียบร้อยแล้วท่านหญิงตามข้าไปดูที่พักก่อนดีหรือไม่ พรุ่งนี้ข้าค่อยพาท่านหญิงท่องเที่ยววังหลวงต้าฉีสักรอบ?”
กู้ชิวเหลิ่งบอก “เช่นนั้นก็ขอบพระทัยกุ้ยเฟยแล้ว”
มู่หรงอี๋หันมองจวินฉีเซิ่งครั้งหนึ่ง จวินฉีเซิ่งกำลังมองแผ่นหลังกู้ชิวเหลิ่ง และมีรอยยิ้มอบอุ่นออกมา
มู่หรงอี๋แอบกำหมัดแน่น นางมีหรือจะมิรู้นิสัยของจวินฉีเซิ่ง? พอเห็นสาวงามและแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ก็คิดจะอยากจะแย่งมาครองอยู่ร่ำไป
กู้ชิวเหลิ่งผู้นี้ ก็มิใช่ข้อยกเว้น