ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 185 แหวนมรกต
“ชื่อของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงมีความหมายของบทกวีอย่างมากจริงๆ”
กู้ชิวเหลิ่งมองดูสีหน้าที่ค่อยๆเปลี่ยนไปของมู่หรงอี๋ เผยรอยยิ้มออกมา
หยินจู๋ชิวกวงเหลิ่งฮั่วผิง ชาติที่แล้วนางตายเพราะถูกมู่หรงอี๋กรอกตะกั่ว ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกว่าชื่อที่จวินฉีเซิ่งตั้งให้มู่หรงอี๋มีอะไรผิดปกติ แต่ว่าหลังจากนั้นนางได้สติกลับมาก็คิดเข้าใจแล้ว
นี่เป็นเพราะก่อนหน้านี้ระหว่างนางกับจวินฉีเซิ่งไม่สามารถพบกันได้บ่อยๆ ดังนั้นจึงใช้บทกวีประโยคนี้มาแทนความคิดถึง
ถึงแม้ตอนนี้ดูแล้วช่างน่าขัน
แต่ว่าจวินฉีเซิ่งตั้งชื่อนี้ให้กับมู่หรงอี๋ น่าจะเป็นเรื่องที่น่าขันที่สุดมากกว่า
มู่หรงอี๋ไม่มีทางยอมทนให้ตัวเองกลายเป็นเงาของมู่หรงชิวอย่างเด็ดขาด
เป็นเช่นนั้นจริงๆ สายตาสงสัยของมู่หรงอี๋เปลี่ยนเป็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นรูม่านตาก็หดตัวลง
สายตาของกู้ชิวเหลิ่งเลื่อนลงไปเบื้องล่าง ก็เห็นมู่หรงอี๋กำหมัดเอาไว้แน่นจริงๆ เล็บสีแดงนั่นราวกับจะหักอยู่ในเลือดเนื้อในวินาทีต่อมา
กู้ชิวเหลิ่งแสร้งทำท่าทางมองไม่เห็น กล่าวถาม: “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียง?”
มู่หรงอี๋ได้สติกลับมา ก็เห็นดวงตาที่ดูเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้มคู่นั้นของกู้ชิวเหลิ่งพอดี ในใจก็รู้สึกโกรธขึ้นมาทันที แต่กลับไม่รู้ว่าความโกรธนี้มาจากไหน ราวกับว่าดวงตาคู่นี้ของกู้ชิวเหลิ่งกลายเป็นของมู่หรงชิว
“เพราะข้าเสียมารยาทไป ดูท่าหนิงจวิ้นจู่จะชอบบทกลอนบทกวีของแคว้นฉีข้ามาก?”
กู้ชิวเหลิ่งพยักหน้า กล่าวว่า: “พอจะรู้เล็กน้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่พบกับฮ่องเต้ฉีเป็นครั้งแรก ฮ่องเต้ฉียังเคยถามข้า ว่าเคยออกเดินทางไกลมาที่แคว้นฉีหรือไม่ ความจริงข้าก็แค่ชอบดูตำราสะสมของแคว้นฉีเท่านั้น”
มู่หรงอี๋จับประเด็นเรื่องจวินฉีเซิ่งถามคำถามเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด กล่าวว่า: “ที่แท้แม้แต่ฝ่าบาทก็เคยถามคำถามแบบนี้ ดูท่าจวิ้นจู่จะเชี่ยวชาญในบทกวีของแคว้นฉีข้าจริงๆ ไม่น่าแปลกใจที่พอได้ยินชื่อของข้าแล้วก็สามารถรู้ว่าเป็นบทกวีประโยคนั้น”
“กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงชมเกินไปแล้ว”
กู้ชิวเหลิ่งดูออกถึงความหวาดกลัวที่มีต่อนางอย่างมากในสายตาของมู่หรงอี๋นานแล้ว แต่กลับทำอะไรนางไม่ได้ ถึงแม้ตอนนี้แคว้นฉีจะคอยจ้องราวกับเสือจ้องตะครุบ แต่สำหรับคณะทูตที่สองแคว้นส่งมาก็ต้องต้อนรับขับสู้อย่างเป็นมิตร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าผู้ที่มาจะเป็นจวิ้นจู่ท่านหนึ่ง
“ทำไม พวกเจ้าคุยกันเป็นการส่วนตัวที่นี่ ก็ไม่เรียกข้าเลย?”
