ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - บทที่ 202 ในตำหนักมีคน
ตอนที่กู้ชิวเหลิ่งกลับมาถึงตำหนักด้านข้าง จีเฟิงก็เดินมานำอยู่ด้านหน้าก่อน กล่าวขึ้นมาอย่างระมัดระวัง: “ในตำหนักมีคน”
กู้ชิวเหลิ่งขมวดคิ้วเล็กน้อย: “ไป”
จีเฟิงเดินอยู่ด้านหน้า ตอนที่ผลักประตูเข้าไป ก็เห็นฉินโม่เอ๋อร์โยกตัวไปซ้ายขวา ท่าทางนั่นดูเหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างอยู่
ฉินโม่เอ๋อร์เห็นกู้ชิวเหลิ่งมาแล้ว ก็รีบร้อนเก็บมือกลับ ใบหน้ายิ้มระรื่น กล่าวถาม: “น้องสาวกลับมาแล้วหรือ ก่อนหน้านี้ข้าก็อยากจะมาเยี่ยมน้องสาวแล้ว เพียงแต่ไม่สบายอยู่ตลอด ก็เลยมาไม่ได้”
ฉินโม่เอ๋อร์แตกต่างไปจากตอนที่พบกันครั้งก่อนอย่างมาก ครั้งก่อนในงานเลี้ยงแห่งแคว้น ฉินโม่เอ๋อร์สวมชุดสีขาวกระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว ไม่ด้อยไปกว่ากู้ชิวเซียง แต่ฉินโม่เอ๋อร์ในตอนนี้สวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับหรูหราราคาแพง หน้าตาผ่องใส เต็มไปด้วยชีวิตชีวา
มุมปากของกู้ชิวเหลิ่งแฝงไปด้วยรอยยิ้ม กล่าวว่า: “ไม่ทราบว่าเมื่อครู่นี้ฉินเฟยกำลังหาอะไรในห้องของข้าหรือ? หรือว่าจะทำอะไรหาย?”
บนใบหน้าของฉินโม่เอ๋อร์มีความกระอักกระอ่วนแวบผ่านไปเล็กน้อย จากนั้นก็ปกปิดเอาไว้อย่างดี: “ไม่มีอะไร เพียงแต่รู้สึกว่าสิ่งที่น้องสาวนำมามีกลิ่นอายบ้านเกิด ข้าอยู่ที่นี่มาได้สักพักหนึ่งแล้ว คิดถึงบ้านเกิดจริงๆ”
ใช้ความคิดถึงบ้านเกิดมาปกปิดการกระทำเมื่อครู่นี้ของตนเอง สมองยังถือได้ว่าทำงานได้เร็วอยู่
เพียงแต่ว่ากู้ชิวเหลิ่งไม่เชื่อหรอกว่าฉินโม่เอ๋อร์มาค้นสิ่งของของนางเพราะความคิดถึงบ้านเกิด
ว่ากันว่าเมื่ออีกฝ่ายสำนึกผิดก็แข็งใจตีอีกฝ่ายไม่ได้ แต่เมื่อพบกับฉินโม่เอ๋อร์ ก็ไม่จำเป็นต้องทำเป็นเสแสร้งแกล้งประจบประแจงเลยสักนิด
บนใบหน้าของกู้ชิวเหลิ่งไม่มีรอยยิ้มเลยแม้แต่น้อย ฉินโม่เอ๋อร์ที่ไม่มีผู้หนุนหลัง ก็ไม่ควรค่าให้นางต้อนรับด้วยรอยยิ้ม
เห็นการแสดงออกทางสีหน้าที่เหินห่างไม่แยแสของกู้ชิวเหลิ่ง ความกระอักกระอ่วนบนใบหน้าของฉินโม่เอ๋อร์ก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร: “ฉินเฟยมาถึงห้องของข้า ได้แจ้งต่อข้าหรือยัง?”
ในใจของฉินโม่เอ๋อร์เต้นตึกตักขึ้นมา เดิมทีนางนึกว่ากู้ชิวเหลิ่งจะไม่ถือสา แต่คิดไม่ถึงว่ากู้ชิวเหลิ่งจะพูดออกมาอย่างทำลายความสัมพันธ์เช่นนี้ ไม่ไว้หน้านางที่เป็นองค์หญิงเหอชิงของต้าเยียนเลยแม้แต่น้อย
“เป็นเพราะข้าละเมิดล่วงเกินแล้ว จวิ้นจู่อย่าได้ถือสาเด็ดขาด”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ: “ถ้าหากว่าข้าถือสาล่ะ?”
