ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 184 ชื่อสกุลข้าคือหยินจู๋
สายตาของกู้ชิวเหลิ่งหยุดอยู่ที่กระโปรงมู่หรงอี๋ ข้างบนมีคราบน้ำขนาดใหญ่แล้ว
มุมปากของกู้ชิวเหลิ่งอดที่จะเกี่ยวขึ้นมาไม่ได้ จากนั้นก็กล่าวขึ้นมาอย่างร้อนอกร้อนใจ: “ถ้าอย่างไรให้ข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงที่ตำหนักเถอะ เช่นนี้ก็ไม่เหมาะจะเยี่ยมชมสวน ต้องขออภัยด้วยจริงๆ”
มู่หรงอี๋ปล่อยให้อี้ชุ่ยช่วยนางทำความสะอาดคราบน้ำที่อยู่บนชุดกระโปรง ในใจรู้สึกโกรธมากนานแล้ว
นางตั้งใจสวมชุดนี้เพื่อแสดงถึงฐานะตำแหน่งของตัวเอง เสื้อผ้าชุดนี้ยังเป็นชุดที่นางชอบที่สุดอีกด้วย
ถ้าหากเป็นปกติใครกล้าสาดน้ำบนเสื้อผ้าชุดนี้ คงถูกตัดหัวไปนานแล้ว
แต่เมื่อเผชิญหน้ากับกู้ชิวเหลิ่ง นางยังไม่กล้าลงมือ
ไม่พูดถึงว่ากู้ชิวเหลิ่งคือจวิ้นจู่ของต้าเยียน อาศัยเพียงแค่ป้ายหยกที่อยู่บนตัวของกู้ชิวเหลิ่ง ก็สามารถดูออกว่ากู้ชิวเหลิ่งไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป บนโลกนี้คนที่สามารถทำให้เซ่อเจิ้งหวางแห่งต้าเยียนมอบป้ายหยกให้จะมีสักกี่คน?
อี้ชุ่ยรู้ว่ามู่หรงอี๋อารมณ์ไม่ดี รีบร้อนกล่าวว่า: “เช่นนั้นก็รบกวนจวิ้นจู่ไปด้วยสักรอบแล้ว”
ความจริงมู่หรงอี๋ก็ไม่มีอารมณ์เยี่ยมชมสวนแล้ว แต่ว่าวันนี้นางยังมองไม่เห็นเค้าเงื่อนใดๆในตัวกู้ชิวเหลิ่ง จึงยังไม่สามารถรามือได้
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวว่า: “เดิมทีก็เป็นเพราะข้าถือถ้วยชาเอาไว้ไม่มั่นคงเอง รบกวนที่ไหนกัน”
มู่หรงอี๋ฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อย กล่าวว่า: “จวิ้นจู่ไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ ดีที่ตำหนักของข้าอยู่ไม่ห่างจากที่นี่ เราไปด้วยกันเถอะ”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้าอย่างแทบจะมองไม่เห็น
นั่งอยู่เกี้ยวนั่งจนถึงหน้าประตูตำหนักบรรทมของมู่หรงอี๋ไปตลอดทาง กู้ชิวเหลิ่งเงยหน้าขึ้นมองดูตัวอักษรสีแดงชาดนั่น: ตำหนักเฟิ่งหลวน
กู้ชิวเหลิ่งเยาะเย้ยในใจ ตั้งแต่สมัยโบราณมีเพียงฮองเฮาเท่านั้นที่สามารถใช้คำว่าเฟิ่งได้ วังหลังก็มีเพียงฮองเฮาเท่านั้นถึงจะคู่ควรกับคำว่าเฟิ่งหวง ตำหนักนี้น่าจะเป็นสถานที่ที่มู่หรงอี๋พำนักอยู่ตั้งแต่ตอนที่ยังเป็นหรงเฟย จวินฉีเซิ่งช่างโปรดปรานนางจริงๆ ยังเตรียมตำหนักเช่นนี้เอาไว้ให้โดยเฉพาะ
“ถึงแล้ว ให้คนมาประคองจวิ้นจู่ลงจากเกี้ยวนั่ง”
กู้ชิวเหลิ่งก็ไม่ได้ปฏิเสธ ปล่อยให้อี้ชุ่ยประคองนางลงมาจากเกี้ยวนั่ง
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเดินเข้าไปในตำหนักเฟิ่งหลวน กำแพงถูกทาด้วยฮวาเจียว ตำหนักฮวาเจียวโปรดปรานรักใคร่ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลงตลอดมา
ไม่ว่าใครมองดูใบหน้าของมู่หรงอี๋ล้วนไม่สามารถปฏิเสธได้ทั้งนั้น ถ้าหากนางเป็นผู้ชาย ก็จะปฏิบัติกับมู่หรงอี๋ราวกับสมบัติล้ำค่า ประคองเอาไว้ในมืออย่างทะนุถนอมอย่างแน่นอน