หน้าประตูมีเสียงที่แฝงรอยยิ้มของจวินฉีเซิ่งดังมา มู่หรงอี๋เก็บรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าเล็กน้อย กล่าวอย่างเคารพนบนอบ: “หม่อมฉันคำนับฝ่าบาท”
“สนมรักไม่ต้องมากพิธี”
มู่หรงอี๋ลุกขึ้นมา กล่าวว่า: “ไม่ทราบว่าทำไมวันนี้ฝ่าบาทถึงมีเวลามาที่ตำหนักเฟิ่งหลวนได้? ปกติในเวลานี้ ฝ่าบาทน่าจะทรงอ่านหนังสือกราบบังคมทูลที่ตำหนักจรุงจิตไม่ใช่หรือ?”
จวินฉีเซิ่งกล่าวว่า: “สนมรักนี่แหละที่หวงใยข้าที่สุด รู้ว่าข้าจะทำอะไรตอนไหน ยังรู้จักส่งซุปมาให้ทุกวัน ช่างมีใจจริงๆ”
“หม่อมฉันก็แค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ฝ่าบาทกล่าวเช่นนี้ หม่อมฉันรู้สึกหวาดหวั่นจริงๆ”
จวินฉีเซิ่งพยักหน้า ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ดวงตาคู่นั้นเพียงแค่จับจ้องไปที่กู้ชิวเหลิ่งอย่างไม่วางตา: “จวิ้นจู่มาถึงก็ครึ่งค่อนวันแล้ว ไม่ทราบว่าชินกับการอยู่การกินหรือไม่? หากนางกำนัลมีตรงไหนที่ทำได้ไม่เต็มที่ก็สามารถรายงานต่อกุ้ยเฟยได้ กุ้ยเฟยจะออกหน้าแทนเจ้าอย่างแน่นอน”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างเคารพนบนอบ: “สถานที่พำนักที่กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงจัดเตรียมไว้ให้ข้าชอบมาก ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงห่วงใย”
สายตาของมู่หรงอี๋เคลื่อนย้ายไปมาระหว่างจวินฉีเซิ่งกับกู้ชิวเหลิ่ง ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อเห็นกู้ชิวเหลิ่งในใจก็จะนึกถึงมู่หรงชิวขึ้นมา และเมื่อจวินฉีเซิ่งกับมู่หรงชิวยืนอยู่ด้วยกัน นางก็ต้องนึกถึงในตอนนั้นนางยืนอยู่ข้างกายของมู่หรงชิวอย่างนอบน้อมถ่อมตนอย่างไร เงยหน้ามองดูทั้งสองคนอย่างไร
ความรู้สึกแบบนั้น มันน่าอึดอัดมากจริงๆ
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม: “เมื่อครู่กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงยังบอกว่าจะพาข้าไปเยี่ยมชมสวน แต่ในเมื่อฝ่าบาทมาแล้ว เช่นนั้นข้าก็ต้องขอตัวกลับไปก่อน ไม่รบกวนกุ้ยเฟยกับฝ่าบาทพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว”
มู่หรงอี๋กล่าวขึ้นมาอย่างเกรงใจ: “จวิ้นจู่กล่าวเกรงใจไปแล้ว……”
“กุ้ยเฟยกล่าวถูกแล้ว ในเมื่อจะชมสวน เช่นนั้นข้ากับกุ้ยเฟยก็ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางร่วมกันสักครั้ง พาจวิ้นจู่เดินเล่นรอบๆสวนแห่งนี้เป็นอย่างดี”
เจตนาเอาใจในคำพูดของจวินฉีเซิ่งก็ไม่ต้องพูดก็เห็นได้อย่างชัดเจน สีหน้าของมู่หรงอี๋ขรึมลงมาเล็กน้อย นางจะฟังความหมายในคำพูดของจวินฉีเซิ่งไม่ออกได้อย่างไรกัน?
