ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 199 จัดการเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เข้าวัง
หยินซวงซวงโค้งคำนับอย่างเคารพนบนอบ กล่าวว่า: “หม่อมฉันรับพระบัญชา”
กู้ชิวเหลิ่งยิ้มบางๆอยู่ด้านข้าง ดื่มน้ำแกงหวานที่อยู่ในถ้วยหมดในรวดเดียว
หลังจากที่จวินฉีเซิ่งจากไปแล้ว เวลาก็ดึกมากแล้ว ขณะที่หยินซวงซวงช่วยกู้ชิวเหลิ่งถอดเสื้อตัวนอกออก ก็กล่าวถามไปด้วยว่า: “ไม่ทราบว่าก้าวต่อไปจวิ้นจู่คิดจะทำอย่างไร”
กู้ชิวเหลิ่งนั่งลงไปบนขอบเตียงแล้ว กล่าวว่า: “ข้าจะแนะนำคนคนหนึ่งให้กับเจ้า ในเวลาเจ็ดเจ็ดสี่สิบเก้าวันนี้ เขาถึงจะเป็นกุญแจสำคัญ”
หยินซวงซวงพยักหน้า กล่าวว่า: “ข้าน้อยตามแต่จวิ้นจู่สั่งการ”
อีกด้านหนึ่งของเมืองหลวง จวินหวาเทียนนั่งอยู่ในห้อง นกพิราบสื่อสารตัวหนึ่งบินมาหยุดอยู่บนมือของเขา
บนกระดาษข้อความเขียนเอาไว้ว่า: จัดการเรียบร้อยแล้ว พรุ่งนี้เข้าวัง เหลิ่ง
จวินหวาเทียนวางกระดาษข้อความเอาไว้บนเปลวเทียน กล่าวว่า: “สั่งให้คนเตรียมการให้เรียบร้อย เราจะเข้าวังพรุ่งนี้”
องครักษ์ติดตามกล่าวขึ้นมาอย่างเคารพนบนอบ: “ขอรับ”
กู้เจินนั่งอยู่ด้านข้างของจวินหวาเทียน หยิบหน้ากากสีเงินออกมาอันหนึ่ง ยื่นมาตรงหน้าของจวินหวาเทียน กล่าวว่า: “ในสี่สิบเก้าวันนี้ ต้องระวังให้ดี”
บนใบหน้าที่ซีดขาวของจวินหวาเทียนแฝงรอยยิ้มอยู่เล็กน้อย: “มีเจ้าอยู่ ไม่มีอะไรที่ข้าต้องกังวล”
ตามแผนเดิมแล้ว เขาถึงจะเป็นไต้ซือที่เข้าไปในวัง เพียงแต่ว่าร่างกายของเขา ไม่สามารถทนต่อการทรมานเช่นนั้นแล้ว
เช้าตรู่วันนี้ กู้ชิวเหลิ่งกลับจากตำหนักบรรทมของหยินซวงซวงไปยังตำหนักด้านข้างของตัวเอง เพราะมีเหตุการณ์ที่แทรกเข้ามาเมื่อวานนี้ ทุกคนในวังหลวงต่างก็รู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในอันตราย เกรงว่าไม่ทันได้ระวังก็จะถูกฆ่าปิดปาก
และเวลานี้สิ่งที่เกิดขึ้นที่งานเลี้ยงในวังครั้งนี้ก็ถูกแพร่สะบัดไปทั่วแล้ว ชาวบ้านจากหนึ่งเป็นสิบ จากสิบเป็นร้อย ไม่ช้าทั่วทั้งเมืองหลวงก็ไม่มีใครไม่รู้ ไม่มีใครไม่เคยได้ยิน
ถึงแม้ว่าจวินฉีเซิ่งจะสั่งให้ปิดข่าวในคืนนั้นเลย แต่ว่าความรวดเร็วของข่าวนี้ถูกแพร่กระจายออกไปอย่างบ้าคลั่ง ราวกับโรคระบาดที่ควบคุมเอาไว้ไม่อยู่
จานฝนหมึกที่อยู่บนโต๊ะในห้องทรงอักษรถูกกระแทกลงไปบนพื้นอย่างแรง
จวินฉีเซิ่งกล่าวขึ้นมาด้วยความโกรธ: “ใครเป็นคนปล่อยข่าวออกไปกันแน่!”