ก็ไม่น่าแปลกใจที่จวินฉีเซิ่งจะดีต่อมู่หรงอี๋ขนาดนี้ ก็เหมือนกับที่มู่หรงอี๋กล่าวไว้เมื่อชาติก่อน นางก็แค่ผู้หญิงที่รู้จักแต่ฆ่าศัตรูในสนามรบเท่านั้น ไม่มีผู้ชายคนไหนจะชอบผู้หญิงเช่นนี้หรอก
กู้ชิวเหลิ่งเยาะเย้ยตัวเองตามลำพัง ได้ยินเพียงมู่หรงอี๋กล่าวขึ้นว่า: “จวิ้นจู่เชิญนั่งตามสบาย ข้าขอเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดหนึ่ง แล้วจะมาเดี๋ยวนี้”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้า มู่หรงอี๋บอกว่าแค่เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดหนึ่ง แต่กู้ชิวเหลิ่งรู้ว่า ทุกครั้งที่มู่หรงอี๋เปลี่ยนเสื้อผ้าล้วนแล้วแต่ใช้เวลานานมาก เพราะมู่หรงอี๋เป็นผู้หญิงที่มีมาตรฐานความงามต่อตนเองสูงมาก นางไม่ยอมให้ท่วงท่าอิริยาบถของตัวเองมีตำหนิใดๆทั้งสิ้น
ดังนั้นนางถึงได้สาดน้ำชาไปบนตัวของมู่หรงอี๋ จงใจมาที่ตำหนักเฟิ่งหลวน นางก็อยากจะรู้เหมือนว่า หลายปีมานี้มู่หรงอี๋เป็นกุ้ยเฟยที่ไม่มีเรื่องทุกข์โศกให้กังวลใจของนางอย่างไร
กู้ชิวเหลิ่งมองสำรวจไปรอบๆ สิ่งของของมู่หรงอี๋ล้วนเป็นสิ่งที่ดีที่สุดจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นผลไม้บรรณาการ เครื่องประดับล้ำค่า แล้วก็กระจกโบราณของราชวงศ์ก่อน แม้แต่เตียงก็ยังแตกต่างออกไป บนเตียงนุ่มคือหนังจิ้งจอกเงิน ชาที่ดื่มก็เป็นชาชั้นเลิศ ถึงแม้จะเป็นโต๊ะ หรือเก้าอี้ตัวหนึ่ง ก็ล้วนล้ำค่าล้นเหลือทั้งนั้น
ตำหนักบรรทมของมู่หรงอี๋ถือได้ว่าสร้างขึ้นมาจากทองคำ ซึ่งแตกต่างจากการใช้ชีวิตในจวนแม่ทัพของมู่หรงอี๋ในอดีตอย่างสิ้นเชิง เมื่อก่อนนางไม่รู้ว่ามู่หรงอี๋มีความทะเยอทะยานขนาดนี้ ถ้าหากนางรู้ นางจะต้องตัดหัวของมู่หรงอี๋ลงมาอย่างแน่นอน ถึงแม้จะต้องถูกกล่าวโทษข้อหาฆ่าน้องสาวบุตรีอนุภรรยา นางก็จะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
สายตาของกู้ชิวเหลิ่งหยุดอยู่บนผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่ง ด้านบนมีตัวอักษรหลิ่วเขียนเอาไว้
กู้ชิวเหลิ่งเข้าไปใกล้ๆ แล้วมองดู กล่าวถามนางกำนัลที่อยู่ด้านข้าง: “นี่เป็นของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงหรือ?”
“เรียนจวิ้นจู่ เป็นของเหนียงเหนียงเราเอง”
กู้ชิวเหลิ่งอ้อออกมาคำหนึ่ง กล่าวว่า: “อยากจะถามชื่อสกุลเดิมของกุ้ยเฟยมาตลอด เพียงแต่ว่ากลัวถามแล้วจะเป็นการก้าวล่วงเกินไป”
เห็นได้ชัดว่านางกำนัลที่อยู่ด้านข้างไม่กล้าเรียกชื่อของมู่หรงอี๋ตรงๆ สายตาของกู้ชิวเหลิ่งหยุดอยู่ที่รูปภาพรูปหนึ่ง นั่นคือภาพวาดของมู่หรงอี๋ตอนอายุสิบเก้า ดวงตาทั้งคู่ผ่องใสมีชีวิตชีวา สายตางดงามหยาดเยิ้มเป็นธรรมชาติ นางมองทหารรักษาเมืองทหารละทิ้งอาวุธนางมองราชาผู้ครองแผ่นดินประเทศชาติล่มจม ทำให้คนมองแล้วหลงใหลอยู่กับมัน
“มิน่าถึงได้กล่าวกันว่ากุ้ยเฟยเป็นดั่งเทพธิดาบนสวรรค์ ตอนที่ยังเยาว์วัยงดงามเช่นนี้นี่เอง”
เสียงพูดของกู้ชิวเหลิ่งไม่ดังและก็ไม่เบา บังเอิญเข้าหูของมู่หรงอี๋พอดี