จวินฉีเซิ่งเป็นคนที่จิตใจไม่มั่นคง ได้ใหม่ลืมเก่ามาโดยตลอด มู่หรงอี๋ไม่มีอะไรจะเข้าใจไปกว่าข้อนี้ของจวินฉีเซิ่งอีกแล้ว และรูปลักษณ์และบุคลิกท่าทางของกู้ชิวเหลิ่งล้วนโดดเด่น แล้วก็ดวงตาคู่นั้น ดูคล้ายกับมู่หรงชิวอย่างมาก
จวินฉีเซิ่งจะเกิดความสนใจในตัวของกู้ชิวเหลิ่ง นางกลับไม่รู้สึกแปลกใจเลย
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ: “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ไปเดินเล่นกันเถอะ เมื่อวานเห็นรูปแบบวังหลวงของแคว้นฉี แตกต่างไปจากของต้าเยียนอย่างมาก ข้าก็รู้สึกสนใจมากอยู่เช่นกัน”
ต้องเดินเล่นสักครั้งจริงๆ แต่ว่าเดินเล่นรอบวังหลวงแห่งนี้ นางไม่ได้จะดูรูปแบบของสถาปัตยกรรม แต่ต้องการจะดูว่าสามปีมานี้มู่หรงอี๋กับจวินฉีเซิ่ง เบื้องหน้าความสัมพันธ์สนิทสนมใกล้ชิดแต่ภายในจิตใจห่างกันแค่ไหนแล้ว
ความโปรดปรานมากมายแค่ไหนก็หายวับไปในชั่วพริบตา ตั้งแต่ตอนที่มู่หรงอี๋กรอกตะกั่วให้นาง นางก็เข้าใจแล้วว่า สำหรับจวินฉีเซิ่งแล้วจักรพรรดิที่ได้รับความเคารพสูงสุดถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และผู้หญิง ก็เป็นได้แค่สิ่งที่ช่วยเสริมบารมีเท่านั้น
“ข้าได้เตรียมเกี้ยวนั่งเอาไว้แล้ว เดินมันจะเหนื่อยเกินไป ไม่สู้นั่งชมทิวทัศน์บนเกี้ยวนั่งดีกว่า”
จวินฉีเซิ่งมองสังเกตอากัปกิริยาของกู้ชิวเหลิ่ง จู่ๆก็รู้สึกว่าทุกครั้งที่เห็นกู้ชิวเหลิ่ง ในใจก็จะมีความรู้สึกจะเลิกจะหยุดกลางคันไม่ได้เลย สำหรับเขาที่มีสาวงามมากมายในวังหลังแล้ว ความรู้สึกแบบนี้เป็นเรื่องที่ห่างไกลมานานมากแล้ว
จำได้ว่าตอนที่เขาเห็นมู่หรงชิวครั้งแรก คนที่สายตาของเขามองสังเกตกลับเป็นมู่หรงอี๋
สาวงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉี ได้ครอบครองสาวงามอันดับหนึ่งก็เท่ากับครอบครองทั่วทั้งแคว้นฉี
ในเวลานั้นเขามีความคิดเช่นนี้ ดังนั้นหลังจากที่แต่งงานกับมู่หรงชิวแล้ว ก็ค่อยแอบมีความสัมพันธ์กับมู่หรงอี๋อย่างลับๆ
ในเวลานั้นก็เป็นครั้งแรกที่เขามีความรู้สึกไม่สามารถหยุดได้กลางคันแบบนี้ มู่หรงอี๋เป็นเหมือนกับน้ำค้าง สามารถช่วยเขาให้รอดพ้นจากความแห้งขอดในใจได้
แต่ว่าใบหน้านี้เห็นมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว ถึงแม้จะยังคงงดงามดึงดูดสายตา แต่กลับไม่มีความรู้สึกนั้นอีก
มู่หรงอี๋กุมมือของกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้อย่างสนิทสนม กล่าวว่า: “ฝ่าบาทกล่าวได้ถูกต้องมาก เราไปกันเถอะ”
สายตาของกู้ชิวเหลิ่งจับจ้องอยู่ที่แหวนมรกตที่อยู่บนนิ้วของมู่หรงอี๋ กล่าวว่า: “แหวนของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงช่างสวยงามจริงๆ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของมู่หรงอี๋แข็งทื่อลงมา กล่าวว่า: “นี่เป็นสิ่งของที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานให้ ไม่มีอะไรหรอก”
จวินฉีเซิ่งก็สังเกตเห็นแหวนมรกตวงนี้ แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นมาเช่นกัน
แหวนวงนี้เป็นของมู่หรงชิว เขาจะไม่รู้ได้อย่างไร? เพียงแต่ว่ามู่หรงชิวไม่เคยชอบใส่แหวนกับต่างหู ดังนั้นถึงแม้ว่าของพวกนี้จะเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้องค์ก่อนพระราชทานให้ นางก็ล้วนเก็บเข้าไปในกล่องของตัวเองทั้งนั้น หลังจากที่มู่หรงชิวตายไปแล้ว เขาก็สั่งให้คนนำของพวกนี้ฝังไปในสุสานหลวงพร้อมกับศพปลอมที่เขาสั่งให้คนเตรียมเอาไว้นั่นแล้ว
แต่หากไม่ใช่กู้ชิวเหลิ่งพูดขึ้นมาเช่นนี้ เขาก็ไม่ได้สังเกตจริงๆ ว่ามู่หรงอี๋จะมีแหวนของมู่หรงชิว
มู่หรงอี๋รู้สึกไม่ค่อยกล้ามองตาของจวินฉีเซิ่งเล็กน้อย ความจริงก็แค่สิ่งของของมู่หรงชิวเท่านั้น สิ่งของที่มีค่านางล้วนเก็บรวบรวมเอาไว้ทั้งนั้น แต่ว่าเมื่อก่อนจวินฉีเซิ่งไม่ได้สังเกต และไม่เคยกล่าวตำหนิ ตอนนี้กลับแตกต่างออกไป