ฉินโม่เอ๋อร์มองดูสายตาคู่นั้นของกู้ชิวเหลิ่ง ก็รู้สึกว่าแผ่นหลังถูกความเย็นยะเยือกจู่โจมอย่างไม่มีเหตุผล ทำให้นางอดที่จะรู้สึกขนลุกในใจไม่ได้
ฉินโม่เอ๋อร์กล่าวขึ้นมาอย่างขออภัย: “ข้าต้องขอโทษจวิ้นจู่ด้วย”
เห็นว่าฉินโม่เอ๋อร์เปลี่ยนการเรียกขานของตนเอง กู้ชิวเหลิ่งถึงไม่ซักไซ้ต่อไปอีก แต่กล่าวขึ้นมาว่า: “ตอนนี้ฉินเฟยเป็นสนมของแคว้นฉีแล้ว ควรทำตัวเป็นแบบอย่าง ข้าเหน็ดเหนื่อยมาครึ่งวัน ง่วงนอนแล้ว มีเรื่องอะไรขอให้ฉินเฟยโปรดมาวันหน้าเถอะ”
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวเน้นขึ้นมาว่า: “ก่อนที่จะมาขอให้ฉินเฟยสั่งคนมาแจ้งก่อนคำหนึ่ง ข้าจะได้เตรียมการต้อนรับ มิเช่นนั้นครั้งหน้าหากฉินเฟยมา แล้วข้าไม่อยู่ในตำหนัก หรือมีอะไรบางอย่างขาดหายไปก็แล้วไปเถอะ อย่าให้คนอื่นว่าได้ว่าข้าไม่รู้จักมารยาท ไม่รู้จักหลักเหตุผลการต้อนรับแขก”
กู้ชิวเหลิ่งเยาะเย้ยแดกดัน ฉินโม่เอ๋อร์จะฟังไม่ออกได้อย่างไร? หากไม่ใช่เพราะฐานะของกู้ชิวเหลิ่ง และมู่หรงอี๋ศัตรูตัวฉกาจที่อยู่เบื้องหน้าคนนี้ นางก็ไม่มีทางจะมาหากู้ชิวเหลิ่ง ยิ่งจะไม่ขอโทษอย่างนอบน้อมถ่อมตนเช่นนี้
ฉินโม่เอ๋อร์กำผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในมือเอาไว้แน่นอย่างลับๆ กล่าวว่า: “ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพราะมีเรื่องสำคัญจะหารือกับจวิ้นจู่ จวิ้นจู่ไม่ลองฟังดูก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ?”
กู้ชิวเหลิ่งเพียงแค่กวาดตามองฉินโม่เอ๋อร์ครู่หนึ่ง ก็กล่าวว่า: “จีเฟิง ส่งแขก”
กู้ชิวเหลิ่งไม่ไว้หน้าฉินโม่เอ๋อร์เลยแม้แต่น้อย จู่ๆฉินโม่เอ๋อร์ก็รู้สึกว่าแก้มร้อนจนว้าวุ่น เป็นครั้งแรกในชีวิตที่นางถูกปฎิเสธ และได้รับการต้อนรับอย่างเฉยเมย
ตั้งแต่เล็กจนโตฉินโม่เอ๋อร์เคยถูกกดขี่แบบนี้เมื่อไหร่กัน? ก่อนหน้านี้ตอนที่มาที่แคว้นฉีถูกสนมที่อยู่ใต้อาณัติบีบคั้น ก็เกิดความไม่พอใจอยู่แล้ว และตอนนี้แม้แต่กู้ชิวเหลิ่งก็ยังกล้าเยาะเย้ยแดกดันนาง
ฉินโม่เอ๋อร์นึกถึงมู่หรงอี๋ขึ้นมา เดิมทีนางก็ไม่ต้องการจะต่อกรกับกู้ชิวเหลิ่ง นี่เป็นเพราะกู้ชิวเหลิ่งจะบีบให้ตัวเองเดินไปบนทางตันให้ได้เอง!
“ฮึ!”
ฉินโม่เอ๋อร์สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป จีเฟิงยืนอยู่ตรงหน้าประตู ลังเลอยากจะเอ่ยปากพูดออกมา
กู้ชิวเหลิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ กล่าวอย่างราบเรียบ: “อยากจะพูดอะไรก็พูดเถอะ ที่นี่มีเพียงแค่เจ้ากับข้าสองคน ไม่จำเป็นต้องหลีกเลี่ยง”
จีเฟิงมองดูสายตาที่จากไปด้วยความโกรธของฉินโม่เอ๋อร์ ถึงได้กล่าวว่า: “เหตุใดพระชายาต้องตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉินเฟยด้วย? ความจริง……”
“ความจริงอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่มีอะไรดีไปกว่าการมีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่งและศัตรูลดน้อยลงไปได้คนหนึ่ง ใช่ไหม?”
จีเฟิงได้ยินกู้ชิวเหลิ่งพูดในสิ่งที่เขาอยากจะพูดออกมา ก็พยักหน้า: “ใช่”
กู้ชิวเหลิ่งรินน้ำชาถ้วยหนึ่ง กล่าวว่า: “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าฉินโม่เอ๋อร์มาครั้งนี้อยากจะพูดอะไรบ้าง? มู่หรงอี๋คนคนนี้เจ้าเล่ห์มาแต่กำเนิด ชอบควบคุมจิตใจคน นางลงมือด้วยตัวเองไม่สามารถทำร้ายข้าได้ ครั้งที่สองก็จะต้องหลอกใช้คนอื่นอย่างแน่นอน มู่หรงอี๋น่าจะเคยหาฉินโม่เอ๋อร์แล้ว ฉินโม่เอ๋อร์ก็ไม่ถือว่าโง่ คิดจะมาหาข้าแล้วร่วมมือกันต่อกรกับมู่หรงอี๋ แต่น่าเสียดาย ที่ข้าไม่มีแผนการนี้”
“มู่หรงอี๋?”