ปกติแล้วนางต้องใช้เวลานานในการแต่งตัวจริงๆ แต่เป็นเพราะว่าคนที่มากู้ชิวเหลิ่ง หนิงจวิ้นจู่แห่งต้าเยียน และก็เป็นแขกผู้ทรงเกียรติ ดังนั้นจึงไม่กล้าชักช้าจนเกินไป เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดหนึ่ง เติมเหยียนจือบนแก้มเล็กน้อยก็มาแล้ว
เพิ่งจะเดินออกมาจากด้านหลังฉากบังตา ก็ได้ยินกู้ชิวเหลิ่งกล่าวประโยคเช่นนี้ขึ้นมา จู่ๆในใจก็รู้สึกหงุดหงิดไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย
ถึงแม้ตอนนี้นางจะอายุเพียงยี่สิบกว่าเท่านั้น แต่ก็ยังมีข้อแตกต่างกับบรรดาสาวน้อยที่อายุสิบหกสิบเจ็ดในวังหลังพวกนั้นอยู่เช่นกัน โดยเฉพาะจวินฉีเซิ่งเป็นคนได้ใหม่ลืมเก่า ถึงแม้ว่าใบหน้านี้จะงดงามขนาดไหน จวินฉีเซิ่งครอบครองมาหลายปีขนาดนี้ ก็เบื่อหน่ายไปกว่าครึ่งแล้ว
ถ้าหากนางยังมีรูปลักษณ์และบุคลิกที่มีเสน่ห์อย่างในภาพ ก็ไม่ถึงกับจะจับจวินฉีเซิ่งเอาไว้ไม่อยู่ และก็ไม่ต้องเห็นกู้ชิวเหลิ่งอยู่ในสายตาเลยด้วยซ้ำ
ทันทีที่กู้ชิวเหลิ่งหันกลับมา บังเอิญสบตาเข้ากับสายตาของมู่หรงอี๋พอดี
กู้ชิวเหลิ่งไม่ได้รู้สึกว่าพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด แต่กลับกล่าวว่า: “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงเปลี่ยนชุดเร็วจริงๆ เสื้อผ้าชุดนี้ช่างสดใสเจิดจ้าเปล่งประกายจริงๆ สวมอยู่บนตัวของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงดูงดงามจริงๆ”
มู่หรงอี๋ยังเก็บคำพูดเมื่อครู่นี้เอาไว้ในใจ ได้ยินกู้ชิวเหลิ่งพูดเช่นนี้ ยังคงไม่รู้สึกดีใจขึ้นมา ได้แต่เพิ่มความคับข้องใจขึ้นมาในใจเล็กน้อย กล่าวว่า: “ที่ไหนกัน แต่ว่าเมื่อครู่เห็นในมือของจวิ้นจู่ถืออะไรบางอย่าง ไม่ทราบว่าเป็นของดีอะไร ทำให้จวิ้นจู่ชอบได้?”
กู้ชิวเหลิ่งเอาผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือออกมา กล่าวว่า: “ผ้าเช็ดหน้าที่เมื่อครู่กุ้ยเฟยวางเอาไว้บนโต๊ะ เห็นว่าลวดลายมันสวยงามจริงๆ ดังนั้นก็เลยหยิบขึ้นมา เห็นข้างบนปักอักษรหลิ่วเอาไว้ ก็เลยคิดไปถึงชื่อสกุลเดิมของกุ้ยเฟย เกรงว่าจะเป็นการก้าวล่วงเกินไป”
รอยยิ้มของมู่หรงอี๋แข็งทื่อไปบนหน้าอีกครั้ง ชื่อสกุลเดิมของนาง จนถึงตอนนี้แม้แต่จวินฉีเซิ่งก็ไม่ยังเคยเรียก
ในอดีตจวินฉีเซิ่งเรียกนางว่า “อาอี๋” ตลอด แต่หลังจากสิ้นตระกูลมู่หรงไปแล้ว นางก็กลายเป็นหลิ่วหยินจู๋ จวินฉีเซิ่งก็ไม่เคยเรียกนางอย่างสนิทสนมอีก ทุกครั้งที่เรียกนางก็เรียกแค่เพียง “สนมรัก” เท่านั้น
มู่หรงอี๋ก็ไม่มีอะไรที่ต้องหลบเลี่ยง กล่าวว่า: “ชื่อสกุลเดิมของข้าคือหยินจู๋”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวชื่นชมว่า: “หยินจู๋……เป็นชื่อที่ดีจริงๆ กุ้ยเฟยแซ่หลิ่วใช่ไหม? นี่กลับทำให้ข้านึกถึงบทกวีโบราณประโยคหนึ่งของแคว้นฉีพวกท่าน”
มู่หรงอี๋อยากรู้อยากเห็นขึ้นมา กล่าวถาม: “บทกวีโบราณอะไร?”
สายตาของกู้ชิวเหลิ่งเปลี่ยนเป็นคลุมเครือไม่ชัดเจน :”หยินจู๋ชิวกวงเหลิ่งฮั่วผิง”
ประโยคนี้ ทำให้มู่หรงอี๋คาดเดาขึ้นมา บทกวีนี้นางไม่เคยได้ยินมาก่อน กล่าวพึมพำขึ้นมาสองรอบ: “หยินจู๋ชิวกวงเหลิ่งฮั่วผิง……”