องครักษ์ลับที่คุกเข่าอยู่บนพื้นกล่าวว่า: “ทูลฝ่าบาท เพราะคนในงานเลี้ยงวันนั้นมีมากเกินไปจริงๆ ยังมีขุนนางใหญ่และสมาชิกที่เป็นหญิง แล้วก็ยังมีขุนนางหญิงกับขันทีไม่ต่ำกว่าร้อยคน ถึงแม้ว่าจะปิดล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา ก็……”
ขุนนางหญิงกับขันทียังพูดได้ง่าย แต่ขุนนางใหญ่และสมาชิกที่เป็นหญิงพวกนั้นกลับแตะต้องไม่ได้ เพราะวันนั้นคนที่ไปมีมากเกินไป ถึงแม้จะฆ่าจนเลือดไหลเป็นแม่น้ำ ก็ต้องมีหลุดรอดไปได้อย่างแน่นอน
จวินฉีเซิ่งโกรธจนเส้นเลือดปูดขึ้นมา เขาครองบัลลังก์มาสามปี ถึงกับเกิดเหตุวุ่นวายเช่นนี้ขึ้นมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคืนนี้เป่ยไห่เฟิงกับกู้ชิวเหลิ่งก็ยังอยู่ด้วย
คนหนึ่งคือเจ้าแห่งชนเผ่าน่านน้ำ คนหนึ่งคือจวิ้นจู่ของต้าเยียน
ถ้าหากข่าวแพร่ไปถึงหูของอวี้ฉือกงกับอวี้ฉือจ้านแห่งต้าเยียน……
วิธีที่ดีที่สุด ก็คือรั้งกู้ชิวเหลิ่งเอาไว้ จะให้ข่าวพวกนี้แพร่ไปถึงต้าเยียนไม่ได้เด็ดขาด
“กราบทูลฝ่าบาท หยินเฟยจัดเตรียมเอาไว้พร้อมแล้ว อยากจะทูลถามฝ่าบาท เริ่มประกอบพิธีเมื่อไหร่”
จวินฉีเซิ่งคิดอย่างรอบคอบ กล่าวว่า: “ให้หยินเฟยเริ่มได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อย่าได้ชักช้า”
“รับพระบัญชา”
จวินฉีเซิ่งโบกไม้โบกมือให้กับองครักษ์ลับที่คุกเข่าอยู่บนพื้น กล่าวว่า: “เจ้าก็ลงไปเถอะ”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ขันทีที่อยู่ข้างกายของจวินฉีเซิ่งเอ่ยปากกล่าวว่า: “ฝ่าบาท เมื่อคืนนี้หลิวกุ้ยเฟยร้องไห้จนหมดสติไป เช้าวันนี้หมอหลวงเพิ่งไปดูมา บอกว่าสุขภาพของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงย่ำแย่ จำเป็นต้องได้รับการดูแลพักฟื้นเป็นอย่างดี พระองค์จะเสด็จไปเยี่ยมหรือไม่?”
ถูกจวินฉีเซิ่งถลึงตามองครู่หนึ่ง ขันทีไม่กล้าพูดในทันที
เยี่ยมมู่หรงอี๋? หลังจากเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เขาไม่ฆ่ามู่หรงอี๋เพื่อระบายความโกรธก็ดีแค่ไหนแล้ว!
“ในเมื่อนางป่วย ก็ให้นางค่อยๆดูแลตัวเองไป!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
จวินฉีเซิ่งไม่รู้ว่านึกอะไรขึ้นมาได้ จู่ๆก็กล่าวขึ้นมา: “ช้าก่อน! ข้าจะไปด้วยตัวเอง!”
“พ่ะย่ะค่ะ”
เวลานี้ มู่หรงอี๋กำลังนอนอยู่บนเตียง บนใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางกลายเป็นสีเหลืองขี้ผึ้งไปแล้ว ใต้ตาดำคล้ำ เห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยที่หลงเหลือจากการใช้แป้งผงตะกั่วตลอดทั้งปี กำลังทำหน้าตาดุร้าย ชี้ไปยังนางกำนัลที่คุกเข่าอยู่บนพื้น: “ฝ่าบาทล่ะ! ข้าต้องการพบฝ่าบาท! รีบไปเรียกฝ่าบาทมา!”
“เหนียงเหนียง หมอหลวงสั่งไว้ว่าให้ท่านพักผ่อนดีๆ……ท่านอย่าขยับเขยื้อนไปเรื่อยสิ……”
อารมณ์ของมู่หรงอี๋ฉุนเฉียวมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ บนใบหน้าที่ป่วยมีความโหดเหี้ยมปรากฏขึ้นมา: “บังอาจ! เรื่องของข้า นางกำนัลอย่างเจ้ามีสิทธิ์มายุ่งตั้งแต่เมื่อไหร่กัน! ยีชุ่ย! ลากตัวนางออกไป! ตีให้ตาย!”
ยีชุ่ยขมวดคิ้วขึ้นมา กล่าวกับนางกำนัลสองสามคนที่คุกเข่าอยู่บนพื้น: “ไม่ได้ยินที่กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงพูดหรือ? ยังไม่รีบลากตัวคนออกไปอีก!”
นางกำนัลสองสามคนที่ขลาดกลัวรีบร้อนลุกขึ้นมา กล่าวว่า: “……เจ้าค่ะ”
ดวงตาของมู่หรงอี๋แดงก่ำ เมื่อคืนหลังจากที่นางร้องไห้จนหมดสติไป จวินฉีเซิ่งไม่เพียงไม่มาดูแม้แต่แวบเดียว เช้าวันนี้ก็ไม่เคยมา และ จวินฉีเซิ่งยังฆ่าหลิ่วอี๋เหนียงต่อหน้านางอีกด้วย นี่จะให้นางระงับความโกรธเอาไว้ได้อย่างไร?