จีเฟิงจำไม่ได้ว่าในวังหลวงมีคนที่ชื่อมู่หรงอี๋
กู้ชิวเหลิ่งกล่าวอย่างราบเรียบ: “มู่หรงอี๋ก็คือหลิวกุ้ยเฟยในตอนนี้”
จีเฟิงจำได้ว่า กุ้ยเฟยท่านนี้แซ่หลิว แต่เหตุใดพระชายาของตนเองถึงเรียกนางว่ามู่หรงอี๋ล่ะ?
จีเฟิงเต็มไปด้วยความสงสัย แต่กู้ชิวเหลิ่งไม่คิดที่จะช่วยคลายความสงสัยให้เขาแล้ว
ถ้าหากเมื่อครู่นี้ฉินโม่เอ๋อร์ถูกนางยั่วจนโกรธขึ้นมาจริงๆ ตอนนี้ก็น่าจะกำลังคิดหาวิธีให้ได้รับความไว้วางใจจากมู่หรงอี๋ จากนั้นก็คิดหาทุกวิถีทางในการจัดการกับนาง
สิ่งที่นางต้องการก็คือผลลัพธ์นี้ มู่หรงอี๋กับฉินโม่เอ๋อร์นิสัยของสองคนนี้คล้ายกันเล็กน้อย ล้วนหวังจะให้นกกระยางสู้กับหอยกาบ สุดท้ายตัวเองเป็นชาวประมงที่ได้ผลประโยชน์
แม้ว่าจะถึงเวลาลงมือ ด้วยวัยของฉินโม่เอ๋อร์ ก็จะต้องถูกมู่หรงอี๋ใช้เป็นเครื่องมืออย่างแน่นอน
ดังนั้นเหตุใดนางจะต้องไปร่วมมือกับคนไร้ประโยชน์เช่นนี้ ทำลายแผนการของตัวเองด้วย?
มาดูกันว่าฉินโม่เอ๋อร์กับมู่หรงอี๋ร่วมมือกันขึ้นมาจะสามารถสร้างเรื่องอะไรขึ้นมาได้
สีหน้าท่าทางของกู้ชิวเหลิ่งเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมากะทันหัน เหมือนกับน้ำแข็งเย็นยะเยือกที่ไม่สามารถละลายได้
ฉ่ายฉินรอฉินโม่เอ๋อร์ในตำหนักจาวหรงมาได้สักพักหนึ่งแล้ว นางรู้ดีว่าฉินโม่เอ๋อร์ไปที่ตำหนักบรรทมของกู้ชิวเหลิ่ง เพียงแต่กลัวว่าฉินโม่เอ๋อร์จะพูดอะไรที่ไม่ควรพูดกับกู้ชิวเหลิ่งเท่านั้น
แต่ในขณะที่ฉ่ายฉินชะเง้อมอง ฉินโม่เอ๋อร์ก็กลับมาด้วยความโกรธจัด
“ฉินเฟยเหนียงเหนียง……”
ฉินโม่เอ๋อร์ถลึงตามองฉ่ายฉินครู่หนึ่ง ฉ่ายฉินก็คุกเข่าลงบนพื้นทันที กล่าวว่า: “ฉินเฟยเหนียงเหนียง ตอนที่ท่านไม่อยู่ กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงสั่งให้คนส่งหยูอี้มาชิ้นหนึ่ง บ่าวได้จัดวางเอาไว้ในห้องแล้ว กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงยังสั่งให้ยีชุ่ยกูกูมาเชิญฉินเฟยไปพบที่ตำหนักเฟิงหรวนอีกด้วย”
ฉินโม่เอ๋อร์กำหมัดเอาไว้แน่น จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่สามารถลืมท่าทางที่ถือว่าตัวเองสูงส่งมากของกู้ชิวเหลิ่งเมื่อครู่นี้ไปได้
ดี ต้อนรับนางอย่างไม่แยแสไม่ใช่หรือ? ดีมาก นางจะให้กู้ชิวเหลิ่งได้รู้ว่า นางฉินโม่เอ๋อร์ไม่ใช่คนที่จะให้ใครมาดูถูกได้!
บนใบหน้าของฉินโม่เอ๋อร์ไม่มีความโกรธแล้ว แต่ยิ้มอย่างสง่างามเล็กน้อย กล่าวถาม: “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงส่งของขวัญมา ข้าย่อมต้องมอบของขวัญตอบอยู่แล้ว ฉ่ายฉิน เจ้าให้คนไปเตรียมเอาไว้เลย เราจะไปที่ตำหนักเฟิงหรวนเดี๋ยวนี้”