และในเวลานี้ หน้าประตูมีเสียงเรียกของขันทีดังมา: “ฝ่าบาทเสด็จแล้ว!”
มู่หรงอี๋ได้ยินเสียงเรียกของขันที ก็รีบร้อนลงมาจากเตียง ไม่สนใจว่าตัวเองแต่งกายไม่เรียบร้อย ก็วิ่งมาถึงตำหนักด้านนอก
“ฝ่าบาท!”
“บังอาจ! กุ้ยเฟยนอนตื่นขึ้นมา ก็ลืมมารยาทไปหมดแล้วใช่ไหม? !”
เวลานี้ บนใบหน้าที่ไร้เครื่องสำอางของมู่หรงอี๋เต็มไปด้วยคราบน้ำตา ดวงตาที่บวมแดงก็โปนออกมา ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับสาวงามอันดับหนึ่งแห่งแคว้นฉีเลยแม้แต่น้อย
เดิมทีจวินฉีเซิ่งที่รู้สึกหงุดหงิดในใจอยู่แล้วก็ยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น
มู่หรงอี๋คุกเข่าอยู่บนพื้น กล่าวว่า: “หม่อมฉันคำนับฝ่าบาท”
จวินฉีเซิ่งโบกมืออย่างไม่สบอารมณ์: “ลุกขึ้นเถอะ”
“เพคะ”
มู่หรงอี๋มองดูคนที่อยู่ข้างกายของจวินฉีเซิ่ง จวินฉีเซิ่งเข้าใจในทันที กล่าวต่อขันทีและนางกำนัลที่อยู่ด้านหลัง: “พวกเจ้าไปรอที่หน้าประตู”
“น้อมรับพระบัญชา”
หลังจากที่ภายในตำหนักเหลือเพียงมู่หรงอี๋กับจวินฉีเซิ่งสองคนแล้ว มู่หรงอี๋ถึงได้ร้องไห้แล้วกล่าวขึ้นมาว่า: “ฝ่าบาท! เหตุใดเมื่อวานท่านต้องสังหารท่านแม่ด้วย? นางก็แค่ดื่มจนเมาไปชั่วขณะเท่านั้น……เพียงแค่……”
“หุบปาก! ข้าต่างหากที่ต้องถามเจ้า เจ้าเป็นคนสั่งให้ทำใช่ไหม?”
เห็นความโหดเหี้ยมจากในดวงตาของจวินฉีเซิ่ง มู่หรงอี๋หยุดร้องไห้ทันที ถามขึ้นมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ: “หรือว่าฝ่าบาททรงสงสัยหม่อมฉัน?”
จวินฉีเซิ่งหรี่ตาลง กล่าวว่า: “ไม่ใช่เจ้า ยังเป็นใครได้อีก? ในวังหลวงแห่งนี้ นอกจากหนานชางโหวที่ตายไปแล้วกับแม่ของเจ้า ยังมีคนอื่นที่รู้เรื่องนี้อีกหรือ?”
มู่หรงอี๋ร้องไห้แล้วกล่าวไปด้วย: “ฝ่าบาท! หม่อมฉันติดตามพระองค์มานานหลายปีขนาดนี้ พระองค์คือผู้หนุนหลังเพียงหนึ่งเดียวของหม่อมฉัน! แล้วทำไมหม่อมฉันจะต้องเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างนี้ต่อหน้าธารกำนัลด้วย?”
จวินฉีเซิ่งกล่าวด้วยความโกรธ: “เป็นเพราะหลายวันก่อนข้าลิดรอนอำนาจหกตำหนักของเจ้าไป แล้วยังกักบริเวณเจ้าให้อยู่ในตำหนักอีก! ดังนั้นเจ้าจึงเกิดความโกรธแค้นขึ้นมา!”
“ฝ่าบาท! หม่อมฉันถูกปรักปรำ! ถ้าหากหม่อมฉันเกิดความโกรธแค้นขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่กล้าให้ท่านแม่ทำเรื่องเช่นนี้อย่างแน่นอน! ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อวานหลังจากที่ท่านแม่ดื่มจนเมาแล้ว ยังผลักความผิดรับชอบทั้งหมดมาให้หม่อมฉัน แล้วนี่จะเป็นสิ่งที่หม่อมฉันสั่งการได้อย่างไรกัน? ถึงแม้หม่อมฉันจะเลอะเลือนแค่ไหน ก็รู้ว่าเหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อน ไม่สามารถนำออกมาในที่แจ้งได้!”
จวินฉีเซิ่งขมวดคิ้ว สิ่งที่มู่หรงอี๋พูดมาสมเหตุสมผลจริงๆ เพราะเหตุการณ์เมื่อสี่ปีก่อนถือได้ว่าเป็นโทษมหันต์ที่ฆ่าบิดาและสังหารพระราชา มู่หรงอี๋ไม่มีความกล้าจะให้หลิ่วอี๋เหนียงพูดออกมาต่อหน้าธารกำนัลอย่างเด็ดขาด